ตอนที่ 778 เจ้าอาวาสดูแปลกๆ
ดวงจันทร์ส่องสว่างบนท้องฟ้า
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเดินเข้าไปในวิหารหลักช้าๆ หยิบธูปสามดอกจากบนโต๊ะมาจุดที่น้ำมันตะเกียง ถือด้วยมือทั้งสองข้างวางอยู่ระดับหน้าอกคำนับบูชา จากนั้นก็ไปปักไว้ที่กระถางธูปด้านหน้า เงยหน้าขึ้นมองเจ้าลัทธิเต๋าผู้สง่างามมีบารมี ใช้แขนเสื้อเช็ดขี้เถ้าที่ฐาน
“เจ้าลัทธิเต๋า เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ศิษย์ทำตามคำแนะนำที่ท่านมาเข้าฝัน พานางหนูผู้นั้นกลับมาอารามเต๋าที่พังทลายรอการบูรณะ คิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ สิบเอ็ดปีแล้ว อารามชิงผิงได้พัฒนาจากอารามที่ทรุดโทรม กำแพงหลังคามีรอยรั่วไปทุกหนแห่ง ประตูหน้าต่างก็ผุพังไม่แข็งแรง จนกระทั่งพัฒนามาเป็นหลังคาทองในวันนี้ และตัวท่านเองก็เปลี่ยนจากรูปปั้นดินเหนียวที่ผุกร่อนและสกปรกมาเป็นร่างทองในตอนนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
ในขณะที่กำลังเช็ดขี้เถ้า นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็ถอนหายใจพลางเอ่ย “ตอนนั้นเสวียนเหมินกำลังถดถอย ความจริงแล้วในใจของศิษย์นั้นไม่มั่นใจเลย ไม่กล้าคิดว่าจะสามารถฟื้นฟูอารามเต๋ากลับคืนมาได้หรือไม่ โชคดีที่เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก เรียนรู้เร็ว เรียนรู้ได้ดี เอ่ยตามตรง ท่านก็ได้เห็นขนาดของอารามชิงผิงในตอนนี้แล้ว ท่านมีร่างทอง อารามมีหลังคาทอง มีผู้ศรัทธามากมายดั่งเมฆหมอก ทั้งหมดนี้อาศัยนางหนูผู้นั้นฟื้นฟูกลับคืนมา นางหนูของพวกเราผู้นี้ขี้เกียจก็จริงแต่ก็ฉลาดหลักแหลม ปากแข็งแต่กลับใจอ่อน จำสิ่งที่พวกเราคาดหวังไว้ในใจ อารามชิงผิงของพวกเรามีผู้สืบทอด ก็สบายใจในยามแก่ชราแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าลัทธิเต๋า เจ้าอาวาสคนต่อไปของอารามชิงผิงเติบโตแล้ว ศิษย์ควรสานต่อเรื่องที่ยังไม่สำเร็จเมื่อก่อนหน้านี้ ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า ศิษย์ทรยศชื่อเจินจื่อผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ศิษย์ต้องทำให้ถูกต้อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าศิษย์จะยังมีโอกาสได้รับใช้ท่านต่อไปหรือไม่ หากไม่มี เจ้าลัทธิเต๋าก็อย่าพึ่งกังวลไป พวกเรายังมีคน เด็กคนนั้นจะพาอารามชิงผิงเดินไปไกลและกว้างขวางกว่า ท่านต้องช่วยคุ้มครองนาง และอภัยให้นางสักหน่อย อย่างไรเสียนิสัยเจ้าเด็กคนนี้ก็เป็นเช่นนี้ พวกเราก็เคยชินกันแล้วไม่ใช่หรือ”
ธูปไหม้เร็วขึ้นเล็กน้อย
ราวกับเจ้าลัทธิเต๋าลดสายตาลงจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ ใครเป็นคนตามใจ ทั้งคู่ย่อมรู้ดี
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอ้าปากเล็กน้อย ปลดจุกน้ำเต้าสุรา หยิบจอกสุราหนึ่งจอกมาเทแล้ววางไว้หน้าเจ้าลัทธิเต๋า บ่นต่อว่า “ความจริงแล้วหากไม่ชินก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อนางมาจึงเป็นโชคดีของอารามชิงผิงของพวกเรา มิฉะนั้นก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างทองของท่านอยู่ที่ไหน เจ้าลัทธิเต๋า อารามชิงผิงได้ฟื้นกลับคืนมาอีกครั้ง และแอบมีแนวโน้มที่จะพัฒนาเป็นอารามที่ยิ่งใหญ่ ศิษย์ไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย ต่อให้ตายไปก็มีหน้าไปพบท่านอาจารย์ เจ้าลัทธเต๋า และผู้อาวุโสท่านอื่นแล้ว สิ่งเดียวที่ศิษย์กลัวก็คือ หากข้าตายแล้ว เด็กคนนั้นจะทำอย่างไร”
ครั้งหนึ่งที่ได้เป็นอาจารย์ศิษย์กัน รู้จักกันมาสิบกว่าปี เขาเข้าใจนิสัยของฉินหลิวซีเป็นอย่างดี แม้ว่าจะเอาแต่เอ่ยถึงเรื่องแย่งเก้าอี้อยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วนางหวังว่าตัวเขาจะนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดไปให้นานๆ แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้แล้ว อยู่เป็นสิ่งมงคลก็ยังดี
ดังนั้นนางจึงได้ยืนหยัดที่จะให้ตัวเขาอายุยืนยาวเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะค้นหาสมบัติล้ำค่าที่หายากที่สุดในใต้หล้านำมาหล่อหลอมเป็นยา เพื่อให้ตัวเขาหาโอกาสในการสร้างรากฐาน เอ่ยง่ายๆ ก็คือกลัวตัวเขาตายไม่ใช่หรือ
สิ่งที่นางขอคือการที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ และสิ่งเดียวที่นางต้องการคือมีตัวเองอยู่ข้างๆ
เฮ้อ หากนางเป็นคนเย็นชาจริงๆ เขาก็คงจะวางใจได้แล้ว
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านทำอะไรอยู่ตรงนี้” ชิงหย่วนเดินเข้ามาพร้อมกับตะเกียงน้ำมัน เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอาแต่พูดพล่ามอยู่ตรงนี้ไม่หยุด ก็อดเข้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เอ่ยเสียงสูงว่า “ท่านมาคารวะสุราเจ้าลัทธิเต๋าหรือขอรับ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนกระแอมเบาๆ เอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าก็จะออกจากอารามไปกักตัวแล้ว ก่อนไปอยากจะจุดธูปคารวะสุราเจ้าลัทธิเต๋าสักจอก”
ชิงหย่วนวางตะเกียงน้ำมันในมือลง ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ท่านแค่ไปกักตัว ใช่ว่าจะไม่กลับมาเสียหน่อย คงไม่ถึงขั้นต้อง…”
“ชิงหย่วนเอ๋ย” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนวางมือกดลงที่ไหล่ของเขา ขัดบทสนทนาที่เขากำลังเอ่ยว่า “หลังจากที่ข้าไปแล้ว เรื่องเล็กใหญ่ในอารามชิงผิงต้องอาศัยเจ้าคอยดูแลแล้ว เจ้าอาวาสน้อยของพวกเราเป็นคนไม่สนใจอะไร นางสามารถหาเงินค่าน้ำมันตะเกียงให้อาราม เปลี่ยนรูปลักษณ์ของอารามชิงผิง นั่นเป็นขีดจำกัดของนางแล้ว เรื่องจิปาถะเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น เจ้าเป็นคนดูแลเองเถิด อย่าไปรบกวนนาง มิเช่นนั้นหากนางไม่ทำขึ้นมาแล้วจริงๆ จะเป็นปัญหา อยู่ในตำแหน่งไหนก็ตั้งใจทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้น คำนี้เหมาะใช้ในอารามเต๋าของพวกเรา นางไม่ใช่คนที่จะมาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ”
ชิงหย่วนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ท่านเจ้าอาวาส…”
ท่านเจ้าอาวาสดูแปลกๆ
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ที่อาราม ด้านหน้ามีนางคอยจัดการปัญหาให้แก่ผู้ศรัทธา ด้านหลังก็มีเจ้าคอยดูแลอารามแห่งนี้ คอยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็รู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก อารามชิงผิงมุ่งหวังที่จะส่งเสริมเต๋าด้วยการทำความดีมาโดยตลอด การทำความดีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับอารามชิงผิงของพวกเรา การกุศลประจำปีจะขาดไม่ได้ อีกอย่างเมื่อข้าไม่อยู่ หากเด็กคนนั้นแอบขี้เกียจไม่ทำงานแล้ว เจ้าก็ช่วยเกลี้ยกล่อมเรื่องทำความดีสะสมบุญกุศลสักหน่อย อย่าให้นางหยุด เงินค่าน้ำมันตะเกียงเป็นเรื่องรอง บุญกุศลยิ่งสะสมยิ่งมีมาก ซึ่งเป็นผลดีไม่มีผลเสียต่อนาง”
“ท่านเจ้าอาวาส ท่านอย่าทำเช่นนี้ ศิษย์หวั่นใจไปหมดแล้ว” ใบหน้ากลมของชิงหย่วนมีความขมขื่น ในใจเริ่มหวาดหวั่น
มีคำว่า ‘ไม่เป็นมงคล’ ผุดขึ้นมาในใจ ท่านเจ้าอาวาสท่าทางเช่นนี้ ราวกับว่าจะไปแล้วไม่กลับมา กำลังเอ่ยคำสั่งเสียล่วงหน้า
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนหัวเราะ เอ่ยว่า “หวั่นใจอะไร ข้าก็เพียงเตือนเจ้าก่อนไป ไม่ใช่ว่าพอข้าไป ทุกคนราวกับว่าไม่มีใครดูแลแล้ว จึงไม่ทำอะไรเลย โดยเฉพาะเจ้าอาวาสน้อย เจ้าจำคำของข้าไว้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องเกลี้ยกล่อมนาง ให้นางคล้อยตาม”
เมื่อเขาเอ่ยจบก็ออกจากวิหารหลักไป
ชิงหย่วนจ้องมองร่างผอมบางหายไปที่หน้าประตู จมลงสู่ความมืด เจ้าอาวาสแก่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ชิงหย่วนรู้สึกใบหน้าเย็นเล็กน้อย เอื้อมมือไปแตะ เป็นหยดน้ำตา
เขาหันกลับมาแล้วมองไปยังเจ้าลัทธิเต๋า เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าลัทธิเต๋า ท่านเจ้าอาวาสเป็นบ้าอะไรหรือ”
อยู่ดีๆ มาสั่งเสียสิ่งเหล่านั้นทำไม
เขาหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมาแล้วจากไป วิหารหลักหลังใหญ่แห่งนี้ราวกับมีเสียงถอนหายใจเบาๆ กระจายไปทั่วห้อง
ผ่านไปนาน มีคนยกผ้ากำมะหยี่สีแดงที่คลุมโต๊ะขึ้นแล้วออกมา ขยี้ตา เอียงศีรษะมองดูประตูวิหาร ท่าทางเหม่อลอยไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนกลับไปยังห้องลับที่ภูเขาด้านหลัง จุดธูปคำนับแผ่นจารึกอดีตเจ้าอาวาสทั้งหมด จากนั้นก็หยิบป้ายชะตาชีวิตของตัวเองขึ้นมา เห็นว่าด้านบนมีรอยร้าวเล็กน้อย สายตาแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด
เขานั่งขัดสมาธิกลางค่ายอาคมแปดทิศไท่จี๋ มือทั้งสองข้างร่ายคาถา ปากพึมพำบทสวด กระแสพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่รอบตัวเขา ราวกับกระแสน้ำวนเล็กๆ รวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่ปลายนิ้ว เสกไปที่แผ่นชะตา ซ่อมแซมรอยร้าวทีละน้อยจนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยแม้แต่นิด
พรวด
เขากระอักเลือดสีแดงเข้มออกมา สีหน้าซีดขาว รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งตัว
แต่เมื่อเห็นป้ายชะตาชีวิตที่สมบูรณ์ไร้รอยแตก เขาก็ยังคงฉีกยิ้ม ปิดบังได้ชั่วขณะหนึ่งก็นับว่าดีแล้ว ตราบใดที่ป้ายชะตาชีวิตยังอยู่ดี นางก็จะไม่สงสัยอะไร
หึ คนเป็นอาจารย์ก็ต้องมีแผนสำรองจึงจะถูก
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนนำป้ายชะตาชีวิตกลับไปวางไว้ที่เดิม จากนั้นก็หยิบป้ายชะตาชีวิตที่เป็นของชื่อเจินจื่อมาจากมุมด้านข้าง แววตาลุ่มลึก
สามสิบกว่าปีก่อน เขาหนีไปได้หนึ่งครั้ง จะปล่อยให้เขาหนีไปได้เป็นครั้งที่สองอีกไม่ได้