บทที่ 836 บทสรุปหลังสงคราม
เหนือเศียรพระพุทธรูป ดวงตะวันดวงใหญ่ค่อยๆ ลอยขึ้นมา
ทันใดนั้น ผืนพิภพและท้องนภาสว่างไสวด้วยแสงพุทธะอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั่วทั้งปฐพีเหมือนกลายเป็นดินแดนพุทธก็มิปาน
แสงอรุณส่องทะลุผ่านเกลียวคลื่นพายุ ทำให้ปุยเมฆแตกกระจัดกระจาย พายุทรายที่กำลังเริงระบำพลอยหยุดลง ฝุ่นผงหลอมรวมกันเป็นธารลาวาตกลงมาดั่งฝนปรอย
ด้วยเหตุนี้ท้องฟ้าจึงร่ำไห้ลงมาเป็นฝนเพลิง ซึ่งฝนเพลิงส่วนใหญ่ยังไม่ทันตกถึงพื้นดีก็กลายเป็นเถ้าถ่านบินปลิวว่อน
เป็นภาพที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจ
ร่างธรรมวชิระ ‘หลอมละลาย’ อย่างรวดเร็วภายใต้แสงพุทธะ ตั้งแต่ชั้นผิวหนังจวบจนเลือดเนื้อ ทุกกระเบียดนิ้วกลายเป็นเถ้าธุลีแล้วงอกขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“โฮก!”
เสินซูคำรามเสียงโหยหวนด้วยความเคียดแค้นสั่นสะเทือนลั่นทั่วสารทิศ
‘ตึง ตึง ตึง’…ผืนดินสั่นไหว ร่างธรรมเสินซูก้าวไปข้างหน้า มุ่งสู่ดวงสุริยน
เขาเดินเชื่องช้า ทุกย่างก้าวราวกับแบกของหนัก แต่ละฝีก้าวมีขี้เถ้าร่วงหล่นนับไม่ถ้วน รอยเท้าสีดำทมิฬค่อยๆ ปรากฏเรียงเป็นแนวบนพื้น
เขาเจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการถึง
น่าหลันเทียนลู่หลับตาลง ปล่อยน้ำตาไหลราวกับหยาดฝน
“ว่ากันว่าพระพุทธเจ้ามีร่างธรรมปรากฏเก้าร่าง เหตุไฉนพระองค์จึงทรงแสดงเฉพาะพระมหาไวโรจนะเล่า? หรือเพราะตราผนึกยังคงอยู่? ดูเหมือนเทพพ่อมดจะทะลวงพลังอันแข็งแกร่งนี้ไปไม่ได้สินะ
“สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าหลุดพ้นจากผนึกได้เหนือกว่าเทพพ่อมด นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย การฆ่าเจียหลัวซู่ยากขึ้นไปอีก
“ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะสามารถสังหารระดับเหนือมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย…
“อืม เสินซูเพิ่งจัดระเบียบร่างกายใหม่ พลังต่อสู้ของเขายังไม่ถึงขีดสูงสุด ถ้าเขาเข้าใกล้พระพุทธเจ้าได้ บางทีอาจพอมีหวัง มิเช่นนั้น วันนี้ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่อาจเป็นเพียงเวลาสั้นๆ”
ต้าฟ่งและอาณาจักรหมื่นปีศาจพยายามชิงส่วนหัวคืนมา ส่วนสำนักพุทธกำลังรอให้พวกเขาตกหลุมพรางเสียเอง
“ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครมีไพ่มากกว่าและมีวิธีที่แข็งแกร่งกว่ากัน ถ้าเสือสองตัวสู้กัน ย่อมมีตัวหนึ่งบาดเจ็บ สำหรับสำนักพ่อมดของพวกเราแล้ว เป็นเรื่องการดีที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดง
น่าหลันเทียนลู่ปาดน้ำตา พร้อมใช้วิชาวิญญาณโลหิตบรรเทาอาการปวดแสบดวงตา
หลังจากเสินซูเยื้องย่างด้วยฝีก้าวที่มั่นคงกว่าสิบก้าว ความถี่เริ่มถดถอยลง ทุกย่างก้าวต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อออมแรงไว้ อุณหภูมิที่สูงจนยากจะจินตนาการกำลังแผดเผาร่างกายเขา และที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือพลังพุทธะที่แฝงอยู่ในนั้น
พลังขนาดเท่าจุลภาคนี้จะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายเสินซู พลางทำลายเซลล์ร่างกายของเขา ตามด้วยสลายระบบร่างกายและโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนที่สุด
ร่างธรรมวชิระค่อยๆ แผดเผากะโหลกจนดำสนิท ดวงตากลวงโบ๋ เหลือเพียงลูกไฟวิญญาณเพียงสองดวงเท่านั้น
เขาไม่ได้ก้าวต่อสักระยะแล้ว
นางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองออกไปไกลสุดสายตา ดวงตาคู่งามมีน้ำตาไหลอาบ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน พลางเอ่ยอย่างร้อนรน
“พระอาทิตย์รอบนี้แรงกว่าครั้งที่แล้วมาก”
นางหลั่งน้ำตาไม่ใช่เพราะเสินซูตกอยู่ในอันตราย แต่เป็นเพราะมอง ‘ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง’ ตรงๆ ทำให้ลูกตาถูกแสงพุทธะบาดจนน้ำตาไหลออกมา
อาซูหลัวก็แสบร้อนจนน้ำตาไหลแบบเดียวกัน เอ่ยเสียงขรึม
“ไม่เป็นไร เรายังมีไพ่ตาย!”
ถึงพูดแบบนั้น ในใจเขาก็เป็นกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ได้กังวลในตัวเสินซู ตอนนี้เสินซูเข้าสู่ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธแล้ว แม้ระดับเหนือมนุษย์ก็ไม่อาจฆ่าเสินซูได้
แต่อีกฝ่ายเป็นถึงระดับเหนือมนุษย์ แม้จะวางแผนอย่างรอบคอบ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ข้อผิดพลาด
…
เหนือศีรษะเสินซูปรากฏเงาร่างหนึ่งไม่ได้สวมอาภรณ์
ทันทีที่เขาปรากฏตัว เสื้อผ้าก็ถูกพลังร่างธรรมพระมหาไวโรจนะแผดเผา
หลี่เมี่ยวเจิน จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและระดับเหนือมนุษย์คนอื่นๆ ยืนขึ้นทีละคนพลางมองโดยไม่ละสายตา แม้น้ำตาจะไหล ดวงตาแสบร้อนจนทนไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากพลาดรายละเอียดสักจุด
นั่นก็คือไพ่ตายที่อาซูหลัวพูดถึง ในแผนของพวกเขา ขั้นต่อไปคือขั้นตอนท้ายที่สุด
จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
“สะ…สวี่ชีอัน?”
น่าหลันเทียนลู่ที่เฝ้าดูอยู่ระยะไกลตกตะลึง พูดในใจว่าเขากำลังรนหาที่ตายหรือเปล่า ไม่ว่าจอมยุทธขั้นหนึ่งจะทรงพลังเพียงใด ก็ไม่สามารถทนต่อการ ‘แผดเผา’ ของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะได้ตลอด
ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธเกือบจะไร้พลัง เลยอาศัยพลังขั้นหนึ่งจากเขาอย่างนั้นหรือ?
แต่ภาพต่อมา ทำให้น่าหลันเทียนลู่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สวี่ชีอันที่ยืนอยู่เหนือศีรษะเสินซู ถูกเสินซูกลืนกิน
ถึงแม้ว่าแสงจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะจะรุนแรง แต่เขายังคงเห็นรายละเอียดได้อย่างชัดเจน
น่าหลันเทียนลู่มองไม่ผิดแน่ ทว่านี่ไม่ใช่การกลืนกิน แต่เป็นการหลอมรวมชั่วคราว
ในขอบเขตจอมยุทธขั้นหนึ่ง สิ่งนี้เรียกว่า ‘การครอบงำร่าง’ โดยผสมผสานเลือดเนื้อของเป้าหมาย เพื่อครอบครองร่างกายอีกฝ่าย
เพียงแต่แตกต่างจากการครอบงำวิญญาณ การครอบงำร่างไม่ทารุณขนาดนั้น ผู้ครอบงำสามารถเลือกร่างที่จะแฝง แล้วค่อยถ่ายโอนความคิดให้กับร่างพักพิง หรือจะอยู่ร่วมกับร่างพักพิงแล้วควบคุมร่างกายไปพร้อมๆ กันก็ได้เช่นกัน
หลังยึดร่างแล้วก็สามารถใช้พลังควบคุมเลือดเนื้อตนให้แยกออกจากกัน
ท่วงท่านี้มีเพียงจอมยุทธขั้นสูงเท่านั้นที่ใช้ได้ เป็นวิธีเดียวกับที่แขนขวาของเสินซูใช้กับสวี่ชีอันตอนนั้น
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของ ‘การครอบงำร่าง’ คือพลังชีวิตและความแข็งแกร่งทางกายภาพ สามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้ แต่กําลังรบและขอบเขตกลับยากที่จะเพิ่มขึ้น
เนื่องจากเสินซูแข็งแกร่งกว่าสวี่ชีอัน ถึงจะเข้ากันได้ แต่การรองรับจอมยุทธขั้นหนึ่งไม่สามารถเพิ่มขีดจำกัดครึ่งก้าวสู่เทพยุทธได้
หลังจากผสานเข้ากับสวี่ชีอัน ร่างธรรมวชิระอันดำมืดก็เปลี่ยนไปทันตาเห็น หัวกะโหลกสีแดงไหม้เกรียมกลับมามีเลือดเนื้ออีกครั้ง ส่วนต่างๆ ของร่างกายฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
เขาได้รับพลังจากสวี่ชีอัน รวมถึงหลิงอวิ้นจากต้นไม้อมตะ
พลังของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะยังคงเผาไหม้ร่างกาย แต่ความสามารถในการฟื้นฟูทำให้เขาทั้งสองอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างสมดุล
ในช่วงเวลาอันสั้น การที่พระอาทิตย์จะสร้างความเสียหายให้เสินซูอย่างหนักหน่วงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
‘ตึง ตึง ตึง’…ในที่สุด เขาก็เดินจนถึงหน้าพระพุทธรูป ร่างธรรมสีดำใช้แขนทั้งยี่สิบสามข้างโอบพระอาทิตย์ที่อยู่เหนือเศียรพระพุทธเจ้า
จากนั้นแขนข้างสุดท้ายก็เหยียดออก เสียงของสวี่ชีอันดังสะท้อนออกมาจากทุ่งร้างแดนประจิม
“ดาบ!”
ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ในมือจ้าวโส่วพุ่งออกมา
ระหว่างพุ่งมา มันเปลี่ยนจากแสงจางๆ กลายเป็นมวลแสงคล้ายอุกกาบาต แสงสีใสพลุ่งพล่าน เติมเต็มจักรวาลด้วยพลังงานบริสุทธิ์
ดาบสลักไม่เคยระเบิดพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้
วินาทีนี้ มันดูเหมือนอาวุธวิเศษระดับสุดยอดอย่างแท้จริง
ดวงตาจ้าวโส่ววาววาบ รู้สึกซับซ้อนอยู่พักหนึ่ง เขามองนางจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางและเอ่ยว่า
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าทำไมข้าถึงคัดค้านสวี่ชีอันที่เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ได้ละจากระยะไกล ดวงหน้าขาวผ่องงดงามยังคงมีคาบน้ำตา เอ่ยเสียงเรียบ
“การเรียกวิญญาณปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้บาดเจ็บจนรักษาไม่ได้”
จ้าวโส่วขานรับ ‘อืม’ พลางเอ่ยเนิบนาบ
“ราคาของการเรียกวิญญาณปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คือกลไกของกฎแห่งสวรรค์ บาดแผลที่ไม่ธรรมดา หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้สามารถรักษาให้หายได้ แต่ไม่อาจรักษากฎสะท้อนได้”
เขาชะงักแล้วเอ่ยต่อ
“ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของข้า เป็นของล้ำค่ามาแต่ไหนแต่ไร ยกเว้นสองครั้งนั้นที่เว่ยเยวียนและท่านโหราจารย์เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ มันไม่เคยแสดงพลานุภาพของอาวุธวิเศษขั้นเหนือธรรมดา รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นมองหน้ากันและกัน พลางส่ายหน้า
จ้าวโส่วกล่าว
“ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้มีมหาโชค ทั้งยังเป็นบุคคลที่มีโชคมากที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน”
ทุกคนเข้าใจทันที
การจะใช้พลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มกำลัง หากไม่ใช่ผู้มีโชคก็ใช้ไม่ได้
แม้ว่าจ้าวโส่วจะเดินตามรอยขงจื๊อ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็เคยถูกฝังอยู่กลางทุ่งนา จนบัดนี้กลายเป็นข้าหลวงประจำสำนัก แต่ห้วงเวลายังสั้นไม่พอให้กระตุ้นพลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์
“หลังค้อนก่อกวนชะตากรรมเปิดโลกให้แก่เขา สวี่หนิงเยี่ยนก็ควบคุมชะตาบ้านเมืองในตัวเขาได้อย่างอิสระ” จ้าวโส่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์”
ขณะพูด แสงจางๆ ก็ส่งตนเข้าไปอยู่ในฝ่ามือเสินซู
ร่างแห่งปราณเที่ยงธรรมคืบคลานไต่ไปตามลำแขนปกคลุมร่างธรรมสีดำ เพื่อต้านทานการแผดเผาอันร้อนแรงจากพระมหาไวโรจนะอย่างเต็มกำลัง
“พระพุทธองค์!”
เสินซูคำรามด้วยความเดือดดาล พร้อมออกแรงแทงดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ในมือ
ทางด้านทุ่งร้างแดนประจิม รัศมีสีทองแผ่ขยายอย่างรวดเร็วราวกับระลอกคลื่นที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้
เหมือนเป็นการบรรเลงโหมโรงก่อนดาวฤกษ์จะระเบิด
หลังจากนั้นในทันใด เสียงอึกทึกอื้ออึงก็เริ่มดังขึ้น พร้อมกับแสงสีทองที่แผ่ขยายออกอย่างกะทันหัน ลำแสงสีทองนั้นพุ่งกระจัดกระจายทั่วสารทิศในทุ่งร้างห่างไกล
หลี่เมี่ยวเจินและผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์คนอื่นได้ย้ายออกไปจากอรัญตาแล้ว แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากพลังของร่างธรรมพระมหาไวโรจนะที่ล่มสลาย
ด้วยความสิ้นหวัง ซุนเสวียนจีต้องทนต่อความเจ็บปวดอันร้อนรุ่ม พาทุกคนออกไปให้พ้นทาง
…
หลังจากแสงสีทองอันรุนแรงสลายหายไป ร่างธรรมสีดำก็เป็นอิสระจากฟ้าดิน แขนเขาทั้งสิบสองข้างถูกกระแทกจนหัก ช่วงท้องเกือบทะลุ เลือดเนื้อจากบาดแผลที่แขนทั้งสองข้างหรือแม้แต่ช่วงท้องเต้นกระตุก ยากจะรักษา
พระพุทธรูปที่รูปร่างเลือนรางทรุดลงเป็นภูเขาเนื้อ มันดิ้นรนกระเสือกกระสนไต่ตามร่างธรรมสีดำเพื่อกัดกินเขา
ร่างธรรมสีดำค่อยๆ ยกเท้ากระทืบภูเขาเนื้อเต็มแรง
จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสกันทั้งสองฝ่าย ด้วยแรงผลักดันจากความเกลียดชัง จึงพยายามปีนเข้าหากันเพื่อเข่นฆ่าอีกฝ่าย
น่าหลันเทียนลู่บังเอิญกลับมาเห็นฉากนี้เข้า พลันเกิดความรู้สึก ‘ข้าก็ทำได้’
แต่เหตุผลช่วยให้เขายับยั้งช่างใจและมีสติกับตนเอง
ในเวลานี้ ภูเขาเนื้อปริแตกบางแห่ง เผยให้เห็นร่างพระโพธิสัตว์สามองค์นั่งขัดสมาธิ พวกเขาหายใจอ่อนแรง สภาพดูไม่ค่อยได้
“ไปกันเถอะ!”
เสียงของสวี่ชีอันดังมาจากร่างธรรมสีดำ
แยกกันตอนนี้ พระพุทธเจ้าก็ยับยั้งพวกเขาไม่ได้แล้ว
วัตถุประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อเพื่อต่อสู้อีก เพราะพวกเขาฆ่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ และทั้งเขาและเสินซูก็อ่อนแออย่างมากในตอนนี้
นอกจากนี้ยังมีเจ้าแห่งวัสสานขั้นสองคอยจับตาดูอยู่
ร่างธรรมสูงสองร้อยจั้งเดินเยื้องย่างผ่านทุ่งร้างมุ่งหน้าสู่อีกฟากฝั่งอันไกลโพ้น
ด้านหลังคืออรัญตาที่พังทลาย บนซากปรักหักพังคือพระพุทธเจ้าที่คืบคลานอย่างช้าๆ และดูไร้เรี่ยวแรง
“สวี่ชีอันใช้พลังของดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้…ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธปรากฏกายอีกครั้ง พระพุทธองค์ทรงทำลายผนึกได้ดีกว่าเทพพ่อมด…พระโพธิสัตว์ทั้งสามองค์ยังไม่ตาย จะฉวยโอกาสคงไม่เหมาะนัก จึงจากไปอย่างเงียบๆ”
น่าหลันเทียนลู่สรุปข้อมูลโดยย่อ
ข้อมูลส่วนที่หนึ่งและสองมีความสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนการขุดคุ้ยไพ่ตายของสวี่ชีอันไปด้วย
“เฮ้อ ช่างน่าขันเสียจริง ผู้ที่สามารถใช้ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ กลับไม่ใช่ระดับเหนือมนุษย์จากสำนักอวิ๋นลู่ แต่เป็นจอมยุทธจอมหยาบคาย”
น่าหลันเทียนลู่เยาะเย้ย จากนั้นก็เงียบลง
เลิกพูดถึงแนวทางการบำเพ็ญได้เลย คนสกุลสวี่มีคุณสมบัติพอที่จะใช้ดาบสลักได้อย่างแท้จริง
…
ซินเจียงตอนใต้
ภายในวังจักรพรรดินีหมื่นปีศาจ หลี่เมี่ยวเจินถือชาแก้วชาร้อน มองออกไปนอกวังอยู่บ่อยครั้ง
“พวกเขายังไม่แยกกันอีกหรือ แล้วเมื่อไหร่จะพักฟื้นได้เล่า?
