ตอนที่ 614 ปลาจากหุบเขา
ดูหนังรอบดึกจบตี้อู๋เปียนยังลากมู่เถาเยาไปกินของย่างที่ตลาดกลางคืนอีก
ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่เป็นช่วงที่ตลาดกลางคืนกำลังคึกคัก
ปลาย่างของเมืองนี้ขึ้นชื่อมาก ถึงจะไม่ใช่ปลาทะเล แต่ก็มีปลาจากแม่น้ำที่มาจากแหล่งธรรมชาติ
เมืองแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีทิวทัศน์ที่งดงาม ยังมีสามหุบเขาที่สำคัญ คือ แคนยอน หุบเขาหว่างแม่น้ำ และช่องเขาหว่างหุบเขา
ทั้งสองคนนั่งในร้านที่ชื่อว่า ‘ปลาหุบเขา’ โต๊ะที่พวกเขานั่งเป็นโต๊ะว่างที่สุดท้ายของร้าน
สาวน้อยอายุยี่สิบต้นๆ ยิ้มกว้างเดินมารับออเดอร์ของพวกเขา
มู่เถาเยาหยิบเมนูอาหารที่มันแผล็บบนโต๊ะขึ้นมาดูแล้วสั่งปลาที่ก้างน้อยที่สุด
เนื่องจากเป็นปลาจากแหล่งธรรมชาติในหุบเขา แต่ละวันจึงจับปลาได้ไม่เหมือนกัน และไม่มีปลาชนิดไหนที่ถือเป็นเมนูเด็ดของร้าน แต่ก็พูดได้อีกอย่างว่าเด็ดทุกอย่าง
สั่งพวกผักต่างๆ เช่น กุยช่าย พริกหยวก เห็ดเข็มทอง และยังสั่งซุปหอยขมเท้าเป็ด
พวกเขาไม่กลัวกินไม่หมด ไม่กลัวกินจนพุงแตก เพราะเดินกำลังภายในสองรอบก็ดีขึ้นแล้ว
สาวน้อยเห็นพวกเขาสั่งเยอะก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณผู้หญิงคะ ไม่ทราบว่ามากี่ท่านคะ”
มู่เถาเยายิ้มพูด “แค่สองค่ะ ถ้าพวกเรากินไม่หมดเดี๋ยวห่อกลับได้ค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะสิ้นเปลืองนะคะ”
“งั้นก็ได้ค่ะ” ปริมาณขนาดนี้ต้องสี่คนกิน “นั่งรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปทำซุปหอยขมเท้าเป็ดมาให้ก่อน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“ยินดีค่ะ”
หลังจากสาวน้อยเดินออกไปแล้วทั้งสองคนก็ได้ยินคู่รักข้างๆ กินปลาย่างพลางพูดชมไม่หยุด
คาดว่าปลาก็คงดี ฝีมือเจ้าของร้านก็ใช้ได้
“ซาลาเปาน้อย พวกเราไม่ค่อยได้เดินตลาดกลางคืนเลยเนอะ”
“อืม ตอนฉันเรียนมหาวิทยาลัยเย่ว์ตูก็มีไปเดินกับเซียวเซียว หมิ่นชิ่น ชีสยาบ้าง”
พวกคู่รักต่อให้มีเงินก็ชอบที่จะมาเดินสถานที่ครึกครื้นแบบนี้
ได้ยินว่าตลาดกลางคืนเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดของการออกเดท
“ฉันเคยมาแค่กับเธอ ห้านิ้วก็พอนับจำนวนครั้งได้”
ถึงแม้ตลาดกลางคืนของแต่ละท้องที่จะไม่ต่างกันมาก แต่ทุกครั้งเขาจะรู้สึกแปลกใหม่เสมอ
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “นี่เป็นชีวิตของคนธรรมดา เรียบง่ายและคือความเป็นจริงที่สุดแล้ว”
พวกเขาสองคนต่างมีทั้งอำนาจและเงิน มีภูมิหลังการใช้ชีวิตแตกต่างกัน แต่กลับเข้ากับเมืองเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างเย่ว์จือกวงเย่ว์จือเหิง ตี้อู๋เว่ยตี้อู๋เสีย หรืออวิ๋นไป๋ พวกเขามีแต่ชีวิตที่หรูหราใช้แต่ของดีๆ เคยลิ้มลองรสชาติชีวิตของคนธรรมดาที่ไหนกัน ที่หน้าร้อนยังต้องทนเหงื่อแตกเต็มหลัง
เธอไม่เหมือนกับพวกเขา อยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานใช้ชีวิตธรรมดาสามัญกับพวกชาวบ้านมาแต่เด็ก สภาพแวดล้อมแบบนี้จึงทำเธอลำบากไม่ได้
ต่อให้เธอไม่ได้หายไปตั้งแต่เป็นทารก เติบโตมาในเผ่า แต่ตราบใดที่เป็นจิตวิญญาณดวงนี้มาเกิดเธอก็ยังจะเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้อยู่ดี
เพราะเมื่อชาติที่แล้วเธอทำสงคราม เอาศีรษะศัตรูแขวนไว้ที่เอวพร้อมเหล่าขุนศึก ทั้งหมดก็เพื่อความผาสุขของราษฎรอย่างในตอนนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วเธอจะรังเกียจได้อย่างไร
ส่วนตี้อู๋เปียนต้องเหมือน ‘ติดคุก’ มาตลอดเพราะปัญหาสุขภาพ ต่อมาได้ไปใช้ชีวิตกับทุกคนที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน จึงเข้ากับชีวิตแบบนี้ได้ไม่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหนก็แปลกใหม่และน่ารักสำหรับเขาหมด นี่คือสิ่งล้ำค่าสำหรับคนที่ ‘ติดคุก’ มาก่อน
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “สถานที่แบบนี้ยิ่งคึกคักก็ยิ่งแสดงว่าคุณภาพชีวิตของผู้คนสูง”
ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าชาย เขาย่อมดีใจที่ได้เห็นภาพนี้
“อืม”
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนกินหอยขมพลางคุยเรื่องชีวิตผู้คน
“ซาลาเปาน้อย ซุปหอยขมเท้าเป็ดที่เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ นี่อร่อยใช้ได้เลยนะ กลับไปให้จางซุ่นเฟิงลองดูว่าจะทำรสชาติแบบนี้ออกมาได้ไหม”
“อืม ใส่มาเป็นส่วนประกอบเฉยๆ ไม่ถือว่าเยอะมาก”
มู่เถาเยาพยักหน้า
คีบเท้าเป็ดขึ้นมากิน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “เข้าเนื้อกำลังดี เนื้อเปื่อยกินง่าย หอมเผ็ดถึงใจ น้ำซุปแตกซ่าน แบบนี้แหละฉันกินทีเดียวได้สองโลครึ่งเลยนะ”
คำพูดนี้เข้าหูเจ้าของร้านที่ยกปลาย่างมาพอดี เขาพูดด้วยความดีใจ “ซุปหอยขมเท้าเป็ดเป็นสูตรตกทอดจากบรรพบุรุษเลยนะครับ ใครได้กินก็ติดใจ แต่สาวๆ แบบนี้กินได้ไม่ถึงสองโลครึ่งหรอกครับ”
มู่เถาเยายิ้ม ไม่อธิบาย เธอถาม “เถ้าแก่เป็นคนท้องถิ่นเหรอคะ”
เจ้าของร้านอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด สูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้า ตัดผมเกรียนสั้นพยักหน้า “ใช่ครับ อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่นี่มีทั้งภูเขาแม่น้ำ ผู้คนก็เป็นมิตร ต่อให้ข้างนอกให้เงินเดือนสูงแค่ไหนก็ไม่ไปครับ”
“กำลังอยากชวนไปทำงานเลยค่ะ แบบนี้เลิกพูดเรื่องนี้ได้เลย”
เจ้าของร้านหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เคยมีเจ้าของร้านอาหารมาชวนไปอยู่เมืองใหญ่เหมือนกันครับ แต่ผมไม่อยากจากบ้านเกิดไป เชิญกินตามสบายนะครับ ผมไปทำงานก่อน มีอะไรก็เรียกน้องสาวหรือแม่ผมได้”
เขาชี้เด็กสาวกับหญิงวัยกลางคนที่เดินเสิร์ฟอาหารไปมา
มู่เถาเยาพยักหน้า
หนุ่มเจ้าของร้านพูดขออภัยแล้วไปประจำที่ตัวเองต่อ
สายตาของมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเคลื่อนไปที่ปลาย่างบนโต๊ะที่หอมฉุยเตะจมูก
เครื่องเคียงต่างๆ ใส่มาเยอะพอไม่ว่าจะเป็นถั่วงอก ถั่วเหลือง ก้านเผือก ใส่มาพูนในจานปลาย่างขนาดใหญ่นี้ ดูแล้วน่าอร่อย
ตี้อู๋เปียนคีบเนื้อปลาขึ้นมาแล้วจุ่มน้ำราดในจาน เป่าให้หายร้อนป้อนมู่เถาเยา
พอเข้าปาก มู่เถาเยาก็สัมผัสได้ถึงความสดของเนื้อปลาที่กรอบนอกนุ่มในกับน้ำราดสูตรพิเศษที่คลุกเคล้าในปาก
“อร่อย!”
ความอร่อยของสองสิ่งนี้ที่ปะทะกันในปากทำให้มู่เถาเยาสายกินรู้แล้วว่าที่เจ้าของร้านหนุ่มพูดเมื่อครู่ว่ามีคนมาชวนไปทำงานในเมืองใหญ่ไม่ได้โม้เลยจริงๆ
ทั้งสองคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย