บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1454 ทลายพันธนาการในหัวใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1454 ทลายพันธนาการในหัวใจ

พรวด! พรวด! พรวด!

เลือดสด ๆ อันร้อนระอุพลันสาดกระเซ็นไปทั่วอากาศ และมันย้อมผืนฟ้าให้เป็นสีแดงเลือด

ไม่มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเศร้าหมองก่อนขาดใจตาย ไม่มีคำสาปแช่งที่โกรธเกรี้ยวและขุ่นเคือง ทั้งยังไร้ซึ่งคำกล่าวที่ทรมานและอัปยศอดสูแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ มีเพียงเสียงสังหารอันกดดันเท่านั้น

ศีรษะถูกเด็ดด้วยการโจมตีที่เด็ดขาดและตรงไปตรงมา!

เสียงอันกดดันพลันดังขึ้น คมกระบี่ฟันผ่านกระดูกและเลือดเนื้อเมื่อเฉินซีปลิดศีรษะของพวกมัน และทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลังเมื่อได้ยินเสียงนี้

ทว่าเฉินซีกลับดูเงียบและไม่แยแสใด ๆ

บัดนี้ ดูเหมือนชายหนุ่มจะกลายเป็นยมทูตที่โหดเหี้ยมและปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เขาปลิดชีวิตด้วยวิธีการที่แม่นยำและไร้ความปรานี เพื่อบรรเทาความเกลียดชังที่อัดแน่นอยู่ในใจ

ทะเลทรายเนตรสวรรค์ได้ประสบกับการต่อสู้ที่สะท้านปฐพีไปเมื่อหลายวันก่อน และได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว มันถูกปกคลุมไปด้วยความรกร้าง ในขณะที่ฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยคราบเลือด บริเวณโดยรอบยังเต็มไปด้วยซากศพที่อวัยวะฉีกขาด เศษซากสมบัติที่แตกหัก มิติและเวลาปั่นป่วน หมอกควันจากไฟสงครามสามารถพบเห็นได้ทุกที่…

ภายใต้ทิวทัศน์ที่ดูเหมือนนรกอเวจี วิธีการสังหารของเฉินซีนั่นดูสงบและเงียบงันอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อลอดเข้าสู่สายตาผู้อื่น กลับทำให้เกิดความรู้สึกซับซ้อนอยู่ในใจ จนถึงขั้นขนอ่อนบนร่างกายลุกชันด้วยความหวาดกลัว

ในขณะนี้ เฉินซีดูเหมือนกลายเป็นคนละคน!

“เฮ้อ!” จั่วชิวเฟยหมิงถอนหายใจและทนดูไม่ได้

ผู้อาวุโสทั้งแปดของตระกูลจั่วชิวที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาก็มีสีหน้าเศร้าหมองเช่นกัน

เป็นเพราะเหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินไป มันคือการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ และผู้คนที่ถูกสังหารก็คือคนในตระกูลของพวกเขา แม้ว่าจั่วชิวเฟยหมิงจะไม่ถือว่าคนเหล่านี้เป็นคนในตระกูลมานานแล้ว แต่สายเลือดเดียวกันก็ยังคงไหลเวียนอยู่ในร่างกาย

ในขณะนี้ เมื่อเห็นเฉินซีฆ่าคนในตระกูลด้วยท่าทางที่เย็นชาและโหดเหี้ยม หัวใจก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดรวดร้าว และไม่เต็มใจที่จะดูต่อไปอีก

พวกเขาทราบดีว่าการสงสารจั่วฉิวเฟิงและคนอื่น ๆ นั่นไม่คุ้มเอาเสียเลย เพราะหากไม่ใช่การมาถึงของเฉินซี พวกตนคงถูกจั่วฉิวเฟิงสังหารไปแล้ว

แล้วหากเป็นเช่นนั้น จั่วชิวเฟิงและคนอื่น ๆ จะทนได้หรือไม่?

“ความเกลียดชังที่สะสมอยู่ในใจเด็กคนนี้รุนแรงเกินไป ข้าสงสัยว่าเขายับยั้งมันในตลอดหลายปีมานี้ได้อย่างไร โดยที่ไม่ถูกปีศาจในใจครอบงำไปเสียก่อน” เซวียนหยวนเส้าก็ตกตะลึงในใจเช่นกัน เพราะวิธีการที่เฉินซีเปิดเผยในขณะนี้นั้นสงบและไม่แยแสอย่างยิ่ง ซึ่งด้วยเหตุนี้เอง ที่เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนต้องอกสั่นขวัญแขวน

ตั้งแต่เซวียนหยวนเส้าเริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เขาได้เห็นฆาตกรโหดเหี้ยมที่มีนิสัยชั่วร้าย โหดเหี้ยม และสังหารอย่างบ้าคลั่งมานับไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนที่สังหารอย่างสงบและเงียบเชียบอย่างเฉินซี

ถ้าเป็นคนอื่นที่สะสมความเกลียดชังไว้ในใจ นิสัยของผู้นั้นคงเปลี่ยนไปนานแล้ว แต่ดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีกลับบริสุทธิ์และไม่มีปีศาจในใจแม้แต่น้อย

ความแตกต่างดังกล่าว ทำให้เซวียนหยวนเส้าตกตะลึงอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน เซวียนหยวนเฟิงเฉินและเซวียนหยวนท่าเป่ยก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน

“ไม่ถูกพันธนาการด้วยความเกลียดชัง และไม่ต่อต้านดวงจิตแห่งเต๋าเพราะความเกลียดชัง นั่นมันไม่ดีหรือ?” ราชันเซียนรัตติกาลไม่คิดเช่นนั้น นางได้เห็นช่วงเวลาของชีวิตและความตายนับไม่ถ้วน ทั้งยังเคยเห็นผู้ยิ่งใหญ่ทำลายบ้านเมืองและสังหารผู้บริสุทธิ์ไม่ต่างจากผักปลา เพียงเพราะตกอยู่ในความโกรธ

หากเปรียบเทียบกันแล้ว เฉินซีเพียงล้างแค้นเท่านั้น และวิธีการของเขาค่อนข้างจะผิดปกติเล็กน้อย เพราะเมื่อเทียบกับวายร้ายที่สังหารอย่างบ้าคลั่ง นี่… กลับสงบอย่างน่าเหลือเชื่อ

หัวเจี้ยนคงเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ แต่สายตาที่จ้องมองเฉินซีกลับมีแววชื่นชมที่ซับซ้อน คนผู้นี้มีความเกลียดชังฝังลึกอยู่ในใจ แต่แท้จริงแล้ว กลับสามารถป้องกันไม่ให้ปีศาจครอบงำหัวใจได้ เมื่อเทียบกับตน ตัวข้าเมื่อหลายปีก่อนนั้นด้อยกว่ามาก

จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ เพียงดูเหตุการณ์อย่างเงียบ ๆ พวกเขาค่อนข้างรู้สึกประทับใจเช่นกัน และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของพวกเขาพร้อมกัน ‘หากผู้ใดกลายเป็นศัตรูกับเด็กน้อยคนในนี้ภายภาคหน้า ผลที่ตามก็คงยากจะจินตนาการได้’

“มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง” ทันใดนั้น จ้าวไท่ฉือกล่าวด้วยสายตาจดจ่อ

“จริงด้วย” อ๋าวจิ่วหุยและฉือฉางเซิงมองรอบกาย ความระแวดระวังพุ่งทะยาน

ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ลางร้ายพลันผุดในใจของหัวเจี้ยนคงและคนอื่น ๆ เช่นกัน

บรรยากาศสงบเกินไป!

นับตั้งแต่พริบตาที่เว่ยซิงและศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายอำนาจเทวะถูกทำลายล้าง และจนกระทั่งเฉินซีล้างแค้นด้วยตัวเอง สรรพสิ่งในฟ้าดินก็ตกอยู่ในความเงียบที่แปลกประหลาด

เดิมทีจ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ คาดหวังว่าจั่วชิวเป่ยหยงและจั่วชิวเหลิงฮวาจะปรากฏตัว แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

หรือพวกเขาตั้งใจที่จะละทิ้งฝ่ายจั่วชิวเฟิงจริง ๆ?

เรื่องคงไม่ง่ายขนาดนี้!

จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ตระหนักดีว่าแม้ความขัดแย้งของตระกูลจั่วชิวจะดูเหมือนเป็นเรื่องภายใน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำลายล้างที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อทั่วทั้งทวีปเนตรสวรรค์ และตอนนี้มันกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งโลกด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุด ตระกูลจั่วชิวเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ทรัพยากรและกองกำลังมีความเก่าแก่และล้ำลึก เมื่อความขัดแย้งภายในปะทุขึ้น มันย่อมสร้างผลกระทบต่อภพเซียนทั้งหมดอย่างใหญ่หลวง

ยิ่งไปกว่านั้น การแทรกแซงของนิกายอำนาจเทวะ ทำให้ความขัดแย้งภายในของตระกูลจั่วชิวถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่แปลกประหลาด เป็นกลิ่นอายที่ไม่ว่าใครก็สังเกตเห็น และคาดเดาได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในภพเซียนทั้งหมดด้วยซ้ำ

ทว่าจนถึงตอนนี้ นิกายอำนาจเทวะกลับยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งที่สูญเสียหมากหลักอย่างราชันเซียนเก้าคน และราชันเซียนครึ่งเจ็ดสิบคน ราวกับว่าพวกมันได้ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ทำให้ดูผิดปกติยิ่งกว่าเดิม

ราชันเซียนทั้งเก้าถูกสังหารแล้ว!

แม้ว่านิกายอำนาจเทวะจะเป็นหนึ่งในสุดยอดนิกายในสามภพ ความสูญเสียดังกล่าวก็ยังถือว่าใหญ่หลวง!

แล้วพวกมันจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?

แน่นอนว่า อาจเป็นไปได้เช่นกันที่นิกายอำนาจเทวะรู้สึกว่าราชันเซียนทั้งเก้านั่นเพียงพอที่จะช่วยจั่วชิวเฟิงจัดการกับอุปสรรคทั้งหมดภายในตระกูลจั่วชิว

แต่เนื่องจากนิกายอำนาจเทวะได้ทุ่มความพยายามถึงขั้นดังกล่าว แล้วมันจะเป็นการช่วยเหลือตระกูลจั่วชิวด้วยน้ำใจเพียงเท่านั้นหรือ?

แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ นิกายอำนาจเทวะย่อมฉวยโอกาสนี้เพื่อดำเนินแผนการบางอย่างเป็นแน่แท้! ยิ่งไปกว่านั้น มันจะต้องเป็นแผนการครั้งใหญ่!

“ทุกคนจงระวังและเตรียมตัวให้พร้อม ข้าสังเกตเห็นว่าการทำงานของสวรรค์กำลังผันผวนอย่างแปลกประหลาด และเหตุการณ์แห่งความโกลาหลก็พลุ่งพล่าน แม้ว่าข้าจะไม่สามารถอนุมานสัญญาณใด ๆ ได้ แต่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่”

จ้าวไท่ฉือมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สีหน้าค่อย ๆ ผันเปลี่ยน ดวงตาที่สุกใสเบิกกว้าง แสงสีทองสองดวงที่เกิดจากเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกมาจากพวกมัน และดูเหมือนกำลังมองผ่านความลับทั้งหมดของโลก

“ใช่แล้ว ในความคิดของข้า การทำงานของสวรรค์แสดงสัญญาณให้เห็นว่าถูกควบคุมโดยใครบางคน และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีขอบเขตสูงกว่าได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้…” อ๋าวจิ่วหุยกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็เต็มไปด้วยความเครียดขึง!

ใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แม้แต่ตัวตนที่ขอบเขตเทวาทั้งสองก็ไม่สามารถอนุมานอะไรได้ หรือภัยอื่นกำลังอุบัติในวันนี้?

ขณะที่คนอื่น ๆ ครุ่นคิด เฉินซีก็มาถึงตรงหน้าจั่วชิวเฟิงแล้ว

ชายหนุ่มถือสายเชือกที่ผูกศีรษะเปื้อนเลือดไว้ในมือ นับรวมได้ยี่สิบหัว และสีหน้าก่อนตายของเจ้าของยังคงประทับอยู่บนใบหน้าของพวกนั้น มีทั้งสีหน้าหวาดกลัว โกรธแค้น ขุ่นเคือง ปลงใจ ไม่ยินยอม และดุร้าย…

แต่ทั้งหมดนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนการแสดงออกที่สงบและไม่แยแสของเฉินซีได้

ในขณะนี้ เฉินซีจับจ้องไปที่จั่วชิวเฟิงซึ่งแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นหิน มองเข้าไปในแแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความโกรธ ความสิ้นหวัง และความขุ่นเคือง ในท้ายที่สุด เฉินซีไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ เพียงเงื้อมือขึ้น แล้วจึงฟันกระบี่ลงมา!

พรวด!

ศีรษะของจั่วชิวเฟิงถูกตัดกระเด็น น้ำพุเลือดพุ่งทะลัก ร่างไร้ศีรษะล้มกองกับพื้น

ผู้นำแห่งตระกูลจั่วชิว ราชันเซียนผู้ครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ในภพเซียน… ซึ่งเป็นลุงในนามของเฉินซี บัดนี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว!

เมื่อมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิวที่นำโดยจั่วชิวเฟิง ล้วนถูกทำลายล้างไปจนสิ้น

แม้ในขณะนี้ เฉินซียังคงไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาผูกศีรษะของจั่วฉิวเฟิงรวมกับศีรษะอื่น ๆ อย่างพิถีพิถันยิ่ง

ให้ความรู้สึกเหมือนช่างฝีมือแก่ ๆ กำลังทอเชือกเพื่อมัดสินค้า ด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นและจริงจัง

ตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้าก็ถูกโซ่ตรวนแห่งโชคชะตาพันธนาการไว้ มันหนักมากจนยากที่ข้าจะไปก้าวข้างหน้า

ทำให้ข้าไม่กล้าที่จะหย่อนยานแม้แต่น้อย เพราะรู้ดีว่าสำหรับคนอื่น การหย่อนยานสามารถให้อภัยได้ แต่สำหรับข้านั้นไม่ หากเพียงหย่อนยานเล็กน้อย นั่นหมายความว่ากำลังเข้าใกล้ความสิ้นหวังและความตายไปอีกขั้น เพราะโซ่ตรวนที่พันธนาการที่ข้าอยู่นั้นหนักเกินไป! ถึงขนาดที่ข้าจะไม่กล้ายอมให้น้องชายแบกรับมันไปกับข้าด้วยซ้ำ…

ขณะที่ค่อย ๆ เก็บสายเชือกที่ผูกศีรษะไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เฉินซีก็พึมพำอยู่ในใจ

พวกเจ้าทุกคนคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพเซียน เจ้าสามารถถือว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นเหมือนมดได้ และเพียงแค่คิดก็สามารถตัดสินชะตากรรมของผู้คนนับไม่ถ้วน ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเมื่อหลายปีก่อน ข้าเป็นเพียงตัวซวยในเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลในภพมนุษย์ ข้าเทียบกับมดไม่ได้ด้วยซ้ำ… ดังนั้นพวกเจ้าคงไม่เข้าใจความเจ็บปวดและความเกลียดชังในใจข้าได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจ ไยข้าต้องเสียเวลากล่าววาจาด้วย?

นี่คือความเกลียดชัง และเหตุผลเดียวที่ข้าบ่มเพาะมาตั้งแต่ต้น ก็มีเพื่อล้างแค้นเท่านั้น แต่ตอนนี้… มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

แม้จะมีหลายวิธีในการแก้แค้น เช่นทำลายการบ่มเพาะและทำให้พวกเจ้ากลายเป็นทาสในเหมือง ทำให้พวกเจ้าไม่มีวันเงยหน้าขึ้นสูงได้อีกต่อไป หรือกระชากวิญญาณ แล้วใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อทรมานตลอดทั้งวันทั้งคืน ทำให้อยู่ไม่สู้ตายไปตลอดกาล…

แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่ได้บรรเทาเท่ากับการฆ่า ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนทำได้แค่ตายเท่านั้น

เสียงพึมพำในใจของเขาดูสงบมาก เรียบเรื่อยไม่รุนแรง เพียงแค่อธิบายข้อเท็จจริงเท่านั้น และเมื่อเขากลับไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาจะส่งมันไปยังเมืองหมอกสน ซึ่งอยู่ภายในหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป เพื่อแสดงความเคารพต่อคนตระกูลเฉินที่ล่วงลับ

หลังจากที่เขาทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น ดูเหมือนว่าโซ่ตรวนที่พันธนาการหัวใจเขาจะพังทลายลง ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ราวกับชีวิตได้เดินออกมาจากความมืดมิด และอาบไล้ไปด้วยแสงสว่างอันอบอุ่น ทั้งร่างกายดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ประหนึ่งวิหคอมตะที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน และได้รับชีวิตใหม่!

มันเหมือนกับพันธนาการที่ทรมานเขาตลอดครึ่งแรกของชีวิต แต่ดวงจิตแห่งเต๋าไม่ได้ถูกครอบงำด้วยปีศาจภายในใจ และตอนนี้ความแค้นของเขาได้ถูกชำระแล้ว ร่างกายจึงถูกสร้างเป็นทองคำอีกครั้ง!

การรู้แจ้งจะบรรลุอรหันต์ทันที หากหลงผิดจะนำสู่ทะเลทุกข์ไปชั่วนิรันดร์ ความดีหรือความชั่วถูกตัดสินด้วยเพียงความคิดเดียว หากใครสามารถรู้แจ้ง ก็สามารถหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ และบรรลุอรหันต์ได้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท