คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 781 ตายปลอม ดวงวิญญาณหายไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 781 ตายปลอม ดวงวิญญาณหายไป

เริ่นถิงก็ไม่รู้ว่าถูกฉินหลิวซีทำให้หวั่นเกรงหรือหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องโถงไว้ทุกข์มาก สุดท้ายก็ไม่ได้ขวางนาง โดยเฉพาะหลังจากที่นางหยิบจดหมายที่เริ่นอวิ๋นและสามีเขียนออกมา พานางเดินเข้าไปด้วยตัวเอง

“ตอนปิดฝาโลง ยังไม่ทันได้ตอกตะปูโลง ฝาโลงก็เปิดออกมาอย่างกะทันหัน พวกเขาบอกว่าเห็นท่านแม่ของข้าลุกขึ้นนั่ง” เริ่นถิงอธิบายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

นี่คือเหตุการณ์ศพลุกขึ้นที่ผู้มาร่วมไว้อาลัยเล่าให้ฟัง

ฉินหลิวซีไม่ได้กล่าวอะไร เดินเข้าไปในห้องโถงไว้ทุกข์ เนื่องจากเหตุการณ์เลวร้ายนั้น คนเป็นลมก็เป็นลม คนวิ่งหนีก็วิ่งหนี ห้องโถงไว้ทุกข์จึงว่างเปล่า มีเพียงธงสีขาวโบกสะบัดอยู่ในห้องโถง ดูน่าขนลุก

“ท่านพ่อ” บิดาของเริ่นถิงที่ค่อยๆ ได้สติกลับมา เขาเข้าไปช่วยพยุงอีกฝ่ายลุกขึ้น แล้วเล่าถึงที่มาของฉินหลิวซี

ทันใดนั้นเริ่นหมิงกวงก็รู้สึกแปลกๆ ภรรยาพึ่งจะเสียชีวิตไปสองวัน แน่นอนว่าได้มีจดหมายแจ้งเรื่องงานศพไปถึงบุตรสาวคนโตที่ติดตามบุตรเขยไปเข้ารับตำแหน่ง ตามหลักแล้วก็คงไม่ส่งคนมาเร็วขนาดนี้หรอกกระมัง ซ้ำผู้ที่มายังเป็นไต้ซือ

เริ่นถิงอธิบายว่า “ในจดหมายของอวิ๋นเหนียงบอกว่าเจ้าอาวาสน้อยอารามชิงผิงผู้นี้ช่วยชีวิตพวกนางสองคนแม่ลูก จริงสิ อวิ๋นเหนียงคลอดก่อนกำหนด ให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคน”

เริ่นหมิงกวงตกใจ แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินไปทางโลงศพ จึงกล่าวว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ ไปดูก่อน”

เริ่นถิงพยักหน้า

ฉินหลิวซีได้เข้าไปใกล้โลงศพไม้แล้ว โลงศพนี้ทำจากไม้หนาน เทียบกับไม้หนานลายทองไม่ได้ แต่คุณภาพก็ดีเยี่ยมเช่นกัน ตอนนี้ฝาโลงเปิดออกเล็กน้อย ไม่ได้ปิดสนิท

ฉินหลิวซีใช้มือผลักออก ดันฝาโลงไปด้านล่าง เผยให้เห็นคนที่นอนอยู่ข้างใน

แต่งกายด้วยชุดมงคล มีเครื่องประดับเงินทองของใช้สำหรับฝังอยู่ข้างๆ แต่บนใบหน้าของฮูหยินเริ่นกลับถูกปกคลุมด้วยพลังงานสีดำ ดูเป็นลางร้าย

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว

เริ่นถิงและคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาใกล้ ระดมความกล้าเหลือบมองดู ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”

เริ่นหมิงกวงโซเซ เม้มริมฝีปากแน่น ขอบตาแดง “ฮูหยิน…”

ฉินหลิวซีก้มตัวเล็กน้อย จับมือฮูหยินเริ่นขึ้นมา สองนิ้ววางลงไปบนข้อมือ เพื่อตรวจสอบเส้นเลือดใหญ่

ไม่มีชีพจร

หัวใจไม่เต้น

แล้วก็ไม่หายใจ

นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง มือทั้งสองข้างร่ายคาถา สองนิ้วกลายเป็นกระบี่ เสกไปที่ตำแหน่งเทียนถิงบริเวณกลางหน้าผากของฮูหยินเริ่น

เริ่นถิงและคนอื่นๆ มึนงงไปหมด

เห็นเพียงพลังงานสีดำที่เป็นลางร้ายดูเหมือนจะพบกับศัตรูตัวฉกาจ พันขึ้นไปบนนิ้วของฉินหลิวซี ไม่กล้าแผงฤทธิ์ต่อหน้านาง ก่อนจะกระจายลอยหายไป

เมื่อพลังงานสีดำสลายไป ใบหน้าของฮูหยินเริ่นก็กลับสู่สภาพเดิม ไม่ได้สีหน้าขาวซีดเหมือนคนตาย เพียงแค่เป็นสีขาว ราวกับกำลังหลับใหลอยู่ สงบนิ่งเป็นอย่างมาก

ฉินหลิวซีหยุดร่ายคาถา มองดูฮูหยินเริ่นอย่างตั้งใจ

“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าอาวาสน้อย ท่านอาจารย์? พลังงานสีดำเมื่อครู่นี้คืออะไรหรือ” เริ่นถิงทั้งตกใจและสับสน

“เป็นพลังงานชั่วร้าย” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อไป “อีกอย่าง ท่านแม่ของเจ้าอาจจะยังไม่ตาย”

ยังไม่ตาย เพียงแค่สูญเสียวิญญาณ

เริ่นถิงร้องด้วยความตกใจ “อะไรนะ”

หลานซิ่งประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายหรือ”

ทันทีที่กล่าวออกมา ราวกับรู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว จึงรีบโค้งคำนับขอโทษเริ่นหมิงกวงและคนอื่นๆ “ขออภัยด้วย ข้าเสียมารยาทแล้ว”

เริ่นหมิงกวงโบกมือ ไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องนี้ เพียงแต่มองไปยังฉินหลิวซี “ท่านอาจารย์ หมายความว่าอย่างไร ฮูหยินของข้าไม่มีการเต้นของหัวใจและชีพจรแล้ว หมอก็บอกว่านางจากไปแล้ว”

“ดวงวิญญาณของนางหายไป ไม่มีการหายใจ จึงทำให้เกิดการตายปลอม” ฉินหลิวซีเอ่ยอีกว่า “นางหยุดหายใจตั้งแต่เมื่อใดหรือ”

“เป็นเมื่อวานปลายยามหยิน[1] ท่านพ่อรู้เป็นคนแรก” เริ่นถิงมองไปยังพ่อเฒ่าของตัวเอง

เริ่นหมิงกวงสูดหายใจ กล่าวว่า “ข้าลุกจากเตียงตามเวลาปกติที่เคยชิน จากนั้นก็ดันนาง จึงพบว่านางไม่เคลื่อนไหว เรียกหมอมาจับชีพจร แล้วก็…”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “เดี๋ยวก่อน ข้าจะไปหาคนมาถาม”

หลายคนมองหน้ากัน จะถามใครกัน

แต่เมื่อเห็นนางหยิบกระดาษสีเหลืองสองแผ่นในห้องโถงไว้ทุกข์ พับเป็นทองหยวนเป่าสองก้อน จากนั้นก็ใช้ชาดแดงวาดยันต์แล้วเผา จุดธูปอัญเชิญยมทูต

วี้ววว

มีลมพัดเข้ามาในห้องโถงไว้ทุกข์ ทำเอาเงินกระดาษสีเหลืองและสีขาวปลิวว่อน เริ่นถิงและคนอื่นๆ รู้สึกว่าในห้องโถงไว้ทุกข์เย็นขึ้นมาก

และในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น มียมทูตเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็โค้งคำนับสุดตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยฉังไหลค่านค่าน คำนับนายท่าน มีอะไรจะกำชับหรือ”

ฉินหลิวซีเสกทองหยวนเป่าสองก้อนไปที่ยมทูตสวมหมวกสีขาวซึ่งเขียนว่าฉังไหลค่านค่าน กล่าวว่า “ไม่มีอะไร แค่จะถามท่านให้ช่วยดูอายุขัยของฮูหยินเริ่นผู้นี้ว่ามีใครเอาดวงวิญญาณไปแล้วหรือไม่”

เริ่นถิงและคนอื่นๆ เห็นฉินหลิวซีคุยอยู่คนเดียวก็พากันขนลุกซู่ มองไปตามทิศทางที่นางมองอยู่ ก็ไม่มีอะไร แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนที่เห็นเช่นนั้น ทันใดนั้นกระดูกสันหลังเย็นวาบ ขนลุกไปทั้งตัว

เมื่อฉังไหลค่านค่านได้ฟังสิ่งที่ฉินหลิวซีกล่าว ก็เหลือบมองฮูหยินเริ่นผู้นั้น หยิบใบเป็นตายออกมาแล้วถามชื่อ

ฉินหลิวซีถามแทน เริ่นหมิงกวงเอ่ยชื่อด้วยความสั่นเทา ขยับเข้าไปใกล้บุตรชายหลายก้าว

เมื่อฉังไหลค่านค่านค้นชื่อ หลังจากมองดูก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน อายุขัยของคนผู้นี้ยังไม่สิ้นสุด หากสิ้นสุดแล้ว ยมทูตอู๋จะเป็นคนมาเอาดวงวิญญาณไป”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เจ้าลองดึงวิญญาณนางดูสักหน่อย”

ฉังไหลค่านค่านโยนโซ่ตรวนวิญญาณในมือ ดวงวิญญาณของฮูหยินเริ่นถูกดึงออกมา เขาขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “นายท่าน ขาดไปสองจิตหกวิญญาณ”

เช่นนั้นก็ถูกแล้ว

ฉินหลิวซีมองไปยังวิญญาณที่อ่อนแอและเชื่องช้า เบาบางมาก คาดว่าตอนที่พึ่งปิดฝาโลง จิตใต้สำนึกของนางสัมผัสได้ถึงการถูกคุกคาม ทันใดนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ ‘ศพลุกขึ้น’ อย่างไรเสียเมื่อปิดฝาโลงฝังแล้ว แม้ว่านางจะยังไม่ตายก็ต้องตายแล้ว

ฉินหลิวซีให้ฉังไหลค่านค่านนำวิญญาณของนางกลับคืน จากนั้นก็ให้เขาจากไป แล้วมองไปยังสองพ่อลูกตระกูลเริ่นที่สีหน้าซีดขาว ก้าวไปหาหนึ่งก้าว

พ่อลูกตระกูลเริ่นถอยหลังหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

กล่าวตามตรง ท่าทางของนางเมื่อครู่น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่ศพของภรรยา (ท่านแม่) ลุกขึ้นมาเสียอีก

เมื่อหลานซิ่งเห็นว่าทั้งสองคนตัวสั่น จึงถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เมื่อครู่ท่านพูดกับใครหรือ”

“ยมทูตเก็บวิญญาณ” ฉินหลิวซีเหลือบมองสองสามคนตรงหน้า “พวกท่านอยากเห็นหรือไม่ แต่ว่าผีไปแล้ว หากอยากเห็นข้าจะเรียกเขากลับมา”

ไม่ ไม่ได้อยากเลย ขอบคุณ!

หลานซิ่งกลืนน้ำลาย “ฮูหยินเริ่นผู้นี้ยังไม่หมดอายุขัยจริงหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยกับสองพ่อลูกตระกูลเริ่นว่า “นางยังไม่ตาย เพียงแต่สามจิตเจ็ดวิญญาณหายไปสองจิตหกวิญญาณ กลั้นลมหายใจแกล้งตาย จึงได้เหมือนคนตายทั้งเป็น”

ดังนั้นกล่าวได้ว่านางไม่ได้ดูผิดไป โหงวเฮ้งของอวิ๋นเหนียงไม่ได้บ่งบอกว่าท่านแม่ของนางกำลังจะตาย เหตุใดจึงได้แขวนธงขาวเสียแล้ว

ที่แท้ก็เป็นการตายปลอม

เริ่นถิงสับสนเล็กน้อย “หมายความว่าท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่สูญเสียดวงวิญญาณ?”

“เป็นเช่นนั้น”

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” เริ่นถิงมึนงงไปหมด นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

เริ่นหมิงกวงถามว่า “แล้วดวงวิญญาณภรรยาของข้าอยู่ที่ไหน ท่านอาจารย์จะหาเจอหรือไม่”

“ข้าจะลองดู แต่ก่อนอื่นข้าอยากจะถามว่าเร็วๆ นี้ฮูหยินเริ่นไปไหว้พระที่วัดไหนมา ได้อัญเชิญเทพมาบูชาหรือไม่ อย่างเช่นสิ่งนี้” นางหยิบพระพุทธรูปมารที่มียันต์พันเศียรมาจากด้านหลัง

[1] ยามหยิน เวลาตีสามถึงตีห้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท