ตอนที่ 327 เจ้ากล้าหลอกลวงเบื้องสูง
ตอนได้รับราชโองการเรียกตัว เฮ่อชิงเซียวก็มีสีหน้านิ่งสงบ
ใกล้ได้เวลาเลิกงานตามปกติ เพราะเป็นวันพักผ่อน เส้นทางไปวังหลวงก็เงียบเชียบไม่น้อย เฮ่อชิงเซียวเร่งเดินทางมาถึงวังหลวง ภาพที่เห็นก็คือสีพระพักตร์เย็นเยียบของฮ่องเต้
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้รับสั่งให้เขาลุกขึ้น แต่กลับจ้องมองชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ด้วยสายพระเนตรเคร่งเครียด
เดิมเป็นขุนนางคนสนิทที่เขาใช้งานได้คล่อง ยังคิดว่าจะเก็บไว้ให้มู่เอ๋อร์ใช้งานในวันหน้า ดังนั้นจึงส่งเขาลงใต้ไปกับมู่เอ๋อร์เพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น
คิดไม่ถึงบุตรชายกลายเป็นบุตรสาว หวนคิดถึงการตัดสินใจในตอนแรกอีกครั้ง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็หงุดหงิดพระทัยไม่น้อย
อาโย่วตกน้ำได้เจ้าหมอนี่ช่วยไว้ จากนั้นยังอยู่ร่วมกันอีกหลายวัน เขาไม่เชื่อว่าเจ้าบัดซบนี่จะไม่รู้ว่าอาโย่วเป็นหญิง
ทั้งกังวลว่าเจ้าบัดซบนี่จะรังแกเอาเปรียบบุตรสาวเขา ทั้งโมโหที่เขาบังอาจหลอกลวงเบื้องสูง
เจ้าตัวบัดซบนี่เป็นเจิ้นฝูสื่อ[1]ดูแลสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือ เหตุใดจึงกล้าปิดบังเรื่องของอาโย่วไว้ ไม่รายงาน!
หากเป็นเช่นนี้ ยังมีเรื่องปิดบังอีกมากมายใช่หรือไม่
พระทัยหวาดระแวงของฮ่องเต้ทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้โทสะคุกรุ่นถึงขีดสุด สีพระพักตร์เยียบเย็น
บรรยากาศเงียบสงัด บ่าวในตำหนักมิกล้าหายใจดัง ในใจมหาขันทีซุนเหยียนแอบถอนหายใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เรียกได้ว่ามีแต่ยิ่งเหนือคาดขึ้นไปเรื่อยๆ ยังไม่มีที่สิ้นสุด
ด่านนี้ฉางเล่อโหวผ่านยากแล้ว
“ฉางเล่อโหว”
“พ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อชิงเซียวสุรเสียงยังคงเคร่งเครียด จากคำเรียกขานก็รับรู้ได้ถึงโทสะของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ไม่ได้เรียกตำแหน่งขุนนาง ‘ผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือเฮ่อ’ และไม่ได้เรียกเขาว่า ‘ชิงเซียว’ เหมือนผู้ใหญ่เมตตาผู้น้อย
“เจ้ารู้ว่าซินไต้จ้าวเป็นหญิงใช่หรือไม่” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามขึ้นตรงๆ
“ต่อมา อันใดคือต่อมา!”
“ตอนตกน้ำได้ช่วยซินไต้จ้าว”
“เจ้าบังอาจมาก!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ผุดลุกขึ้น
เฮ่อชิงเซียวก้มศีรษะ “กระหม่อมมีความผิด”
“เจ้ามีความผิดจริง เจ้า…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดด่าเขาว่าล่วงเกินบุตรสาว แต่คำพูดมาถึงที่ริมฝีปากก็ตั้งสติได้
คำพูดนี้ไม่อาจด่าออกไป แพร่ออกไปไม่เป็นผลดีต่ออาโย่ว
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าซินไต้จ้าวเป็นหญิง พอกลับถึงเมืองหลวง เหตุใดไม่รายงาน เจ้าหลอกลวงเบื้องสูง!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชี้ไปยังชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น เปลี่ยนจากด่าเป็นโทษอาญาแทน
“กระหม่อม…ความผิดสมควรตาย”
“เฮ่อชิงเซียว เจ้าคิดว่าเราไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ”
“กระหม่อมมิได้คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นการที่เจ้าปิดบัง มีจุดประสงค์อันใด” นี่คือจุดที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับไม่ได้อย่างที่สุด
เฮ่อชิงเซียวเป็นผู้บัญชาการสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือที่เขาเลือกเอง เป็นพระเนตรพระกรรณฮ่องเต้ สุดท้ายกลับหลอกลวงเขา จะให้ทนรับได้อย่างไร
“คุณหนูซินบอกว่าขอเวลาให้นางสักหน่อย นางจะทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง กระหม่อมครุ่นคิดไปมา อย่างไรก็เป็นเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท จึงมิกล้าเข้าข้องเกี่ยวพลการพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แค่นเยาะ “เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ นอกจากฉางเล่อโหว เจ้ายังเป็นเจิ้นฝูสื่อสำนักเป่ยเจิ้นฝู่ซือเจ้ามีสิทธิ์อันใดตัดสินใจเองโดยพลการ”
คำพูดนี้ได้ฟังแล้วแล้งน้ำใจอยู่สักหน่อย แต่ผู้ที่เอ่ยก็คือฮ่องเต้ ในความคิดซุนเหยียน ไม่เพียงแต่ไม่แล้งน้ำใจ แต่ถึงกับรู้สึกว่าฮ่องเต้ใจกว้างต่อฉางเล่อโหวมากเกินไปแล้ว
ควรรู้ว่าพฤติกรรมเฮ่อชิงเซียวก็คือหลอกลวงเบื้องสูง!
“กระหม่อมมีความผิด ขอฝ่าบาทลงอาญาพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อชิงเซียวแนบหน้าผากกับพื้นนิ่งไม่ขยับ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่เคยเห็นเฮ่อชิงเซียวขัดพระเนตรเช่นนี้มาก่อน ตรัสพระสุรเสียงเยียบเย็นขึ้น “ฉางเล่อโหวทำงานไร้ประสิทธิภาพ นำตัวไปโบยนอกประตูอู่เหมินสามสิบไม้!”
ขณะที่รถม้าจวนองค์หญิงใหญ่แล่นไป องค์หญิงใหญ่เจาหยางมองดูซินโย่วเหมือนมีความในใจ ก็ถามขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “อาโย่วกำลังคิดอันใดหรือ”
ซินโย่วค่อยๆ มองไปทางองค์หญิงใหญ่เจาหยาง
นางกำลังคิดว่าใต้เท้าเฮ่อถูกเรียกตัวเข้าวังแล้วใช่หรือไม่ โดนลงโทษแล้วใช่หรือไม่
ตอนพบกันเช้านี้ นางเห็นภาพใต้เท้าเฮ่อถูกโบย
ตามหลักการคิดอย่างมีสติ โทษหลอกลวงเบื้องสูง หากโดนโบยระลอกเดียวก็ผ่านไปได้ เรียกได้ว่าโชคดีมากแล้ว
นางจำต้องกลับคืนสู่สภาพหญิงสาว และใต้เท้าเฮ่อก็ย่อมต้องเผชิญกับคำถามว่ารู้สถานะนางนานแล้วหรือยัง
หากไม่ยอมรับ ฮ่องเต้ที่มีความระแวงอยู่มากย่อมไม่มีทางเชื่อ แม้หนีโทษตรงหน้าไปได้ แต่ก็อาจทิ้งรอยด่างไว้ในพระทัย หากยอมรับเปิดเผย หนักสุดก็คือโทษหลอกลวงเบื้องสูง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความคิดชั่วขณะนั้นของคนผู้นั้น
ตอนนางแสดงท่าทีเป็นห่วงเรื่องนี้ ใต้เท้าเฮ่อบอกว่าหากโดนลงโทษแล้วผ่านไปได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ขอให้นางอย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
นางรู้ว่าแสร้งทำไม่รู้บางทีอาจดีที่สุด แต่พอถึงยามนี้จริงๆ จะนิ่งดูดายเห็นเขารับโทษได้อย่างไร
พื้นเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง บรรดาขันทีล้อมดู ถูกปลดกางเกงรับโทษโบยต่อหน้าผู้คน…ใต้เท้าเฮ่อเดิมเป็นคนนอก ต้องมาประสบเคราะห์นี้ล้วนเพราะนางคนเดียว
“เสด็จอา ให้สารถีหยุดก่อนได้หรือไม่”
“เป็นอันใดไปหรือ”
“หม่อมฉันจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” องค์หญิงใหญ่เจาหยางเห็นสีหน้าซินโย่วผิดปกติ ก็เผยสีพระพักตร์เป็นห่วง
“ขอฝ่าบาทละเว้นโทษใต้เท้าเฮ่อ” ซินโย่วพูดจบก็เลิกม่านประตูรถม้ากระโดดลงไป
“อาโย่ว…” องค์หญิงใหญ่เจาหยางชะโงกหน้าออกไป ก็เห็นสาวน้อยยกชายกระโปรงวิ่งไปทางวังหลวง จึงรับสั่งสารถีทันที “หันกลับไปเร็ว!”
รถม้าองค์หญิงใหญ่เจาหยางหันหัวกลับรวดเร็ว ไล่ตามซินโย่วไป
ซินโย่ววิ่งรวดเดียวก็มาถึงหน้าประตูวัง “ข้ามีเรื่องต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ทหารเฝ้าประตูย่อมรู้จักซินโย่วที่เพิ่งออกไป ยามนี้ไม่รู้จะเรียกขนานคุณหนูสูงศักดิ์ผู้นี้อย่างไรดี ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “ท่านรอสักครู่ จะรีบไปกราบทูล”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางเร่งตามมาด้านหลัง “อาโย่ว อาจะพาเจ้าเข้าไป”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางย่อมเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ พาซินโย่วตรงไปตำหนักเฉียนชิงกง
พวกนางเข้าทางประตูตงหวาเหมิน คนละเส้นทางกับเฮ่อชิงเซียวที่ถูกคุมตัวไปนอกประตูอู่เหมิน จึงไม่ได้พบกัน
“อาโย่ว บอกอาก่อน เกิดเรื่องอันใดขึ้น” องค์หญิงใหญ่เจาหยางกระซิบถามยามเดินมากับซินโย่ว
“ตอนหม่อมฉันลงใต้พลัดตกน้ำ ได้ใต้เท้าเฮ่อช่วยเอาไว้ ใต้เท้าเฮ่อพบสถานะหญิงของหม่อมฉัน หม่อมฉันขอร้องใต้เท้าเฮ่อให้รับปากจะเก็บเป็นความลับ ตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้ความจริง หากลงโทษใต้เท้าเฮ่อหลอกลวงเบื้องสูง ก็คือบาปกรรมของหม่อมฉันเพคะ” ซินโย่วพูดไปก็กัดริมฝีปากไป
ผู้ถูกลงทัณฑ์คือเขา ผู้ถูกลบหลู่เกียรติก็คือเขา แม้นี่เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายที่เล็กน้อยที่สุด เขาพูดได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอันใด แต่นางถือสิทธิ์อันใดคิดว่าเป็นเช่นนี้ถูกต้องแล้ว
องค์หญิงใหญ่เจาหยางได้ฟังก็มีสีหน้าหนักพระทัย
องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่เหมือนซินโย่วที่ได้เห็นภาพเฮ่อชิงเซียวโดนลงโทษ ยามนี้เป็นห่วงว่าพี่ชายจะโมโหตัดศีรษะเฮ่อชิงเซียว เช่นนี้พ่อลูกคู่นี้ก็คงไม่มีวันแก้ปมในใจนี้ได้อีก
นี่คือผลลัพธ์ที่องค์หญิงใหญ่เจาหยางไม่อยากเห็นที่สุด
สองอาหลานรีบเร่งฝีเท้ามาถึงตำหนักเฉียนชิงกง
“ฝ่าบาท องค์หญิงใหญ่กับคุณ…คุณหนูซินขอเข้าเฝ้า”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังว่า ‘คุณหนูซิน’ ก็ขมวดพระขนง กำลังงงว่าเหตุใดไปแล้วกลับมาอีก แต่ก็รับสั่งให้ขันทีไปนำเข้ามา
“เจาหยาง นี่พวกเจ้า…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสกับองค์หญิงใหญ่เจาหยาง แต่สายพระเนตรจับต้องอยู่แต่ที่ซินโย่ว
ซินโย่วคุกเข่า “ฝ่าบาท หม่อมฉัน พลันนึกได้ว่ามีเรื่องยังไม่ได้กราบทูลเพคะ”
“เรื่องอันใด ค่อยๆ พูด”
“เพคะ ตอนอยู่อำเภอไป๋อวิ๋นไม่ทันระวังตกน้ำ ใต้เท้าเฮ่อไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ช่วยหม่อมฉันไว้ และพบสถานะกระหม่อมว่าเป็นหญิง ตอนนั้นหม่อมฉันขอให้ใต้เท้าเฮ่อเก็บเป็นความลับไว้ก่อน ใต้เท้าเฮ่อจำต้องรับปาก…” ซินโย่วพูดจบก็แอบเงยหน้ามองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “หม่อมฉันขอรับโทษพร้อมใต้เท้าเฮ่อ”
[1] เจิ้นฝูสื่อเทียบได้กับผู้บัญชาการทหารและพลเรือนของจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