ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 387 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 387 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-2

ชุ่ยเวยมองหม้อบะหมี่แสนอบอุ่นตรงหน้า ทำให้คิดถึงเรื่องต่างๆ ในอดีตและแทบจะหัวเราะออกมา

นางสูญเสียความสนใจกับทุกสิ่งในใต้หล้าไปในบัดดล…

ต่อมามีกลิ่นคาวเลือดทะลักขึ้นมาในลำคออย่างรวดเร็ว

จากนั้นนางก็ร้องออกมาเสียงหนึ่งพร้อมกับอาเจียนเป็นเลือดจำนวนมาก

เลือดคำนี้กลับอาเจียนลงหม้อทั้งหมด

เถ้าแก่เป็นคนถนัดซ้าย มือซ้ายถือตะเกียบและยังเอื้อมมือลงไปคนในหม้อหลายครั้งด้วย

แม้สีหน้าของชุ่ยเวยจะอิดโรย แต่แววตาทั้งคู่ของนางกลับเย็นเฉียบยิ่งกว่าพายุหิมะและรุนแรงยิ่งกว่าลมหนาว!

“อาเจียนเลือดออกมาแล้ว ก็ต้องชดเชยด้วยการดื่มสุรา!”

เถ้าแก่พลันเอ่ยขึ้นมา

ชุ่ยเวยได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้นมา พบว่าแผ่นประตูที่ล้อมรอบตนอยู่ได้หายไปหมดแล้ว

เวลานี้ในสายตานางตรอกตันพลันดูกว้างใหญ่ขึ้น

ว่ากันว่าแดนมนุษย์ดุจความฝัน หนึ่งฝันผันผ่านก็เป็นอีกหนึ่งความฝัน

แต่ไม่ว่าจะฝันมากมายเพียงใด เมื่อตื่นขึ้นแล้วก็ยังคงอยู่ในแดนมนุษย์…

มักว่ากันว่าวิถีแห่งหล้าแปรเปลี่ยน แต่ความจริงแล้ววิถีแห่งหล้านี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเท่าใจมนุษย์

แม้จะผ่านมาจนถึงยามนี้แล้ว แต่ชุ่ยเวยก็ยังคงจำวันเวลาที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน

ความยากลำบากที่เคยประสบมายังคงไม่เคยเลือนลางไป ซ้ำยังคอยปรากฏขึ้นมาทีละนิดในวันหิมะตก

“เจ้าจะเลี้ยงสุราข้าหรือ”

ชุ่ยเวยลุกขึ้นยืน เงยหน้าขึ้นมองเถ้าแก่ขณะเอ่ยถาม

ขนตานางยาวมากจึงทำให้มีเกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์ติดอยู่บนนั้นหลายเกล็ด

เถ้าแก่กล่าว

“เช่นนั้นข้าก็จะดื่มสุราฤทธิ์แรง”

ชุ่ยเวยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

นางไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เถ้าแก่ก็เปลี่ยนท่าทีไปเช่นนี้

ทว่าในยามที่คนผู้หนึ่งไร้ซึ่งความปรารถนา ความเปลี่ยนแปลงทั้งมวลกลับทำให้ชินชาไปเสียแล้ว

“แม่นางน้อยก็ยังอยากดื่มสุราฤทธิ์แรงด้วย? ต้องการสุราแรงเพียงใด”

เถ้าแก่ถามชุ่ยเวยขณะหันหลังให้นาง

“สุราที่แรงที่สุด! แรงถึงขั้นจอกเดียวก็ทำให้ข้าหมดสติได้”

ชุ่ยเวยกล่าว

“ไม่ว่าจะเป็นสุราใด ดื่มมากหน่อยก็สามารถหลับได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ในสภาพอากาศเช่นนี้ ดื่มมากจนหลับไปรังแต่จะแข็งตาย”

เถ้าแก่กล่าว

“สำหรับเจ้าแล้ว เป็นตายต่างกันด้วยหรือ”

ชุ่ยเวยกล่าวอย่างเย็นชา

หมายจับที่ติดอยู่ทุกแห่งเขียนไว้ชัดเจนว่าสามารถจับเป็นหรือจับตายชุ่ยเวยก็ย่อมได้

ฉะนั้น นางจึงไม่คิดว่าเถ้าแก่จะใส่ใจความเป็นตายของตน

สำหรับเขาแล้ว บางทีคนตายอาจจะสบายและง่ายดายยิ่งกว่า

เพราะคนตายจะไม่ร่ำไห้ทั้งไม่อาละวาดแต่กลับว่าง่ายเป็นที่สุด

“หากเจ้าไม่อาเจียนเอาเลือดในอกนั่นออกมาก็ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ แต่ยามนี้เจ้าต้องดื่มสุรากับข้า คนตายดื่มสุราไม่ได้ ฉะนั้นเจ้าต้องมีชีวิตอยู่!”

เถ้าแก่หันหน้ามา มือหนึ่งถือขวดสุราและนั่งลงบนธรณีประตู

“หลังดื่มสุราเสร็จแล้วเล่า”

“ดื่มสุราก็คือดื่มสุรา หากยามดื่มสุรายังต้องคิดว่าดื่มเสร็จแล้วจะทำสิ่งใด สุรานั้นก็จะไม่เลิศรสแล้ว!”

เถ้าแก่กล่าว

ชุ่ยเวยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก

รับขวดสุรามาแล้วก็ดื่มไปอึกหนึ่ง

“นี่มันใช่สุราที่ไหนกัน?!”

ชุ่ยเวยกล่าวอย่างโมโห

พลางโยนขวดสุราในมือลงพื้นจนแตกละเอียด

แม้นางจะไม่เคยดื่มสุรามาก่อน แต่ก็รู้ว่ารสชาติของสุราควรเป็นเช่นใด

สิ่งที่บรรจุอยู่ในขวดสุราที่เถ้าแก่เพิ่งส่งให้นางคือน้ำชัดๆ…

ชุ่ยเวยโมโหอย่างยิ่ง ถึงกับแย่งขวดสุราในมือของเถ้าแก่มา ก่อนแหงนหน้าขึ้นดื่มจนหมด

“เหตุใดก็เป็นน้ำเช่นกัน”

ชุ่ยเวยบ้วนออกมาแล้วเอ่ย

“เจ้าต้องการสุราฤทธิ์แรงที่สุด น้ำก็เป็นต้นกำเนิดของสุรานับหมื่นไม่ใช่หรือ เช่นเดียวกับหากเจ้าต้องการดื่มน้ำที่กว้างใหญ่ที่สุด ทะเลบูรพาก็คือปลายทางของน้ำนับหมื่น”

เถ้าแก่กล่าว

ชุ่ยเวยสะบัดหัวไปมา…

คิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่…

ตอนแรกจะเอาตัวนางไปแลกกับการใช้จ่ายเงินอย่างเสรี

ต่อมาเมื่อเห็นนางอาเจียนเป็นเลือดกลับจะเลี้ยงสุรานาง!

หลังจากนั้นก็พูดจาบ้าบอจับต้นชนปลายไม่ได้

ความคิดเดียวของชุ่ยเวยในเวลานี้ก็คือหนีไปยิ่งไกลยิ่งดี

และในพริบตาที่เถ้าแก่รับไปนั้น ชุ่ยเวยก็วิ่งไปยังปากตรอกอย่างรวดเร็ว

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา จวบจนนางต้องหอบหายใจกลับพบว่าตนวิ่งไปไม่ถึงปากตรอกด้วยซ้ำ

ตรอกแห่งนี้ก็ไม่ได้ลึก

ตอนที่นางเข้ามา อย่างมากก็เดินแค่ไม่กี่สิบก้าวเท่านั้น

ในระหว่างที่ชุ่ยเวยมองกลับไปดูด้วยความสงสัยนั้น ก็พบว่าร้านบะหมี่หยางชุนยังคงอยู่ข้างหลังตน

ส่วนเถ้าแก่คนนั้นก็ยังคงนั่งจิบน้ำในขวดสุราอยู่บนธรณีประตู

“เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ชุ่ยเวยกอดตัวเองแน่น รู้สึกว่าหวาดกลัวขึ้นมาทันใด

ทุกคนย่อมหวาดกลัวสิ่งที่ไม่รู้ทั้งสิ้น

ประสาอะไรกับชุ่ยเวยที่ยังนับว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพียงครึ่งหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ไม่ว่าวิชายุทธ์ใดๆ ก็ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องดื่มสุรากับข้า หากสุรายังดื่มไม่หมด เจ้าก็ยังตายไม่ได้และไปไม่ได้ด้วย”

เถ้าแก่กล่าว

ชุ่ยเวยนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่จากนั้นก็พยักหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ เถ้าแก่

เถ้าแก่ส่งขวดสุราให้นางใหม่อีกหนึ่งขวด สิ่งที่บรรจุอยู่ข้างในก็ยังคงเป็นน้ำอยู่เช่นเดิม

“เจ้าบอกว่าน้ำนี้เป็นต้นกำเนิดของสุรานับหมื่น เช่นนั้นหากข้าอยากดื่มน้ำจากปลายทางของน้ำนับหมื่นเล่า”

ชุ่ยเวยถาม

ใจนางยังคงไม่ยินยอมอยู่บ้าง…

แม้ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ผู้นี้เป็นคนจากที่ใดและมีจุดประสงค์ใดกันแน่

แต่ชุ่ยเวยก็ยังอยากสร้างปัญหาเล็กๆ ให้เขาทำตัวลำบาก

คล้ายว่ามีเพียงทำเช่นนี้จึงสามารถสะกดความหวาดกลัวในจิตใจได้

หลายครั้งหลายคราที่ผู้คนพูดจาเสียงดัง แผดเสียงตำหนิ แต่ที่แท้แล้วล้วนเป็นการแสดงออกที่แข็งนอกอ่อนใน

ทำไปเพื่อชิงลงมือก่อนได้เปรียบก็เท่านั้น

น่าเสียดายที่สิ่งมากมายค่อยๆ เปลี่ยนอีกหลายสิ่งโดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวในโลกล้วนต้องผ่านการขัดเกลาจึงจะลุล่วง ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับการขัดเกลาของตนทั้งสิ้น

“สุรามีรสสุรา น้ำก็มีรสของน้ำ บะหมี่หยางชุนก็มีรสชาติของบะหมี่หยางชุน ตอนแรกข้าถามเจ้าว่าจะกินบะหมี่หรือไม่ แต่เจ้ากลับไม่พูดความจริง…ต้องรู้ว่าสิ่งที่ล้ำค่าและหายากที่สุดในแดนมนุษย์นี้ก็คือความจริง ปีนั้นเจ้าถีบองค์รัชทายาทไปหนหนึ่ง ย่อมส่งผลลัพธ์ที่เจ้าต้องได้รับในชีวิต ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ แต่เจ้าสามารถเปลี่ยนจิตใจของเจ้าได้ เมื่อครู่นี้เจ้าอาเจียนเอาเลือดที่อัดแน่นอยู่ในใจมานานปีออกมา รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมากใช่หรือไม่”

เถ้าแก่ถาม

ชุ่ยเวยนิ่งเงียบไม่พูดจา

ก้มหน้าลงแล้วเริ่มดื่มน้ำในขวดสุรา

เพียงแต่น้ำในเวลานี้กลับมีรสเค็มและยังมีกลิ่นคาวด้วย

เหมือนกับน้ำทะเลไม่ผิดเพี้ยน!

“เลือดข้นรุนแรงยิ่งกว่าสุรา น้ำบางเบากว่าสุรา เจ้าเดินผ่านเส้นทางเหล่านี้มาแล้วทั้งสิ้น ทั้งได้เห็นเรื่องราวมาไม่น้อย จิตใจมนุษย์ย่อมเที่ยงตรง เแต่แรกนั้นเจ้าอาจไม่รู้สึกอะไร แต่ตราบใดที่มีช่วงเวลาว่าง เจ้าก็จะพบมันทันที”

เถ้าแก่พูดต่อ

ไม่รู้เพราะเหตุใดชุ่ยเวยกลับรู้สึกว่าคำพูดของเถ้าแก่ไม่ใช่การพูดจาส่งเดช

หากตั้งใจฟังก็มีเหตุผลอยู่ในนั้น

ทว่าแม้ในใจนางจะรู้สึกเช่นนี้ แต่ปากก็ยังคงไม่ยอมรับ

“เจ้ากล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับภาพในอดีตที่เศร้าสลด นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นในส่วนลึกของใจเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว…”

“นั่นไม่ใช่ความเยือกเย็น แต่เป็นความเจ็บปวดและอ้างว้าง…”

ชุ่ยเวยขัดคำเถ้าแก่

บางคนยินยอมที่จะมีชีวิตอยู่ในความอ้างว้างของตน

ต่อให้ในดวงตามีแต่บุปผางดงาม ทั้งเคยพบเห็นทิวเขายาวไกลธารน้ำกว้างใหญ่มาจนสิ้นแล้ว แต่ในใจก็ยังคงเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง

บางคนแม้ร่ำสุราขับลำนำ ร้องบรรเลงว่าชีวิตนี้สั้นนักอยู่ทุกค่ำคืน

ดูคล้ายว่ามีสหายมาก แต่กลับอ้างว้างยิ่ง

“เรื่องราวในแดนมนุษย์ก็เป็นเพียงการพบและพลัดพรากหนหนึ่ง สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น คล้ายว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นบทบาทและมีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตได้เท่าสองเรื่องนี้ เพราะการพบและพลัดพรากก็เป็นเพียงเรื่องปกติในชีวิตเท่านั้น ความอ้างว้างที่เจ้าเอ่ยถึงก็เป็นเพราะการพลัดพราก เมื่อพลัดพรากจบสิ้นก็จะถึงตอนเริ่มต้นของการพบเจออีกครา”

เถ้าแก่กล่าว

แม้ชุ่ยเวยไม่รู้ว่าเมื่อใดการพลัดพรากจึงจะจบสิ้นและได้เริ่มต้นใหม่เสียที แต่นางก็ยอมรับว่าเรื่องอื่นๆ นอกนั้นในแดนมนุษย์เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับสองเรื่องนี้ เป็นบทบาทและความหมายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตคนจริงดังว่า

เมื่อห่านป่ากลับทางใต้ร่อนลงพื้น เล่นสนุกเฮฮาสักคราวก็จะโบยบินจากไป

มีเพียงเมื่อมีห่านป่าอยู่เป็นฝูงจึงจะกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน และต้องมีห่านป่าโดดเดี่ยวที่เงียบงันไม่ส่งเสียง

ยามพานพบมักมีแต่ความเบิกบาน พรากจากมักเจ็บปวด

เพียงชั่วอึดใจที่ตกอยู่ในภวังค์ ชุ่ยเวยพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด

หลังจากพลัดพรากแล้ว ทุกสิ่งเหล่านี้ก็ลาจากชีวิตไปด้วย

ในเมื่อมีอำลา ย่อมมียามที่ได้พานพบ

แล้วไยคนเราต้องใส่ใจกับการลาจากด้วยเล่า

ที่แท้แล้ว สิ่งที่ผู้คนใส่ใจก็มีเพียงการได้พานพบอีกครั้งหลังการลาจากเท่านั้น

หลังจากนางตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อหันหน้ามาอีกครั้ง ข้างกายนางกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน…

ชุ่ยเวยลุกขึ้นเดินเข้าไปในร้าน เห็นว่าบนโต๊ะมีบะหมี่หยางชุนร้อนๆ วางอยู่ชามหนึ่ง และข้างบนยังมีไข่ดาวหนึ่งฟองวางอยู่ด้วย

ชุ่ยเวยยกชามขึ้นมา กัดกินไข่ดาวหนึ่งคำ พบว่าข้างใต้ถ้วยมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง

นางวางถ้วยลง หยิบหนังสือขึ้นมา ลองสุ่มเปิดดูหน้าหนึ่ง

“สำนักเซียนเปิดแท่นบูชา หนึ่งคือไร้ร่องรอย ไร้ร่องรอยก็คือไร้รอย ไร้รูป ไร้สัมผัส มีรอย มีรูป มีสัมผัส ย่อมปิดกั้นตนเอง ขวางตนเอง ทำลายตนเอง ย่อมไม่ครบสมบูรณ์และดำเนินไปราบรื่น ทุกแห่งตลอดเส้นทางมีแต่ความงดงามหอมหวน แต่ไม่หยุดอยู่สักแห่ง เพียงเพราะความไร้ร่องรอยนี้ว่างเปล่าแต่จริงแท้ สองคือชัดเจน ชัดเจนจึงสามารถครบสมบูรณ์ เมื่อเหลี่ยมและกลมแทนที่กัน เป็นดังความมืดสว่างเต็มและเสี้ยวของดวงเดือน ด้วยความเต็มสมบูรณ์จึงรู้สึกอยากวาดภาพ อยากประพันธ์กลอน สองประการนี้คือความว่างเปล่าและศักดิ์สิทธิ์ และทั้งหมดนั้นเพิ่มพูนอารมณ์เคลิบเคลิ้ม ขับเสน่ห์ให้โดดเด่น สามคือไร้ขอบเขต ผู้มองหาเส้นแบ่งระหว่างไร้ขอบเขตและไร้ร่องรอย ล้วนโง่เง่าทั้งสิ้น นับเป็นผู้หลงในตน รักยิ่งใหญ่เริ่มจากใจ ชิงชังสาหัสก็เกิดที่ใจ เมื่อมีเขตแดนย่อมล้อมกลายเป็นเมือง หากหนทางแตกต่าง ลมไม่ราบรื่น น้ำไม่คล่อง รักไม่เชื่อมถึง เมื่อใจเต็มไปด้วยผิดและชอบจะไปไม่ถึงไร้ขอบเขตแต่คล้ายไร้ขอบเขต ฉะนั้น ไถ่ถามเซียนใช้อิทธิฤทธิ์ใดกลืนกินฟ้าดิน? ใช้อิทธิฤทธิ์ใดครอบคลุมแสงเรืองรองแห่งตะวันจันทรา? ใช้อิทธิฤทธิ์ใดหลีกหนีจากวิถีมนุษย์ รู้ความเป็นมนุษย์ ทำสิ่งที่มนุษย์ทำได้? ก็ด้วยฉะนี้….”

ชุ่ยเวยอ่านรอบหนึ่งอย่างยากลำบาก แต่กลับอ่านไม่เข้าใจสักตัวอักษร

ด้วยความร้อนใจนางจึงโยนหนังสือเล่มนี้ไว้ข้างๆ และหันมาตั้งอกตั้งใจกินบะหมี่หยางชุน

แต่นางไม่สามารถระงับความสงสัยในใจลงได้จึงเก็บหนังสือที่โยนทิ้งเข้ามุมเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอีกครั้ง

แต่เมื่อพลิกเปิดไปอย่างส่งเดช พบว่ายังคงเป็นตัวอักษรที่เหมือนกันทุกประการ

ชุ่ยเวยไม่เชื่อเรื่องผีสางจึงสุ่มเปิดไปอีกหลายหน้า แต่ไม่ว่าจะพลิกไปหน้าใดตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาก็ยังคงเป็นท่อนเมื่อสักครู่นี้

แม้ชุ่ยเวยจะอ่านไม่เข้าใจ แต่เมื่อตัวอักษรผ่านตานับครั้งไม่ถ้วนก็จดจำได้หลายตัวอักษร

โดยเฉพาะตัวอักษรตอนต้นสี่ตัวว่า ‘สำนักเซียนเปิดแท่นบูชา’

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับจำสลับตำแหน่งกัน กลายเป็น ‘สำนักเปิดแท่นบูชาเซียน’

ภายหลัง ตัวอักษรคำว่า ‘เปิด’ และ ‘เซียน’ กลับค่อยๆ จางหายไปในสมองของนาง

เหลือเพียงสองคำว่า ‘สำนัก’ และ ‘แท่นบูชา[1]’

………………………………………

[1] แท่นบูชา เป็นที่มาของชื่อสำนักปากสอบในภายหลัง

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท