ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 384 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-13

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 384 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-13

นางเสี่ยวจงมองพ่อบ้านจนร่างของเขาหายวับไปท่ามกลางความมืดของจวนชิง นางจึงหันหน้ากลับไปมองเรือนหลักของจวนชิงคราวหนึ่ง

หน้าต่างห้องของชิงหรานยังมีแสงสว่างอยู่รำไร

นางจึงรู้ว่าชิงหรานยังไม่เข้านอน

คนที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรย่อมไม่เข้านอนเร็ว

แต่นายท่านจินกับหลี่จวิ้นชางก็ไม่ได้ตามเขากลับมาด้วย

อาจไปหาที่ดื่มสุรากันอีก หรืออาจเข้ามาทางประตูข้าง นางเสี่ยวจงจึงไม่สังเกตเห็น

ทว่าชิงหรานก็บอกกล่าวมาชัดเจนเพียงนี้แล้ว นางเสี่ยวจงจึงไม่อาจถอยกลับได้อีกต่อไป

แม้ว่าเมื่อมองขึ้นไป ชิงหรานจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น

เพียงทิ้งประวัติคนผู้หนึ่งเอาไว้เท่านั้น

แต่ความพัวพันระหว่างคนที่เขียนกระดาษแผ่นนี้ คนในกระดาษกับตนเอง และชิงหรานกลับเป็นความเจ็บปวดที่นางเสี่ยวจงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ตลอดกาล

“ล้วนเป็นคนในด้วยกันทั้งสิ้น เหตุใดต้องแสร้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องเช่นนี้ด้วย”

นางเสี่ยวจงมองหน้าต่างของชิงหรานพลางบ่นอยู่ในใจ

แต่กลับพลั้งเอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจ

“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เจ้าก็เป็นฮูหยินของข้า แม้ฮูหยินของข้าจะให้กำเนิดบุตรสาวแก่ข้าผู้หนึ่ง แต่ในใจนางกลับยังคงมีคนผู้หนึ่งอยู่ในนั้นเสมอมา เรื่องนี้เกรงว่าไม่ว่าบุรุษคนใดก็ล้วนไม่อาจทนรับได้ทั้งสิ้น!”

เสียงหนึ่งดังเข้ามาที่หูของนางเสี่ยวจง

เป็นชิงหรานใช้พลังปราณส่งเสียงเข้ามาในหูของนาง

ร่างกายนางพลันสั่นสะท้าน…

ชั่วครู่หนึ่งก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นางเสี่ยวจงกล่าว

คำพูดนี้กลับตวาดออกมา

เกรงว่าทั่วทั้งจวนชิงคงไม่มีใครที่ไม่ได้ยิน

กระทั่งอาจลอยไปตามลมจนถึงทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดแล้วด้วย

“ข้าเห็นว่าเขาเป็นสหายเรื่อยมา และเจ้าก็เป็นฮูหยินของข้าเรื่อยมาเช่นกัน”

เสียงของชิงหรานสงบราบเรียบ

เป็นเพียงการอธิบายความจริงอย่างสงบ ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย

………………………….

ปีนั้นเยว่ซิงโม่มาประลองกับหลี่เจิ้งฮุยที่รัฐหง นึกไม่ถึงว่าเรื่องแรกที่ได้ยินเมื่อมาถึงรัฐหงคือหลี่เจิ้งฮุยเสียชีวิตกะทันหัน

ส่วนสาเหตุนั้นล้วนไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ไม่มีข่าวแพร่ออกมาจากตระกูลหลี่แต่อย่างใด

ผู้คนต่างพากันเล่าลือว่าเป็นเพราะพลั้งพลาดขณะฝึกยุทธ์ ทำให้อินหยางสองขั้วภายในกายแตกสลาย

สำหรับนักดาบผู้ฝึกยุทธ์แล้ว เกรงว่าคำกล่าวเช่นนี้จะสมเหตุสมผลและอธิบายได้สมบูรณ์ที่สุด

แต่เรื่องนี้กลับทำให้เยว่ซิงโม่ต้องลำบากใจไปทุกทาง…

เพราะเขาอุตส่าห์เดินทางไกลนับหมื่นลี้มายังรัฐหงแห่งแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง แต่กลับได้พบกับโลงศพโลงหนึ่ง

โลงศพไม่มีวิชายุทธ์ ไม่ได้ฝึกยุทธ์ ยิ่งใช้ดาบไม่เป็น

แล้วควรจะทำเช่นใดดี

แต่เยว่ซิงโม่ก็ยังทำตามหลักคุณธรรม ไปที่ตระกูลหลี่เพื่อไว้อาลัย

และก็ได้พบกับชิงหรานในโถงไว้อาลัยของตระกูลหลี่

บางทีนี่อาจเป็นสัญชาตญาณของคนในยุทธภพ ทั้งสองมองตากันอยู่เนิ่นนานในโถงไว้อาลัยอันเคร่งขรึม จากนั้นก็หัวเราะลั่นขึ้นมา!

แม้ชิงหรานกับตระกูลหลี่จะมีเรื่องขัดเคืองกันไม่หยุดหย่อน และแข่งขันกันอยู่เสมอ

แต่เรื่องพิธีรีตองตามธรรมเนียมก็ยังต้องทำอยู่

ชิงหรานหาได้ชื่นชอบหลี่เจิ้งฮุย

และนับไม่ได้ว่าเป็นสหายกับเขา

ยิ่งไปกว่านั้น แม้หลี่เจิ้งฮุยจะเป็นคนรุ่นเดียวกับเขา แต่กลับเป็นผู้นำตระกูลหลี่แล้ว

เรื่องนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ…

แต่ในงานไว้อาลัยนี้กลับทำให้เขาได้พบกับคนน่าแค้นใจที่พบกันช้าไป สำหรับชิงหรานแล้วนับได้ว่ามาไม่เสียเที่ยว

ชิงหรานพาเยว่ซิงโม่มายังที่ปลอดคน

ที่แห่งนี้ภูผาธารางามดุจภาพวาด ภาพวาดดุจภูผาธารางาม

ให้ความเป็นกันเองอย่างยิ่งกับเยว่ซิงโม่ผู้ซึ่งมีชาติกำเนิดต่ำต้อยจากแดนผิงหนานอ๋อง

ริมธารใสสายหนึ่ง หลังฝนเพิ่งหยุดมีกระบี่และดาบปักอยู่บนพื้นดินที่เหมือนผิวขนมเหอเถากรอบ (คุกกี้วอลนัท)

กระบี่คือกระบี่ของเยว่ซิงโม่ มันไร้นาม

แต่ก็เป็นกระบี่เลื่องชื่อที่ถูกขนานนามว่าออกจากฝักย่อมเห็นโลหิต

ดาบเป็นดาบของชิงหราน มันไร้นามเช่นกัน

ทว่าชิงหรานกลับทึกทักเอาเองว่าดาบของเขานั้นว่องไวกว่าดาบของหลี่เจิ้งฮุยไม่น้อยเลยทีเดียว!

ริมธารน้ำใสมีบุรุษสองคนยืนอยู่

เหมือนว่าต่างก็เพิ่งตากฝนมา ผมเผ้ายุ่งเหยิงเปียกปอนระลงบ่าและปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง

ซึ่งก็คือชิงหรานและเยว่ซิงโม่

ทั้งสองยังเปลือยร่างท่อนบนด้วย

ในแววตามีทั้งความเด็ดเดี่ยวและเย็นชา แต่ก็มีความร้อนระอุฉายวาบเป็นระยะ!

ราวกับอยู่ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ และคล้ายว่ากำลังรอโอกาสอยู่

แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่

เมื่อนักดาบลือนามแห่งรัฐหงแดนเจิ้นเป่ยอ๋องและมือกระบี่ชั้นแนวหน้าแห่งรัฐซานเหมินแดนผิงหนานอ๋องได้มาพบกันยังจะทำสิ่งใดได้อีก

ย่อมต้องประชันกระบี่ ประลองดาบ

“เหมือนว่าชื่อเสียงของเจ้าจะไม่ทัดเทียมหลี่เจิ้งฮุย!”

เยว่ซิงโม่เอ่ยปาก

“ไม่ผิด! เขาคือผู้นำตระกูลหลี่ ส่วนตัวข้าจนถึงบัดนี้เป็นเพียงคุณชายผู้หนึ่งในจวนชิงเท่านั้น”

ชิงหรานเอ่ยทั้งพยักหน้า

“น่าเสียดายที่เขาตายเสียแล้ว…”

เยว่ซิงโม่เอ่ยด้วยความทอดอาลัยนัก

“เขาตายแล้วไม่สำคัญ เพราะจะอย่างไรนักดาบในรัฐหงก็ไม่ได้มีเพียงเขาผู้เดียว นอกจากตระกูลหลี่แล้ว ก็ยังมีจวนชิงของข้า นอกจากหลี่เจิ้งฮุยแล้วก็ยังมีข้าชิงหราน”

ชิงหรานกล่าว

“ที่แท้เจ้านามว่าชิงหราน!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

แม้ว่าทั้งสองจะอยู่ด้วยกันมาสองชั่วยามแล้ว แต่เยว่ซิงโม่กลับเพิ่งรู้ชื่อแซ่ของอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้เอง

ทว่าด้วยนิสัยของเขา เรื่องนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล

เมื่อต้องสมาคมกับผู้คน ก็สนใจเพียงว่าศีลเสมอกันหรือไม่

หากว่าเสมอกัน แม้ไม่รู้ชื่อแซ่ก็ไม่เป็นไร

แต่หากศีลไม่เสมอกัน ต่อให้รู้ชื่อแซ่แล้วจะอย่างไรต่อเล่า

“ชิงในกลอน ‘สีครามและเสียงกวาง’ หรานในสำนวน ‘เผาแกลบส่องสว่าง’[1]”

ชิงหรานกล่าว

“ว่ามาเช่นนี้ ชิงหรานเป็นนามที่ดียิ่งนัก!”

เยว่ซิงโม่กล่าว

ชิงหรานพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็นิ่งเงียบลง

ตกลงกันแล้วว่าจะประชันกระบี่ ประลองดาบ

แต่ทั้งดาบและกระบี่ของคนทั้งสองล้วนปักอยู่บนดินโคลนด้านข้างห่างออกไป

สองมือว่างเปล่า แล้วจะประลองกันอย่างไร

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาคิดวิธีที่แสนประหลาดออกมาวิธีหนึ่ง…

นั่นก็คือการลักกระบี่ ขโมยดาบ

เกรงว่านี่คงจะเป็นวิธีประลองที่มีเพียงหนึ่งในใต้หล้า

ชิงหรานลักกระบี่ของเยว่ซิงโม่

ส่วนเยว่ซิงโม่ก็ขโมยดาบของชิงหราน

‘แกรกๆ…’

กิ่งไม้แห้งในป่าที่ถูกลมพัดร่วงหล่นส่งเสียงบางเบาลอยมาเป็นระยะ

ทุกเสียงล้วนทำให้ทั้งสองม่านตาหดลง หัวใจบีบรัด…

ครั้งนี้ชิงหรานเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

สำหรับมือกระบี่ระดับแนวหน้า เสียงเป็นเรื่องที่เกินความจำเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะเป็นเพียงการประลอง ไม่ได้ต่อสู้ถึงเป็นตาย

แต่ชิงหรานและเยว่ซิงโม่ต่างก็เป็นคนที่จริงจังเป็นที่สุด

ทุกครั้งที่ประลองกันล้วนลงมือราวกับต่อสู้เอาเป็นเอาตาย

ลำพังแค่ท่าทีเช่นนี้ ก็ทำให้ไปถึงระดับตื่นตระหนกขวัญกระเจิงแล้ว…

เสียงกิ่งไม้ไหวที่เกินความจำเป็นในครั้งนี้ อาจส่งผลต่อการต่อสู้ที่จบลงด้วยความเป็นตายทีเดียว

มือของเยว่ซิงโม่สั่นเล็กน้อย

ไม่ใช่ตื่นเต้นหรือหวาดกลัว

แต่เป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง

ความเคยชินเมื่อใช้กระบี่

หากกระบี่อยู่ในมือ และตรงหน้าคือศัตรูตัวฉกาจ

เสียงกิ่งไม้ไหวเมื่อครู่นี้กลับเป็นโอกาสลงมือที่ดีที่สุด

ทว่าในมือเขากลับไม่มีกระบี่

แต่แววตาทั้งคู่ที่รุนแรงยิ่งกว่าแสงกระบี่ยังคงจ้องเขม็งที่แหล่งต้นเสียง

“มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากตัวข้าไปเจ็ดจั้งครึ่ง…”

เยว่ซิงโม่คิดในใจเงียบๆ

ในเมื่อจะขโมยกระบี่ ก็เหมือนการเล่นซ่อนหาของเด็กๆ

ที่ไม่อาจพุ่งออกไปอย่างเปิดเผย

เพราะนั่นเรียกว่าแย่งเอา ไม่เรียกขโมย

การขโมยเน้นลงมือทำโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เงียบกริบไร้สุ้มเสียง

แต่เยว่ซิงโม่กลับรู้ว่าเสียงกิ่งไม้แห้งที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้ต้องเป็นกลลวงของชิงหราน

เพราะเขาย่อมไม่โง่จนทำให้มีเสียงจากการเคลื่อนไหวดังถึงเพียงนั้น

ชิงหรานเองก็รู้ว่าตนหลอกเยว่ซิงโม่ไม่ได้

ทว่าขอเพียงให้เขาเสียสมาธิได้น้อยนิดก็พอแล้ว

และตัวเขาในเวลานี้ก็เข้าใกล้กระบี่ของเยว่ซิงโม่ทุกที

รอจนเขาเข้าไปใกล้กระบี่มากแล้ว

จวบจนชิงหรานรู้สึกว่ากระบี่อยู่แค่เอื้อมมือถึง

ชิงหรานก็ถีบตัวขึ้น สองแขนยื่นไปข้างหน้า กระโจนเข้าหากระบี่เล่มนั้น

ทว่าคนเรามักพลาดที่ก้าวสุดท้ายนี้…

กระบี่ที่ดูเหมือนจะอยู่ในมือแล้ว จู่ๆ กลับบินขึ้นไปบนฟ้า

ชิงหรานเงยหน้ามองกระบี่เล่มนั้น แต่ในเวลาเดียวกันเยว่ซิงโม่กลับมายืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว

ชี้นิ้วหนึ่งทำเป็นกระบี่ และจ่ออยู่ท้ายทอยของเขา

“กระบี่ของเจ้าบินขึ้นไปได้เองจริงหรือ”

ชิงหรานยืนตัวแข็งทื่อพลางเอี้ยวคอมาถาม

“กระบี่ของข้ามีวิญญาณ เจ้าเชื่อหรือไม่”

เยว่ซิงโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“นั่นมันเป็นนิทานของนักเล่านิทาน ตอนข้ายังเล็ก บิดาข้ายังเคยหลอกข้าว่ากระโถนข้างใต้เตียงมีวิญญาณอยู่ด้วย!”

ชิงหรานเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน

แต่เยว่ซิงโม่กลับมีท่าทีจริงจังอย่างยิ่ง

สีหน้าเช่นนี้ ไม่ใช่สีหน้าที่ควรมียามล้อเล่น

บางครั้งบางคนก็ชอบพูดเรื่องส่งเดชด้วยท่าทีขึงขัง

แต่เยว่ซิงโม่กลับขึงขังจริงจังยิ่ง ไม่ได้ดูพูดส่งเดชแม้แต่น้อย

“กระบี่เล่มนี้ไม่ได้เป็นกระบี่เลื่องชื่อ แต่กลับเอาชนะผู้มีชื่อเสียงที่ถือกระบี่เลื่องชื่อมาไม่น้อย มันอยู่ในมือข้ามาสิบห้าปีไม่เคยเปลี่ยนนาย อาจเพราะเหตุนี้ภายหลังมันจึงมีชื่อแล้ว หากไม่นับเจ้า มีคนทั้งหมดสามร้อยสองคนที่ชื่นชอบและต้องการครอบครองมัน”

เยว่ซิงโม่กล่าว

“แต่เวลานี้กระบี่เล่มนี้ยังอยู่ในมือเจ้า เช่นนั้นคนทั้งสามร้อยสองคนนั้นไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าลงเอยเช่นใด”

“ไม่หรอก คนที่ตายใต้กระบี่เล่มนี้มีเพียงสามร้อยหนึ่งคน”

เยว่ซิงโม่เอ่ยทั้งส่ายหน้า

ชิงหรานขมวดคิ้ว…

หากมีคนหนึ่งไม่ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะขโมยกระบี่ไม่สำเร็จ เช่นนั้นก็ยังคงพยายามอยู่อย่างไม่ลดละ

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด ก็ไม่มีสถานการณ์ไหนที่สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเลย

“แล้วคนอีกผู้หนึ่งลงเอยอย่างไรหรือ”

ชิงหรานถาม

“คนอีกผู้หนึ่งก็คือบิดาข้า เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ชื่นชอบกระบี่ของข้ายิ่งนัก แต่เขาเป็นวัณโรคตายไปแล้ว ไม่ได้ตายเพราะถูกกระบี่ข้าสังหาร!”

เยว่ซิงโม่กล่าวทั้งหัวเราะยกใหญ่

เวลานี้กลายเป็นเรื่องล้อเล่นเสียแล้ว

บิดาชื่นชอบกระบี่ของบุตรชาย เดิมทีก็เป็นเรื่องแสนจะปกติอยู่แล้ว

หากบุตรชายชักกระบี่ออกมาสังหารบิดา เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจแบกรับคำว่าคุณธรรมนี้ได้

เยว่ซิงโม่มองสีหน้าของชิงหรานที่เริ่มจากตกตะลึงกลายเป็นนิ่งเหม่อ ก่อนกลับมาผ่อนคลายและหัวเราะลั่นไปพร้อมกับตนก็รู้สึกพึงพอใจนัก

เรื่องเล่านี้เขาใช้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

ทุกครั้งล้วนให้ผลเหมือนกัน

ครึ่งแรกเคร่งขรึม ครึ่งหลังกลับคาดคิดไม่ถึง

“ที่แท้ พี่เยว่กำลังกระเซ้าข้า!”

ชิงหรานเอ่ยหลังหยุดหัวเราะ

“หาได้มีเจตนาล้อน้องชิงเล่น…เพียงแต่ทุกครั้งที่ข้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ท่าทีของทุกคนล้วนเหมือนกัน ทำข้าเบื่อหน่ายนัก…”

เยว่ซิงโม่กล่าว

ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้เขาหัวเราะอย่างเบิกบานใจยิ่ง แต่เวลานี้กลับบอกว่าเบื่อหน่าย

คนผู้หนึ่งหากรู้สึกเบื่อหน่าย แต่กลับหัวเราะลั่นอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องประหลาดน่าอัศจรรย์โดยแท้!

“ไม่เว้นสักคนเลยหรือ”

ชิงหรานซักไซ้

………………………………………

[1] เผาแกลบส่องสว่าง หมายถึง ความมานะบากบั่น

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท