คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 780 ตามหาคน ไปได้จังหวะพอดี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 780 ตามหาคน ไปได้จังหวะพอดี

หลังจากส่งอาจารย์ไปที่เส้นเลือดมังกร ฉินหลิวซีไม่ได้รอช้า ไปเรียกเฮยซาที่มัวแต่สนุกอยู่ที่ป่าวั่นไหวจนไม่ยอมกลับบ้าน จากนั้นค่อยกลับไปที่ร้านเฟยฉางเต๋า พาหลานซิ่งที่รออยู่ด้วยความเป็นกังวลแล้วมุ่งหน้าไปที่ฉีโจว

สำหรับชื่อเจินจื่อ นางมีความรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าหากไม่ทุบตีอีกฝ่ายให้ตาย จิตใจนี้ก็ไม่สามารถสงบลงได้อย่างแท้จริง

หาเขาให้เจอ แล้วฆ่าเขาซะ!

หลานซิ่งผูกใจอยู่กับหลานโย่ว ความจริงแล้วอยากจะเดินทางไปก่อนคนเดียวตั้งนานแล้ว เป็นเถ้าแก่เว่ยที่บอกว่าเขาใช้เวลาเดินทางสิบวัน ก็ตามไม่ทันฉินหลิวซีที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม

เดิมทีเขาไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ จนกระทั่งเขาถูกพาเดินไปตามเส้นทางที่ไม่ธรรมดา เมื่อเข้าสู่อาณาเขตของฉีโจวแล้วเขาก็ยังคงตะลึงอยู่เล็กน้อย

“ดึงสติกลับมาได้แล้ว!” เฮยซาตบไหล่เขา

หลานซิ่งสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ในหัวนึกถึงผีที่ตายในรูปแบบต่างๆ ที่เขาพึ่งเห็นเมื่อครู่ หันศีรษะแล้วอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง

“เป็นอะไรหรือไม่” ฉินหลิวซียื่นลูกอมน้ำผึ้งผสมใบสะระแหน่ให้เขา กล่าวว่า “อย่าไปใส่ใจมากเกินไป ตราบใดที่เจ้าเคยเห็นคนตาย ก็เป็นเช่นนั้น คิดเสียว่าเขาเป็นคนที่ตายไปแล้วก็พอ”

หลานซิ่ง ‘ไม่ได้คิดเอาเอง เพราะนี่ก็เป็นคนตายอยู่แล้ว’

เขายัดลูกอมเข้าปาก ถามว่า “ตอนนี้พวกเราต้องหาอย่างไร ต้องถามผู้คนหรือไม่”

“แบ่งเป็นสองเส้นทาง เฮยซาไปหาพวกภูตภูเขาปีศาจเร่ร่อนหรือวิญญาณสัมภเวสีแล้วลองถามดูว่ารู้หรือไม่ว่าวังหลิงซวีนั้นอยู่ที่ไหน เครื่องรางหยกนี้มีกลิ่นไอวิญญาณของข้า เจ้าถือไว้จะสามารถหาข้าเจอได้”

ฉินหลิวซีมอบเครื่องรางหยกทรงกลมให้เขา ก่อนจะเอ่ยกับหลานซิ่งว่า “เจ้าไปกับข้า”

เฮยซาหายตัวไปในป่าพร้อมกับเครื่องรางหยกในมือ

หลานซิ่งถามว่า “พวกเราจะไปไหนหรือ”

“เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้พบว่าหลายสิ่งเกี่ยวข้องกับฉีโจว ข้าแค่อยากจะตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัดที่หลานโย่วอยู่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะหาวังหลิงซวีได้ราบรื่นขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางมุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมือง

ถุงสัมภาระที่นางแบกอยู่ขยับเล็กน้อย มีเสียงคนเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ได้จะไปเขาว่านฝอหรอกหรือ”

หลานซิ่งตกใจ “ใครเป็นคนพูด”

ตรงนี้มีพวกเขาแค่สองคน จะมีใครพูดได้อย่างไร

ฉินหลิวซีหันศีรษะเล็กน้อย “ก็แค่คางคกตัวหนึ่ง อย่าสนใจมันเลย”

“หา?”

“มันก็แค่คางคก”

หลานซิ่ง ‘เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ คางคกพูดได้?’

คางคกแทบจะกระโดดออกมาจากกล่องหยก “ข้าเป็นลูกหลานของกิมเซียมซูสามขา”

“หุบปาก” ฉินหลิวซีดึงมือหลานซิ่งไปแล้วแอบร่ายคาถา ไม่นานก็มาถึงประตูเมือง

หลานซิ่งงับเส้นผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง ก้มลงมองเท้าทั้งสองข้าง เมื่อครู่รู้สึกเหมือนเพียงก้าวเดียวแต่ไปไกลถึงสิบก้าว คิดไปเองหรือ เหตุใดจึงมาถึงประตูเมืองภายในพริบตา

เขาอยากจะถาม แต่ก็ระงับไว้อย่างมีไหวพริบ ถามมากเกินไปจะทำให้ตัวเองดูไม่มีความรู้ ช่างเถิด

เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินเข้าไปในเมือง หลานซิ่งก็รีบดึงนาง เอ่ย “พวกเราไม่มีเอกสารประทับตราผ่านประตูเมืองอื่น”

หากไม่มีสิ่งนี้ จะถูกจับกุมหรือไม่

“ไม่มีปัญหา” ฉินหลิวซีพาเขาไปยื่นเอกสารที่ว่าให้กับทหาร

หลานซิ่งใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ รู้สึกผิดอย่างไม่มีเหตุผลเล็กน้อย ทหารผู้นั้นเพียงแค่เหลือบมอง จากนั้นก็ให้พวกเขาเข้าไป

หลานซิ่ง “!”

เป็นช่วงเวลาที่ได้เปิดโลกอีกแล้ว!

เมื่อเข้าไปในเมือง ฉินหลิวซีได้หาคนมาถามว่าตระกูลเริ่นที่อยู่ในซอยจิ่วชุ่นตรอกปาจิ่นนั้นอยู่ที่ไหน จากคำชี้แนะ ก็ได้เช่ารถม้าแล้วไปที่นั่น

ตระกูลเริ่นเป็นตระกูลเดิมของอวิ๋นเหนียง บิดาของนางนามว่าเริ่นหมิงกวงเป็นรองนายอำเภอฉีโจว

“พวกเจ้าจะไปร่วมไว้อาลัยแก่ตระกูลเริ่นหรือ” คนขับรถอยากรู้เป็นอย่างมาก

หลานซิ่งมึนงง ฉินหลิวซีหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง “ใครในตระกูลเริ่นเสียชีวิต?”

“ฮูหยินเริ่นไง พวกเจ้าไม่รู้หรือ”

ฉินหลิวซีสีหน้าเปลี่ยนไป ฮูหยินเริ่น เป็นแม่ของอวิ๋นเหนียง แต่ก่อนหน้านี้นางกลับมองโหงวเฮ้งของอวิ๋นเหนียงไม่ออกว่ามารดานางกำลังจะตาย

“มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่”

“ดูเหมือนจะเป็นเมื่อวาน” คนขับรถเอ่ย “เมื่อสองวันก่อนข้าได้ผ่านไปที่ซอยจิ่วชุ่น ตระกูลเริ่นก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะจัดงานศพ แต่เมื่อวานที่ข้าพาลูกค้านั่งรถผ่าน เห็นตระกูลเริ่นแขวนโคมสีขาว”

เช่นนั้นก็เป็นการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

นี่มันเป็นเรื่องโชคร้าย หรือเป็นความบังเอิญ

เมื่อหลานซิ่งเห็นสีหน้าของฉินหลิวซีมืดมนราวกับสายน้ำ ถามเสียงเบาว่า “มีอะไรหรือ”

ฉินหลิวซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฮูหยินเริ่นคือคนที่ข้ามาตามหา เมื่อสองวันก่อนข้าพึ่งจะทำคลอดบุตรสาวของนาง ตอนนั้นไม่ได้เห็นว่านางมีดวงที่จะสูญเสียมารดา แต่ตอนนี้คนผู้นี้ได้จากไปแล้ว”

หลานซิ่งตกตะลึง เอ่ยขึ้น “บางทีท่านอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น หรืออาจจะดูผิดไปหรือไม่”

ฉินหลิวซีอยากจะบอกว่าน้อยมากที่ตัวเองจะดูผิดไป แต่ตอนนี้คนได้เสียชีวิตแล้ว นางก็เอ่ยอะไรไม่ได้ บางทีอาจเป็นตอนที่นางออกจากเมืองไป โหงวเฮ้งของอวิ๋นเหนียงก็เปลี่ยนไปแล้ว อย่างไรเสียโหงวเฮ้งก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อมาถึงซอยจิ่วชุ่น ที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งได้แขวนโคมไฟสีขาวสองดวงที่เขียนคำว่า ‘อาลัย’ อยู่จริงๆ แกว่งไปมาท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วง

หลานซิ่งจ่ายค่ารถ ยืนอยู่ข้างฉินหลิวซี เมื่อเห็นว่านางสีหน้านิ่ง จึงรู้ตัวว่าไม่ควรเอ่ยอะไร

ฉินหลิวซีมาที่หน้าประตูจวน เนื่องจากมีการจัดพิธีศพ และเพื่อให้ผู้มาร่วมพิธีไว้อาลัยสะดวก จึงไม่ได้ปิดประตู มีเพียงบ่าวรับใช้ที่สวมชุดกระสอบ มีผ้าสีขาวผูกที่เอวกำลังต้อนรับแขก

เมื่อเห็นฉินหลิวซี เห็นว่านางแปลกหน้า บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ได้หยิบพู่กันขึ้นมาถามชื่อของนาง

บ่าวรับใช้ตกตะลึง “คุณหนูใหญ่ได้รับจดหมายไว้ทุกข์เร็วขนาดนี้เชียวหรือเจ้าคะ”

ฉินหลิวซีตอบอย่างคลุมเครือ

“เช่นนั้นชื่อของท่านคือ?”

“อารามชิงผิง ปู้ฉิว”

นี่มันอะไรกัน

บ่าวรับใช้รู้สึกแปลกเล็กน้อย อยากจะถามอีกหลายประโยค แต่เห็นฉินหลิวซีขมวดคิ้วพลางมองเข้าไปในห้องแล้วกล่าวว่า “ห้องโถงไว้ทุกข์เกิดเรื่องแล้ว”

หา?

บ่าวรับใช้มองเข้าไปตามสัญชาตญาณ ได้ยินเสียงกรีดร้องดังลั่น

ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าคือไต้ซือ ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”

คนรับใช้ตกตะลึง เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วก็รีบเข้าไปขวาง แต่ฉินหลิวซีกลับหลบอย่างคล่องแคล่ว หลานซิ่งเห็นดังนั้นก็ตามเข้าไปด้วย

ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน เสียงกรีดร้องก็ยิ่งดังขึ้น มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนวิ่งมาทางนี้พลางกรีดร้องเสียงดัง

“ศพลุกได้ มีผี”

“ตายจริง ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

คนที่อยู่ข้างในวิ่งออกมา แต่ฉินหลิวซีกลับสวนทางเข้าไป เมื่อเทียบกับสีหน้าของผู้ที่มาร่วมไว้อาลัยเหล่านี้ สีหน้าของนางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

ตลอดทางเดินไปจนถึงห้องโถงไว้ทุกข์ มีบางคนก็ไม่ได้วิ่งหนี เพียงแต่มองดูความครึกครื้นอยู่ไกลๆ อยากดูเรื่องสนุก

ขณะที่บ่าวรับใช้วิ่งตามฉินหลิวซี ได้เห็นบุรุษหนึ่งในผู้ที่สวมชุดขาวไว้อาลัย จึงตะโกนเรียก “นายท่านน้อย คุณหนูใหญ่ส่งคนมาแล้วเจ้าค่ะ”

เริ่นถิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชาเนื่องจากเกิดเรื่องขึ้นในห้องโถงไว้ทุกข์ เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย น้องหญิงใหญ่ส่งคนมาแล้วหรือ

จดหมายแจ้งว่าท่านแม่เสียชีวิตด้วยอาการป่วยกะทันหันพึ่งถูกส่งไปเมื่อวานนี้ ตามหลักแล้วน้องหญิงใหญ่คงจะยังไม่ได้รับกระมัง เหตุใดจึงได้ส่งคนกลับจวนมาเสียแล้ว

ฉินหลิวซีมองไปยังเริ่นถิง เห็นร่องรอยพลังหยินบนตัวเขา มีแสงผ่านเข้ามาในดวงตา ก้าวเข้าไปข้างหน้า ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นในห้องโถงไว้ทุกข์”

ดวงตาเริ่นถิงเฉียบคม แต่กลับไม่ตอบ เพียงแต่มองสำรวจนาง ถามกลับว่า “เจ้าคือคนที่อวิ๋นเหนียงส่งมาหรือ มีเรื่องอะไร”

“ย่อมเป็นเพราะมีธุระจึงได้มา ห้องโถงไว้ทุกข์ ข้าต้องเข้าไปดูสักหน่อย”

เมื่อเริ่นถิงเห็นบุคคลที่ไม่รู้จักพยายามบุกเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ จิตสำนึกอยากจะขวางไว้ ฉินหลิวซีมองเขาพลางเอ่ย “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าขวางจะดีกว่า มิเช่นนั้นเกรงว่าตระกูลของพวกเจ้าจะโชคร้าย จริงสิ ข้าเป็นไต้ซือ”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท