ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล – ตอนที่ 820 อันปู้ฉี่

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ตอนที่ 820 อันปู้ฉี่

การระเบิดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ราวกับจงใจหักหน้าทนายอันอย่างไรอย่างนั้น

เดิมทีที่คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน อีกทั้งอาจจะต้องมีการเจรจา และการถ่วงเวลาเกิดขึ้น ดันไม่เกิดขึ้นจริง ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างกลับดูเรียบง่ายและรวบรัดอย่างยิ่ง

ทนายอันหรี่ตาลง ยกยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก

ร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวเริ่มปะทุขึ้นในดวงตาของเถ้าแก่โจว สาเหตุที่พวกคนร้ายเดนตายน่ากลัว ก็เพราะว่าก่อนจะจนมุม เขาสามารถสร้างหายนะที่น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุดได้ และชายสวมหน้ากากตรงหน้าก็ดูเหมือนว่ากำลังพิสูจน์สิ่งนี้

ถ้าไม่มีทางรอดจริงๆ อย่างนั้นยังจะสนใจว่าสวรรค์จะลงทัณฑ์หรือไม่ไปเพื่ออะไร

หากคนธรรมดาตกอยู่ในเงื้อมมือคู่ต่อสู้ ยังตะโกนว่าจะเป็นผู้กล้าในอีกยี่สิบปีต่อมาอีกครั้งได้ แต่หากคนของยมโลกตกอยู่ในเงื้อมมือของคนจากยมโลก ยังคิดว่าจะมีชาติหน้าอีกงั้นเหรอ

สำหรับโจวเจ๋อที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ไฟแห่งพุทธะไปเมื่อตอนกลางวัน เขารู้ดีว่าเสียงระเบิดในครั้งนี้จะส่งผลร้ายแรงอะไรกับยานพาหนะบนถนนสายใหญ่เส้นนี้!

คาดว่าผู้ขับขี่และผู้โดยสารในยานพาหนะอย่างน้อยหลายสิบคันจะระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ ส่วนยานพาหนะที่สูญเสียการควบคุมเหล่านี้จะก่อให้เกิดการชนซ้อนคัน จนท้ายที่สุดจะนับจำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตได้ยาก

ทันใดนั้น ไฟก็สว่างวาบขึ้น แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับแท่งดอกไม้ไฟในมือเด็กน้อย ดูเหมือนเปลวไฟลุกจ้า แต่คุณสามารถยื่นมือไปสัมผัสประกายไฟได้โดยไม่รู้สึกแสบร้อนใดๆ ฉากนี้เป็นสิ่งที่ถนนสายใหญ่แปดเลนทั้งขาเข้าและขาออกกำลังประสบอยู่ในเวลานี้

พริบตานั้นเอง แสงวูบวาบทำให้ผู้ขับขี่หลายคนตกใจ บางคนรู้สึกว่าตาพร่ามัว บางคนแค่หรี่ตา เจ้าของรถส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบในเวลานี้

เวลานี้การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าที่สั้นที่สุดที่เขียนไว้ในกฎจราจรดูเหมือนไม่มีความสำคัญอีกครั้ง

‘โครม!’

‘โครม!’

‘โครม!’

เกิดอุบัติเหตุชนท้ายรถซ้อนคันยาวเป็นขบวน ตามมาด้วยเสียงบีบแตรอย่างรุนแรง ต่อท้ายด้วยการทะเลาะวิวาทและตะโกนโหวกเหวกโวยวาย

เกิดอุบัติเหตุรถชนท้ายรถหลายสิบคัน แต่นอกจากความเสียหายในวงจำกัดต่อตัวรถแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรงใดๆ หลังจากหรี่ตาครู่หนึ่งผู้ขับขี่จึงใช้มาตรการฉุกเฉิน

สิ่งที่เพิ่งระเบิดเป็นแค่พลุ ไม่ใช่ไฟกรรมแห่งพุทธะ

ชายสวมหน้ากากถูกตรึงเอาไว้ ส่วนแขนทั้งสองข้างร่วงผล็อยลงมา สิ่งที่เหลืออยู่ในดวงตาข้างเดียวคือความตกต่ำและความดูแคลน เขากำลังมองอันปู้ฉี่อยู่

อันปู้ฉี่กลับไหวไหล่ และพูดกับโจวเจ๋อที่อยู่ข้างกาย “เถ้าแก่ คนบางคนก็เป็นอย่างนี้แหละ กู่ไม่กลับแล้ว”

โจวเจ๋อกลับมองทนายอันด้วยความอิหลักอิเหลื่อ แล้วพูดว่า “ผมกำลังคิดว่า ตอนนั้นคุณต้องชั่วร้ายถึงขนาดไหนกันแน่ ถึงได้เอาแต่ยั่วยุคนซื่อตรงแบบนี้น่ะ”

ครั้งก่อนปู่ทวดของเหล่าจางคนนั้น พอมองจากตัวเหล่าจางแล้ว อันที่จริงก็สามารถดูออกได้ทันทีว่าชายชราจมูกแดงเป็นคนแบบไหนกันแน่ ข้อเท็จจริงยังพิสูจน์ให้เห็นว่าชายชราเป็น ‘คน’ ดีจริงๆ นับว่าตั้งแต่โจวเจ๋อเข้าวงการมา เป็นคนระดับกลางในยมโลกที่มีจิตใจสาธารณะอย่างหาได้ยากจริงๆ

จริงๆ แล้วชายสวมหน้ากากที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็เหมือนกัน เพิ่งจะปล่อยโอกาสสู้แบบตกตายตามกันทิ้งไป กระทั่งเลือกทิ้งแม้แต่การระบายอารมณ์ตามใจตัวเองสักครั้งก่อนตาย

แต่ตอนแรกทนายอันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทั้งสองคนนี้ คนดีทั้งสองคนล้วนจงเกลียดจงชังทนายอันมาก จะเห็นได้ว่าตอนนั้นที่ทนายอันเป็นผู้ตรวจสอบมือทองในยมโลกมีเทพและภูตผีเกลียดชังมากขนาดไหน เดาว่าก็คงไม่ต่างอะไรกับหน่วยตงฉ่าง[1]ในสมัยโบราณ

มันขัดแย้งกับวิถีความถูกต้องโดยสิ้นเชิง

ทนายอันถอนหายใจอย่างเอือมระอาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “เมื่อคนเราเป็นขุนนางในราชสำนัก มักจะไม่เป็นตัวเอง”

ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของสังคม และฉันยังเป็นคนบริสุทธิ์ดังเดิม

โจวเจ๋อเดินไปด้านหน้าชายสวมหน้ากาก และถามว่า “มาทงเฉิงก็เพื่อหาหนังสือรับรองยมทูตงั้นเหรอ”

ชายสวมหน้ากากพยักหน้า

โจวเจ๋อก็พยักหน้าเช่นกัน “งั้นก็ขอโทษที ขอโทษด้วย”

ชายสวมหน้ากากยิ้ม

หน้ากากของเขาช่างบางเหลือเกิน บางเสียจนโจวเจ๋อสงสัยว่าเขาจะสวมมันไปเพื่ออะไร

เพียงแต่เมื่อโจวเจ๋อชูเล็บขึ้นเตรียมแทงทะลุร่างของอีกฝ่าย จู่ๆ ร่างกายของอีกฝ่ายดูเหมือนจะปล่อยลมออกจนตัวยุบหดลงไปทันที

ในระยะไกลๆ นั้น

หุ่นเชิดหญิงชราที่เพิ่งโดนอิงอิงซัดกระเด็นออกไปกลับยืนขึ้นอีกครั้ง มือและเท้าปีนขึ้นไปบนตึกสูงตรงหน้าด้วยท่าทางแปลกประหลาด เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับแมงมุมตัวหนึ่ง!

อิงอิงและเด็กชายพุ่งขึ้นทันที ผีดิบทั้งสองตัวออกแรงพร้อมกัน ไล่ล่าหุ่นเชิดที่กำลังหลบหนีให้เร็วที่สุด!

แต่ว่าโจวเจ๋อไม่ได้เคลื่อนไหว ทั้งยังไม่ตะโกนเรียกอิงอิงและเด็กชายกลับมา เขาค่อยๆ เปิดหนังท้องของชายสวมหน้ากากออกช้าๆ ในนั้นเลือดออกไม่มากนัก มันดูแห้งผากเล็กน้อย ราวกับก้นแม่น้ำที่ฝนไม่ตกมาเป็นเวลานาน มีแต่ความซีดเซียวแตกระแหงไปทั่วทุกที่

เพียงแต่หลังจากที่เล็บของโจวเจ๋อแทงเข้าไปช้าๆ มีแรงจากข้างในคว้าเล็บของโจวเจ๋อเอาไว้ โจวเจ๋อยิ้มบางๆ และค่อยๆ ดึงเล็บออกมา พร้อมกับเอาทารกที่ดูเหมือนยังลืมตาไม่ได้ออกมาจากท้องชายของสวมหน้ากากด้วย มือน้อยๆ ของทารกกำเล็บนิ้วโป้งของโจวเจ๋อไว้ จึงถูกโจวเจ๋อเอาออกมาโดยที่ตัวแกว่งไปมา

ทนายอันที่ยืนอยู่ข้างๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหายใจออกแรงๆ ก่อนจะอุทานด้วยความตกใจ “เถ้าแก่ สายตาหลักแหลมสมกับเป็นคุณ”

เมื่อครู่นี้แม้แต่ทนายอันยังเกือบคิดว่าอีกฝ่ายเล่นกลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ ตัวจริงคือหุ่นเชิดหญิงชรา หรือไม่ก็ตัวจริงอยู่ในร่างหุ่นเชิดหญิงชรา แต่ใครจะไปคาดคิด อีกฝ่ายหวนคืนสู่โลกมนุษย์ในครั้งนี้ ดันเลือกใส่ตัวจริงไว้ในร่างทารกตัวน้อยคนนี้

แน่ละว่าทนายอันแสดงท่าทางเช่นนี้ออกมา แต่เขาจะถูกหลอกจริงๆ หรือไม่นั้นพูดยาก เพราะเขาก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน และไม่ได้ตามไล่หุ่นเชิดตัวนั้นไปกับพวกอิงอิงด้วย

“เกิงเฉิน ทักษะการละเล่นของเจ้ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ”

ทนายอันยังจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองและพวกเฝิงซื่อเอ๋อร์วางแผนตลบหลังคนตรงหน้าด้วยกัน ทั้งๆ ที่ใกล้จะสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่คนผู้นี้กลับสามารถหลบหนีได้ในวินาทีสุดท้าย

นั่นสินะ ตอนนั้นฆ่ายากเย็นขนาดนั้น ตอนนี้อยากจะฆ่าเขามันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร

“อันปู้ฉี่ หลายปีผ่านไปแล้วเจ้าก็ยังไร้ยางอายขนาดนี้ไม่เปลี่ยน” ทารกเริ่มพูดด้วยเสียงติดจะอ้อแอ้เล็กน้อย

ทนายอันยิ้มเบาๆ “ขอบคุณที่ชม”

โจวเจ๋อส่ายเล็บของตัวเอง ทารกที่ใช้มือน้อยๆ จับเล็บไว้ก็ส่ายไปส่ายมาตามไปด้วย

“แกได้หนังสือรับรองไปหรือยัง” โจวเจ๋อถาม

ทารกฉีกยิ้มอย่างไร้เดียงสา แล้วพูดว่า “เจ้าคิดจะปล่อยข้าไปหรือ”

ทนายอันได้ยินดังนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่โจวเจ๋อเองก็อยู่ที่นี่ ไม่ว่าเถ้าแก่ของเขาจะตัดสินใจอย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเขาก็ไม่มีช่องว่างให้โต้แย้งเปลี่ยนแปลงอยู่ดี

“มีความคิดนี้น่ะ แกน่าจะไม่ได้มาคนเดียวใช่ไหม” เถ้าแก่โจวไม่ได้สนใจว่าจะเป็นปีศาจงูหรือปีศาจแมงป่อง หลังจากจับปู่เฒ่าได้แล้ว จากนั้นก็จะดึงดูดเจ้าหนูน้ำเต้าที่น่าปวดหัวมาเป็นพรวน

นอกจากนี้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำให้เขารู้สึกหวาดวิตกเล็กน้อยก็ตาม แต่การแสดงออกที่ง่ายๆ สบายๆ ของอีกฝ่าย ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกว่าหากไม่ฆ่าเขาทิ้ง ในใจก็ยังพอยอมรับได้

ถึงอย่างไรก็มีทนายอันเป็นตัวเปรียบเทียบ ยิ่งมีความสัมพันธ์ในยมโลกกับทนายอันแย่เท่าไร ก็พิสูจน์ได้ว่าคนอื่นเขานิสัยดีแค่ไหน ทนายอันเป็นแสงสว่างนำทาง!

“หากขาดหนังสือรับรองละก็ ที่ฉันยังมีอยู่ ฉันเอาให้แกได้ ขอแค่แกสัญญากับฉันมาหนึ่งข้อ”

“สัญญาอะไร”

“ต่อไปแกกับสหายของแกห้ามเข้าใกล้ทงเฉิงอีก แกก็เห็นแล้วว่าฉันไม่สนใจจะช่วยตามเช็ดตามล้างให้ยมโลกจริงๆ และไม่ได้มีคำว่า ‘ผู้ภักดีแห่งยมโลก’ เขียนติดไว้บนหน้าฉันด้วย พวกแกเป็นผู้แปรพักตร์ อันที่จริง ตัวพวกเราเองก็ไม่มีการต่อต้านหรือความขัดแย้งกันตามหลักการ”

ทนายอันกลอกตาอยู่ข้างๆ แต่เขาต้องยอมรับว่าเถ้าแก่เลือกได้ถูกต้อง อย่างน้อยๆ ทนายอันก็ยอมรับนิสัยของคนผู้นี้ ขอแค่อีกฝ่ายยอมพยักหน้ารับปาก ต่อไปก็น่าจะหมดเรื่องแล้ว

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ทนายอันเองก็อดไม่ได้ที่จะจมอยู่ในความคิด ดูเหมือนว่าเขาในอดีตจะชั่วร้ายจนเกินเยียวยาแล้วจริงๆ

ทารกยังคงใช้มือนุ่มนิ่มจับเล็บของโจวเจ๋อและแกว่งไปมาอยู่อย่างนั้น จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ “ทงเฉิงก็ยังน่าสนใจจริงๆ”

“แต่ทงเฉิงยินดีต้อนรับตรงหน้าทางเข้าทางด่วนทงเฉิงไม่ได้เขียนไว้เพื่อแก” โจวเจ๋อกล่าว

“เจ้าก็น่าสนใจมากทีเดียว” ทารกมองโจวเจ๋อ

“ขอบใจ” โจวเจ๋อตอบรับ

“เรื่องอื่นข้ารับปากได้ แต่เขา…” ทารกมองไปทางอันปู้ฉี่ และพูดต่อ “เขาต้องตาย”

โจวเจ๋อหันหน้าไปมองทนายอันที่ยืนอยู่ข้างตัวด้วยแววตาสงสัย

ความหมายคือ คุณทำเรื่องน่ารังเกียจอะไรในตอนแรก ถึงทำให้คนซื่อตรงชิงชังจนกลายเป็นอย่างนี้

ทนายอันส่ายหน้าอย่างไร้เดียงสา พลางบอกว่า “ตอนแรกเขาฝ่าฝืนกฎ พยายามกักเก็บจิตสำนึกและวิญญาณของภรรยาและลูกสาวของเขาไว้ จนถูกเปิดเผยรายงาน ผมทำได้แค่ปฏิบัติโดยยึดหลักความยุติธรรมเท่านั้น”

โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า มองทารกที่ห้อยลงมาจากเล็บของตัวเอง และพูดว่า “แกดูสิ เขาก็ปฏิบัติตามกฎ ใช่ไหมล่ะ”

ทารกมองโจวเจ๋อด้วยสีหน้าขี้เล่น และพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าถามเขาดูสิว่าคนที่รายงานเปิดเผยเรื่องนี้เป็นใคร”

โจวเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก ไม่ได้มองทนายอันแต่เอ่ยออกมาตรงๆ “อันปู้ฉี่เหรอ”

“อ้าว ทุกคนมีหน้าที่รายงานการปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย เปิดโปงการฉ้อฉลเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ผมทำมันด้วยจิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม”

เป็นไปตามคาด…

แต่เถ้าแก่โจวก็ยังไม่ยอมแพ้ และพูดโน้มน้าวต่อ “ในเมื่อตอนนี้แกหวนคืนสู่โลกมนุษย์แล้ว ก็สามารถไปตามหาพวกเธอในชาตินี้ได้ ที่จริงฉันก็เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า บางครั้งการปล่อยมือก็เป็นความรักอย่างหนึ่ง”

ทนายอันยื่นมือไปลูบคาง ไม่รอให้เถ้าแก่พูดจบเขาก็เอ่ยพูด “เถ้าแก่ ต้องโทษเฝิงซื่อเอ๋อร์ที่ทำลายวิญญาณภรรยาและลูกสาวจนแตกดับไปแล้ว ตอนนั้นผมกำชับเฝิงซื่อเอ๋อร์ไปพันๆ ครั้งแล้วว่าอย่าโหดร้ายขนาดนั้น แต่เฝิงซื่อเอ๋อร์ไม่ยอมฟังนี่นา”

ตอนนี้โจวเจ๋ออยากจะหันหลังเดินออกไป แล้วทิ้งทนายอันไว้ให้ทารกฆ่าทิ้งจริงๆ

ทารกกล่าวเสียงขรึม “เขาบีบบังคับให้ข้าโมโหจนระเบิด เขาทำสำเร็จแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ละเมิดกฎที่ใหญ่กว่านั้นของยมโลก หน้าที่รับผิดชอบเฝ้านรกขุมย่อยชั้นสิบเก้าแต่เดิม ถูกเขาเข้าไปแทนที่สมใจปรารถนาแล้ว”

ทนายอันแหงนหน้ามองฟ้า

วันนี้พระจันทร์สะ…อืม เหมือนจะมองไม่เห็นพระจันทร์

ร่างทารกลอยขึ้นมา และพูดต่อช้าๆ “เดิมที หากเขาใช้ชีวิตย่ำแย่ ข้าก็ไม่ลงมืออะไรทั้งนั้น แต่ข้ากลับพบว่าเขาอยู่อย่างสุขสบายและใช้ชีวิตอย่างดี ข้าก็เลยจำเป็นต้อง…”

ทนายอันมองไปทางโจวเจ๋อ พลางเอ่ยแทรก “พี่ชาย นี่เจ้าเข้าใจผิดไปแล้วจริงๆ…”

………………………………………………………………….

[1] ตงฉ่าง หรือสำนักบูรพา หน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เพื่อความมั่นคงในราชสำนัก โดยมีขันทีเป็นผู้ควบคุม เหมือน ‘ตำรวจสืบราชการลับ’ ในคราบขันที มีหน้าที่ตรวจสอบขุนนางและราษฎรที่ต้องสงสัยว่าจะก่อกบฏ และขุนนางที่กระทำความผิด ภายหลังขันทีสบโอกาสใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ขุนนางคนไหนที่กล้าต่อกรกับสำนักตงฉ่างก็จะถูกกำจัด ว่ากันว่าสำนักตงฉ่างและขันทีคือชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์หมิงเสื่อมลง และเป็นหน่วยงานที่สร้างความเคียดแค้น เกลียดชังให้คนในราชสำนัก

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

ยมทูตพาร์ตไทม์แห่งร้านหนังสือยามวิกาล

Status: Ongoing
หลังจากการตายที่ไม่คาดคิด สิ่งที่เขาได้รับคือ ตัวตนใหม่ ร้านหนังสือใกล้เจ๊ง และตำแหน่งยมทูตจำเป็น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท