ตอนที่ 316 หมดสติ
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกระโดดลงจากหลังม้า รีบไปตรงหน้าเฮ่อชิงเซียว “ใต้เท้า เมื่อคืนเกิดเรื่องแล้ว”
เฮ่อชิงเซียวระงับสีหน้าได้ เดินก้าวตรงไปแสดงท่าทางให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเข้ามารายงาน
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินกระซิบเบาๆ ข้างหูเขา
ซินโย่วนิ่งมองสีหน้าแปรเปลี่ยนของเฮ่อชิงเซียวเงียบๆ ในใจนางเองก็นึกอยากรู้
เจ้าหน้าที่เฝ้าสุสานที่อยู่ข้างๆ ก็พยายามเงี่ยหูฟัง
กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินรายงานจบ เฮ่อชิงเซียวก็มีสีหน้าสงบดังปกติ หันหลังเดินกลับไปหาซินโย่ว
“ใต้เท้าเฮ่อ การงานมากมาย รีบกลับไปเถิด” แม้ซินโย่วอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่กลับไม่ได้ถาม
หากบอกได้ ใต้เท้าเฮ่อก็คงบอกนาง หากไม่ได้ ไยต้องถามให้เขาลำบากใจ
“ซินไต้จ้าว ขอคุยส่วนตัวสักครู่”
ซินโย่วเดินตามเฮ่อชิงเซียวออกไปท่ามกลางสายตาอยากรู้ของเจ้าหน้าที่เฝ้าสุสาน
เฮ่อชิงเซียวกระซิบบอกข่าวที่ได้ยินมาเมื่อครู่ “เมื่อคืนฝ่าบาทชมจันทร์กับไทเฮาบนแท่นไม้สูง พลันมีก้อนหินหนึ่งร่วงลงมากระแทกโครงไม้ โชคดีที่ซิ่วอ๋องปกป้องไทเฮาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นไทเฮาก็คงถูกโครงไม้ร่วงใส่”
ซินโย่วสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “แล้วซิ่วอ๋องเล่า?”
“ซิ่วอ๋องถูกโครงไม้กระแทกศีรษะ ตอนนี้ยังไม่ฟื้น”
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เฮ่อชิงเซียวเอ่ยว่า “เมื่อคืนวานนี้มีคนร่วมอยู่ในที่นั้นไม่น้อย คิดว่าวันนี้ก็คงเรียกตัวข้าเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ หากมีความคืบหน้าค่อยแจ้งมาอีกครั้ง”
เรื่องนี้จะว่าไปแล้วไม่เกี่ยวข้องกับเฮ่อชิงเซียวและซินโย่ว
โครงไม้ตกใส่คนบนแท่น หากเป็นฝีมือคน เกรงว่าคงก่อให้เกิดเหตุหลั่งโลหิตได้ แต่หากเป็นเพียงอุบัติเหตุแท้จริง ก็อาจมีคนถูกลงอาญา แต่อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับทั้งสองคนที่ฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงอยู่ที่สุสานหลวง
แต่หากกล่าวถึงผลกระทบในวันหน้า เช่นนั้นก็ย่อมไม่ได้การแล้ว
หากซิ่วอ๋องไม่ฟื้น ‘คุณชายซิน’ ในสายตาคนทั่วไปก็ย่อมมีความสำคัญมากขึ้น อย่างไรคนที่สร้างความชอบใหญ่โตเพียงใด หากตายไปก็เป็นเพียงความว่างเปล่า องค์ชายน้อยหลายพระองค์ก็จะเติบโตตามมา
หากซิ่วอ๋องไม่เป็นอันใด เช่นนั้นองค์ชายใหญ่ที่ช่วยไทเฮาไว้จากนี้ก็ย่อมได้รับความโปรดปรานและสนับสนุนจากไทเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย ควรรู้ว่าฮ่องเต้ทรงกตัญญูต่อไทเฮามาก ท่าทีของไทเฮาย่อมส่งผลกระทบต่อท่าทีของฮ่องเต้
ในใจเฮ่อชิงเซียวกำลังคิดแต่เรื่องนี้ พร้อมกับแววตาเก็บซ่อนความรู้สึกเห็นใจมองไปทางซินโย่ว
หากเป็นดังประการหลัง ย่อมเป็นอุปสรรคต่อคุณหนูซินที่คิดใช้สถานะคุณชายซินยืนหยัดในราชสำนักไม่น้อย
นับประสาอันใดกับคนเช่นซิ่วอ๋องที่แม้แต่เขาเองก็ยังมองไม่กระจ่าง
“ใต้เท้าเฮ่อคิดว่าระหว่างอุบัติเหตุกับฝีมือคน เหตุใดมีความเป็นไปได้มากกว่า”
เรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ หากมีคนอื่นอยู่ คำพูดนี้ไม่ควรถามออกมาอย่างเด็ดขาด แต่ยามแน่ใจว่าคำพูดไม่ไปถึงหูคนที่สาม ซินโย่วก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
นี่เป็นความเชื่อใจที่สั่งสมมาหลังร่วมเดินทางลงใต้และร่วมเป็นร่วมตายกันมา
“ต้องรอตรวจสอบก่อนจึงจะตัดสินได้ แต่ความรู้สึกของข้า มีความเป็นไปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุมากกว่า”
เรื่องนี้ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดก็คือซิ่วอ๋อง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าเขาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย สถานที่เกิดเหตุอยู่ในวัง องค์ชายที่อยู่นอกวังและไม่เป็นที่โปรดปราน หากยื่นมือเข้าไปจัดการวางแผนในวังได้ก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก
“ใต้เท้าเฮ่อรับกลับไปเถอะ” ซินโย่วค่อนข้างเชื่อถือความรู้สึกของเฮ่อชิงเซียว
เรื่องนี้มิใช่เพราะเป็นคนที่นางพึงใจเอ่ยจึงได้คล้อยตามไปเสียทุกเรื่อง แต่เพราะด้วยประสบการณ์ของใต้เท้าเฮ่อที่ประสบเหตุการณ์ไม่คาดคิดมามากมาย หากความรู้สึกไม่แม่นยำ นางและเขาก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จักกันแล้ว…
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า “เช่นนั้นข้ากลับเข้าเมืองก่อน”
เฮ่อชิงเซียวรับสายบังเหียนจากเจ้าแปดมาแล้วก็กระโดดขึ้นหลังม้า ประสานมือให้ซินโย่วก่อนกระชากม้าจากไป
ซินโย่วยืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับเงียบๆ
เจ้าหน้าที่เฝ้าสุสานตามมาข้างๆ อย่างไม่ได้มีความคิดใด
“เจ้าหน้าที่ฉินไปทำงานเถอะ” ซินโย่วเอ่ยอย่างเกรงใจ
ตำแหน่งเจ้าหน้าที่เฝ้าสุสานพวกนี้แทบจะทำไปจนแก่เฒ่า บิดาส่งต่อบุตร จากมุมมองนี้ จึงนับว่าค่อนข้างบริสุทธิ์ไร้พิษภัย
แววตาเฝ้ารอของเจ้าหน้าที่เฝ้าสุสานมอดดับลง “ขอรับ”
เขายังคิดว่าคุณชายซินอาจทนไม่ไหว จะเอ่ยอันใดกับเขาบ้าง
ดังคาด เขาคิดไปเอง
เจ้าแปดกลับไม่ได้เก็บสงวนท่าทีดังเช่นเจ้าหน้าที่เฝ้าสุสาน เขยิบเข้าใกล้ซินโย่วพลางถามอย่างอยากรู้ขึ้นว่า “คุณชาย ในเมืองเกิดเรื่องอันใดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อพวกเราหรือไม่”
“ในวังเกิดเรื่องนิดหน่อย ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อพวกเรา…” ซินโย่วชะงัก สีหน้าพลันประหลาดไปเล็กน้อย
แม้ซิ่วอ๋องได้รับการสนับสนุนจากไทเฮาและได้รับความสำคัญจากคนผู้นั้น ในระยะเวลาอันสั้นก็คงไม่ส่งผลกระทบต่อนาง แต่ไม่รู้เหตุใด ตอนพูดคำนี้ออกไป นางกลับมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
อืม อย่างไรนางก็มิใช่ใต้เท้าเฮ่อ ความรู้สึกไม่ได้แม่นยำเพียงนั้น
ซินโย่วเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีครามเข้มไกลออกไป ในใจก็ค่อยๆ สงบลง
การเฝ้าสุสานสำหรับหลายคนแล้วเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายมาก แต่สำหรับนางที่ออกเดินทางท่องเที่ยวมาตลอดจนมารดาเกิดเรื่อง นับว่าเป็นวันเวลาที่สงบสุขหาได้ยาก
นางต้องการหยุดพักสักหน่อย จึงจะมีความกล้าก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่ปูลาดไปด้วยขวากหนาม
เฮ่อชิงเซียวกลับถึงสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ ก็ได้ทำความเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น
เรื่องเกิดในวัง ส่วนใหญ่มอบให้คนในวังตรวจสอบเชิงลึก แต่เมื่อคืนคนอยู่ในที่เกิดเหตุไม่น้อย และเกือบร่วงใส่ไทเฮา ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงไม่ได้สนพระทัยธรรมเนียมอันใดมากมาย ให้กรมอาญาและกรมโยธาเข้าร่วมกับขันทีในวังตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียด
ยามนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำลังรับฟังรายงานจากขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องนี้ “ทูลฝ่าบาท หลังจากพวกกระหม่อมได้ตรวจสอบแล้ว น่าจะเพราะน้ำฝนหน้าร้อนนี้มาก ทำให้ก้อนหินหลุดร่วงลงมา…”
“กล่าวเช่นนี้ นี่คืออุบัติเหตุ?”
ยามเผชิญหน้ากับสายพระเนตรเฉียบคมของฮ่องเต้ เหล่าขุนนางก็พากันก้มหน้าลง “ตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยว่าเป็นฝีมือคนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งเงียบไปเป็นนาน ก่อนระบายความอัดอั้นทิ้งตรัสว่า “ลำบากทุกท่านแล้ว”
ก้อนหินตกกระแทกโครงไม้ โครงไม้ก็หักร่วงลงมา หากเป็นฝีมือคนแล้วคิดต้องการควบคุมให้ได้ระดับนี้ เช่นนั้นก็ต้องเปลืองสมองวางแผนไม่น้อย
เรื่องของอุบัติเหตุ แต่ไรมาก็ไร้เหตุผล เรื่องเกิดขึ้นแล้วก็ได้แต่เกิดไป รับเคราะห์แล้ว…
แต่หากกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึก ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ย่อมหวังว่าจะเป็นอุบัติเหตุอย่างแน่นอน
บุคคลเกิดในราชวงศ์แล้งน้ำใจเป็นเรื่องปกติของทุกยุคสมัย ทว่าผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรแล้งน้ำใจได้ แต่ก็หวังว่าผู้อื่นจะไม่เป็นพวกแล้งน้ำใจเช่นเดียวกับเขา
“ตรวจสอบให้ละเอียดอีกที” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสแล้วก็เสด็จลุกขึ้นไปดูแลการจัดการตำหนักข้างให้ซิ่วอ๋องพัก
แม้เป็นอุบัติเหตุ แต่คนดูแลงานนี้ ทั้งการอารักขาไม่เหมาะสมและการจัดงานเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง…จากนี้ไปคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดคงต้องโดนลงโทษกันไม่น้อย แต่ท่าทีในพระทัยของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มิใช่เช่นนี้
ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยา ซิ่วอ๋องนอนหลับตาอยู่บนเตียงไม้ชั่วคราว บนศีรษะมีผ้าพันแผลหลายชั้น
มีคราบโลหิตเปื้อนผ้าขาวซึมออกมา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่แลดูอ่อนแอน่าสงสาร
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จ้องมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของซิ่วอ๋อง พลันรู้สึกว่าบุตรชายคนโตของเขาผู้นี้ ตอนนี้อายุเพียงแค่สิบเก้า ยังไม่ถึงวัยสวมกวน[1]
ยังคงเป็นหนุ่มน้อยจริงๆ
พอรับรู้เช่นนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่เคยเย็นชาต่อบุตรชายคนโตมาตลอดก็รู้สึกพระทัยอ่อนลงเล็กน้อย
มีเสียงเคลื่อนไหวดังขึ้นด้านหลัง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หันไปก็เห็นนางกำนัลประคองไทเฮาเสด็จเข้ามา
“เสด็จแม่ เหตุใดไม่ทรงพักผ่อนให้ดีๆ”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ พักผ่อนอันใด” ไทเฮามองไปด้านในทีหนึ่ง สีพระพักตร์เป็นห่วง “เหตุใดผิงเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นอีก”
[1] การสวมกวนเป็นพิธีที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ โดยผู้ชายจะเข้ารับพิธีประดับกวนเมื่ออายุครบ 20 ปี