นางเทียวถามคำถามเดิมเป็นครั้งที่สาม
เวลาผ่านไปสองชั่วยามแล้ว นับตั้งแต่กลับมาที่ซินเจียงตอนใต้จากแดนประจิม
หลังจากสวี่ชีอันกับเสินซูหายเข้าไปในหอคอยผนึกก็ไม่กลับออกมาอีก หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ต้องพักอยู่ที่เขาหมื่นปีศาจเพื่อพักฟื้น
นางปีศาจผมสีเงินที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงตั่ง เชื้อเชิญทุกคนให้ดื่มชาเมาสุรา ดวงหน้ามีสง่าราศี ท่าทางราวกับมีเรื่องให้ชื่นมื่นเบิกบานใจ
แย้มยิ้มทรงเสน่ห์เอ่ยว่า
“ใจเย็นๆ ระดับพวกเขา อาจต้องใช้เวลาในการแยกจากกัน ยิ่งไปกว่านั้นเสินซูยังต้องหลอมรวมกับวิญญาณที่เหลืออยู่ในหัว ฟื้นฟูตัวเองให้กลับสู่ขั้นสูงสุด จะรีบได้อย่างไร”
หลี่เมี่ยวเจินทอดถอนใจ
อันที่จริงนางกลัวว่าจู่ๆ เสินซูเกิดคลุ้มคลั่งเสียสติ พลันจับสวี่ชีอัน ‘กิน’ จนได้
จอมยุทธขั้นสูงสุดระดับเดียวกัน สามารถกอบโกยปราณโลหิตระหว่างกันและกันได้
นางคิดว่า สวี่หนิงเยี่ยนตกอยู่ในความเสี่ยงเกินไป
พันธมิตรยิ่งไม่ใช่ญาติฝ่ายพ่อ จะจริงใจขนาดนี้เลยหรือ?
“นักบวชเต๋า เจ้าพูดอะไรสักอย่างสิ”
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความถึงผู้นำเต๋านิกายปฐพี
จินเหลียนส่ายศีรษะและเอ่ยว่า
“เจ้าลืมชะตาบ้านเมืองในตัวสวี่ชีอันรึ?”
ชะตาบ้านเมืองหลอมรวมกับสวี่ชีอัน หากไม่ใช่ยอดฝีมือระบบโหรก็ยากที่จะกำจัดทิ้ง ถ้าเสินซูคิดจะกินสวี่ชีอัน ก็ต้องขัดเกลาโชคชะตาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธครึ่งขั้นผู้นี้ไม่มีความสามารถตรงนี้
เมื่อดอกหลานเหลียนคิดตาม นางก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล จึงสบายใจไม่น้อย
หลังทุกคนคุยสัพเพเหระกับต่อสองสามประโยค นางจิ้งจอกเก้าหางจึงเปลี่ยนหัวข้อกลับมายังสงครามที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยมองไปรอบๆ เหล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์และเอ่ยว่า
“ดูเหมือนพระพุทธเจ้าจะเป็นตัวปัญหา? สงครามก่อนหน้านี้ นอกจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ พระองค์มิได้เรียกใช้ร่างธรรมอื่น”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวเสียงขรึม
“หรือว่าบางทีผนึกอาจยังไม่ถูกปลดออกสมบูรณ์นัก?”
อาซูหลัวส่ายศีรษะ
“ข้ามั่นใจว่าตราผนึกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์หลุดไปนานแล้ว จะดีกว่าถ้าบอกว่าหลังแยกจากเสินซูแล้ว พระองค์ทรงสูญเสียพละกำลังบางส่วน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงใช้ได้เพียงแค่ร่างพระมหาไวโรจนะ
นางปีศาจผมเงินไม่เห็นด้วยกับการคาดเดาของพี่ชายในนามผู้นี้ทันที “แต่เสินซูรู้จักเพียงร่างธรรมวชิระเท่านั้น”
แล้วพลังร่างธรรมอื่นๆ เล่า?
จ้าวโส่วครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง พลางถอนหายใจและเอ่ยว่า
“ข้ามีความคิดสองอย่างคือ อย่างแรก ตอนที่ท่านโหราจารย์เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์มาทำลายร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ เขาสร้างความเสียหายบางอย่างให้พระพุทธเจ้า ทำให้พลังต่อสู้ของพระองค์ลดลง
“อย่างที่สอง พระพุทธเจ้าอาจไม่ใช่พระพุทธองค์ตัวจริง แต่เป็นคนอื่น”
บรรดาผู้เหนือมนุษย์พากันคิดตาม พลันคิดว่าทั้งสองความคิดอาจเป็นไปได้สูง
ด้วยความสามารถการวางหมากรุกของท่านโหราจารย์ ในตอนนั้นคงปูทางสู่การต่อสู้ในวันนี้ ความน่าจะเป็นนี้เป็นไปได้อย่างยิ่ง
สำหรับการคาดเดาอันที่สอง ขึ้นอยู่กับเสินซูแล้ว
เมื่อเสินซูได้รับการฟื้นฟูจนสมบูรณ์ ความทรงจำทั้งหมดจะกลับมา หากมีคำถามใดๆ ค่อยรอเอาคำตอบจากเขาโดยตรง
“พระพุทธเจ้า เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนั้นไปได้?” หลี่เมี่ยวเจินถามคำถามที่สงสัยมานาน
นางหมายถึงภูเขาเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวจนเกินจริงลูกนั้น
“บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่พระองค์เป็น” จ้าวโส่วตอบคำถามที่พอคิดดีๆ แล้วก็น่ากลัวไม่หยอก
อาซูหลัวส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้า แต่ตามตำนานเผ่าอสูร พระพุทธเจ้านุ่งห่มกายด้วยผ้ากาสายะ ทั่วทั้งร่างราวกับหล่อจากทองคำ และมีรูปร่างเหมือนมนุษย์”
“แต่นั่นอาจเป็นเพียงร่างจำแลงหรือภาพลวงตา” นางปีศาจผมเงินเอ่ย
‘ถ้าเป็นร่างจำแลงและภาพลวงตาจริง ตบะคงไม่สูงขนาดนี้’…จ้าวโส่วมองอาซูหลัว
“ราชาอสูรตอนนั้นอยู่ระดับใด”
ถ้าหากราชาอสูรตอนนั้นอยู่ระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์หรือผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่ง ร่างจำแลงของพระพุทธเจ้าคงปราบเขาได้ยาก
อาซูหลัวขมวดคิ้ว พลันส่ายหน้าและอธิบาย
“ตอนนั้นลำดับยังไม่ถูกแบ่ง ราชาอสูรถูกพระพุทธเจ้าสังหารที่อรัญตา ตั้งแต่ข้ายังอยู่ในครรภ์มารดา คนในเผ่าเล่าเพียงว่าราชาอสูรเป็นผู้แข็งแกร่งผู้เป็นอมตะแห่งแดนประจิม
“เช่นนั้นรอเสินซูตื่น ค่อยถามเขา”
เพราะไม่มีลิงอยู่รอบตัวซุนเสวียนจี เขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดูสหายพูดคุยกันอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่สามารถพูดแทรกได้
เขามีความคิดนับหมื่นอยู่ในหัว แสงวิญญาณต่างๆ ปรากฏขึ้น แต่ปากไม่ยอมทำตามสมองสั่ง
ในเวลานี้ ชิงจีผู้สงบเยือกเย็น รูปงามราวกับกุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ เดินสะบัดกระโปรงปลิวพลิ้วเข้ามาภายในตำหนัก
“องค์เหนือหัว นายท่านเสินซูกับฆ้องเงินสวี่ฟื้นแล้ว”