คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 782 ถูกล้างสมอง สละตนรับใช้พระพุทธเจ้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 782 ถูกล้างสมอง สละตนรับใช้พระพุทธเจ้า

เมื่อเห็นฉินหลิวซีถือพระพุทธรูปมาร พ่อลูกตระกูลเริ่นพากันเข้ามาดู อุทานด้วยความประหลาดใจ

“นี่ดูเหมือนจะเป็นองค์ที่บูชาอยู่ในห้องพระเล็กของท่านแม่” เริ่นถิงลังเลเล็กน้อย

เขาไม่เคยไหว้พระในห้องพระเล็ก แต่ตอนที่ไปคุยกับฮูหยินเริ่น เคยเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่แน่ใจว่าเหมือนกันทุกประการหรือไม่

เริ่นหมิงกวงสีหน้ามืดครึ้ม “เป็นองค์นั้น”

ฉินหลิวซีหรี่ตา ถามว่า “ท่านเคยเห็น?”

หัวใจของเริ่นหมิงกวงเหมือนถูกอากาศไม่บริสุทธิ์บางอย่างอุดตัน เมื่อเห็นสายตาพระพุทธรูปองค์นี้แฝงไว้ด้วยความรังเกียจ จึงกล่าวว่า “ไม่เพียงแค่เคยเห็น ตั้งแต่ที่นางอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้กลับมา ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน”

ฉินหลิวซีเริ่มสนใจ “ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย เดี๋ยวนะ พาข้าไปดูได้หรือไม่”

เริ่นหมิงกวงแอบรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสิ่งนี้แล้วจึงพยักหน้า แต่เมื่อมองไปยังโลงศพก็กล่าวว่า “มันก็ได้อยู่หรอก แต่ทางด้านฮูหยินของข้านี้ หากเป็นอย่างที่ท่านกล่าว นางยังไม่ได้จากไป ต้องย้ายออกมาก่อนหรือไม่”

มิเช่นนั้นให้นอนอยู่ในโลงศพตลอดไปคงไม่ใช่เรื่อง

ฉินหลิวซีก็ไม่ได้รีบร้อน ให้พวกเขาจัดการกันเอง

เมื่อเริ่นหมิงกวงออกคำสั่ง บ่าวรับใช้ในตระกูลเริ่นก็เริ่มเคลื่อนไหว ห้องโถงไว้ทุกข์ต้องถูกรื้อถอน มิเช่นนั้นคนยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังคงเก็บห้องโถงไว้ทุกข์ไว้จะไม่เป็นการนำพาโชคร้ายหรือ

ทันทีที่มีการเคลื่อนไหว ทุกคนในตระกูลเริ่นรวมถึงคนที่มาร่วมไว้อาลัยต่างพากันตกตะลึง เมื่อไปฟังมาจึงได้รู้ว่าฮูหยินเริ่นเพียงแค่ป่วยเป็นโรคประหลาดแล้วตายปลอม ไม่ได้ตายจริงๆ ตอนนี้ตระกูลเริ่นมีหมอลัทธิเต๋ามาวินิจฉัยแล้ว

ช่างประหลาดเหลือเกิน

หลังจากส่งฮูหยินเริ่นกลับไปที่ห้องนอน เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าตามปกติ ภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นของคนตระกูลเริ่น ฉินหลิวซีจึงทำได้เพียงวาดยันต์สองสามยันต์วางไว้ในห้องนอนของฮูหยินเริ่น ประคองหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณนี้ไว้ อย่างไรเสียตอนนี้นางก็ไม่ได้ป่วยจริงๆ แต่ดวงวิญญาณหายไป ใช้ยาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถฟื้นคืนมาได้

“เจ้าอาวาสน้อย หากหาดวงวิญญาณของท่านแม่ข้าไม่พบ จะเกิดอะไรขึ้น” เริ่นถิงเอ่ยถาม

ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “มีสองสถานการณ์ หนึ่ง เป็นอย่างเช่นตอนนี้ เป็นคนที่ตายทั้งเป็นตลอดไปจนกว่าอายุขัยจะสิ้นสุดลง หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณก็จะออกจากร่างไปเอง เนื่องจากตอนนั้นนางได้ตายไปจริงๆ แล้ว พวกท่านสามารถตั้งห้องโถงไว้ทุกข์ได้จริงๆ แล้ว สอง ถูกสัมภเวสีวิญญาณเร่ร่อนยึดครองร่าง เป็นนางแต่ก็ไม่ใช่นาง”

สีหน้าของคนตระกูลเริ่นดูแย่เป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น คนตายทั้งเป็นก็อย่างเช่นนางตอนนี้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซ้ำยังต้องมีคนคอยดูแลข้างกายตลอดเวลา มิเช่นนั้นหากนอนเป็นเวลานานไม่ขยับพลิกตัวอะไรเลยก็จะเกิดแผลกดทับ และเมื่อไม่ได้กินอะไรเลยก็เกรงว่าจะกลายเป็นหนังหุ้มกระดูก อยู่ไม่ไกลจากความตายแล้ว

หากถูกสัมภเวสีผีเร่ร่อนตนอื่นยึดครองร่าง กล่าวตามตรง พวกเขายอมให้ฮูหยินเริ่นตาย ก็จะไม่ยอมให้สิ่งอื่นมาสิงร่างนาง ใช้ตัวตนของนางไปทำเรื่องอะไรบางอย่าง เช่นนั้นน่ารังเกียจเกินไปแล้ว

เริ่นหมิงกวงจึงเอ่ย “รบกวนท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยออกแรงหาดวงวิญญาณที่เหลือของฮูหยินข้ากลับมาด้วยเถิด ตระกูลเริ่นของข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน”

ฉินหลิวซีกลับไม่ได้ตอบตกลงในทันที เพียงแต่เอ่ยว่า “เหตุการณ์สูญเสียดวงจิตนั้นไม่ชัดเจน จะหากลับคืนมาได้หรือไม่ ย่อมไม่กล้ารับรอง บอกได้เพียงว่าจะทำให้ดีที่สุด”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ขอบคุณท่านเจ้าอาวาสน้อยที่มีเมตตา” เริ่นหมิงกวงยกมือขึ้นโค้งคำนับอีกครั้ง

ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าไปที่ห้องพระเล็กได้แล้วหรือไม่ อีกอย่างท่านบอกว่าหลังจากบูชาพระพุทธรูป นิสัยของฮูหยินเริ่นก็เปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

เริ่นหมิงกวงพานางไปที่ห้องพระเล็กด้วยตัวเอง พลางกล่าวว่า “หลังจากบูชาพระพุทธรูปองค์นั้น ฮูหยินก็แปลกไป ไม่เพียงแต่ไปร่วมพิธีทางศาสนาพุทธอยู่บ่อยๆ ซ้ำไปหนึ่งครั้งก็อยู่หลายวัน บอกว่าช่วยทำการกุศลสะสมบุญอยู่ที่วัด ไม่สนใจเรื่องในบ้าน มอบหมายให้ลูกสะใภ้คนโต…”

ในเมื่อลูกสะใภ้เข้าจวนมา การมอบหมายอำนาจในการจัดการเรื่องต่างๆ นั้นไม่เป็นไร แต่นางกลับไม่สนใจเรื่องใดเลย เอาแต่คิดจะไปบูชาสักการะพระพุทธเจ้า เอาแต่เคาะไม้สวดมนต์ในห้องพระเล็กทั้งวัน แทบจะอาศัยอยู่ในห้องพระอยู่แล้ว

หากฮูหยินเริ่นบูชาพระพุทธเจ้าคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่นางกลับยุยงให้ทุกคนเชื่อในพระพุทธรูปที่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้น ไม่เพียงแต่ทำเอาในจวนวุ่นวาย ซ้ำยังไปขายหน้าถึงนอกบ้าน

ทำไมน่ะหรือ ฮูหยินเริ่นเผยแพร่พุทธศาสนาอย่างไรล่ะ นางกลายเป็นสาวกศาสนาพุทธอย่างเคร่งครัด กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงของฮูหยินขุนนาง พยายามอย่างดีที่สุดในการกล่าวสรรเสริญความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคนกล่าวอย่างไม่น่าฟังโดยการตำหนิว่านางราวกับคนบ้า

เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตกใจ

เนื่องจากฮูหยินเริ่นเป็นคนนิสัยดีที่มีชื่อเสียงในแวดวงฮูหยินของขุนนาง นางเป็นคนรอบคอบ น้อยที่จะไปล่วงเกินคนอื่น แต่นางกลับไปล่วงเกินอีกฝ่ายเพราะความเชื่อของนาง แม้ว่าตระกูลของอีกฝ่ายจะสูงส่งกว่านางแต่ก็ไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย กระทั่งพูดจาว่าร้าย บอกว่าเขาไม่ให้ความเคารพต่อผู้เป็นเจ้า จะต้องถูกลงโทษ คำสาปแช่งนี้ทำเอาคนโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ

สุดท้ายไม่รู้ว่าเป็นเพราะปากอีกาของนางหรือแค่เรื่องบังเอิญ ฮูหยินขุนนางผู้นั้นล้มขาหักในวันนั้น ไม่ว่าจะบังเอิญหรือไม่ก็ตาม นางเกลียดฮูหยินเริ่นเป็นอย่างมาก สาบานว่าจะไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลเริ่นอีก

และสามีของฮูหยินผู้นั้นก็ต้องการจะปกป้องภรรยา กล่าวให้ร้ายเริ่นหมิงกวงไปยกใหญ่ กล่าวเสียดสีถากถางเยาะเย้ยสารพัด ทำให้เริ่นหมิงกวงดูเป็นคนต่ำต้อย

แน่นอนว่าเริ่นหมิงกวงโกรธ ก่อนหน้านี้ฮูหยินเริ่นมีทักษะทางสังคมที่ยอดเยี่ยม ช่วยเขาทำให้เรือนหลังมั่นคง ซ้ำยังสร้างความมั่นคงกับวงสังคมภายนอก ใครบ้างไม่บอกว่าเขาแต่งกับภรรยาที่ดี แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่เป็นตัวถ่วง ซ้ำยังพยายามทำให้เบื้องสูงต้องขุ่นเคืองอย่างเต็มที่ รังเกียจที่เขาอยู่ในตำแหน่งขุนนางมั่นคงเกินไปหรือ

สองสามีภรรยาทะเลาะกันใหญ่โตเพราะเรื่องนี้ เริ่นหมิงกวงไม่ให้ฮูหยินเริ่นออกไปเลี้ยงสังสรรค์นอกจวนแล้วอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่รู้หรือไม่ว่าฮูหยินเริ่นทำอย่างไร

นางไม่ไปพบปะกับฮูหยินขุนนางที่นางบอกว่าไม่รู้จักความหวังดีเหล่านั้นแล้ว นางเอาสินสอดทองหมั้นและเงินของตัวเองไปแลกกับเสบียงอาหารจำนวนมาก ไปทำการกุศลที่ค่ายผู้ลี้ภัยในวัดเฉิงหวงที่ฉีโจว เชิดชูพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่าทางของการเป็นพุทธศาสนิกชนได้เปลี่ยนมุมมองของทุกคนใหม่

“…หลังจากที่บูชาพระพุทธรูปองค์นั้น ในสายตาของนาง ใครก็เทียบกับพระพุทธเจ้าไม่ได้” เริ่นหมิงกวงกล่าวอย่างรังเกียจและเหนื่อยล้า “ในความคิดของข้า นางบูชาพระพุทธรูปจนโง่ไปแล้ว จึงได้ไม่สนใจสิ่งใดเลย คิดแต่ว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้นดีเลิศประเสริฐศรี ใครบอกว่าไม่ดี นางก็จะบ้าคลั่งและโมโหใส่คนนั้น”

ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้น มีความรู้สึกว่าฮูหยินเริ่นถูกล้างสมอง

ไม่ว่าผู้คนในใต้หล้าจะนับถือศาสนาพุทธหรือนับถือลัทธิเต๋า นางก็ยังไม่เคยเห็นใครที่หมกมุ่นและดื้อรั้นเท่านี้มาก่อน อย่างเช่นพฤติกรรมของฮูหยินเริ่น มีความบ้าคลั่งเล็กน้อย

“แล้วคืนก่อนที่จะพบว่านางไม่หายใจแล้ว มีอะไรผิดปกติหรือไม่”

เริ่นหมิงกวงกล่าวว่า “ก็แค่กล่าวเกลี้ยกล่อมนางว่าอย่าใส่ใจมากเกินไป การที่เหินห่างกับคนในจวนเพื่อศาสนาพุทธนั้นไม่คุ้มค่าเลยไม่ใช่หรือ นางก็โมโห ทะเลาะกับข้า ข้าก็เลยพูดแรงไปสองสามประโยค บอกว่านางทำเช่นนี้ไม่สู้ออกบวชสละตนรับใช้พระพุทธเจ้าไปเลย นางบอกว่าไปก็ไป หันหลังแล้วไปที่ห้องพระ ข้าก็ไม่ได้สนใจ ถือว่านางกล่าวด้วยความโกรธก็เลยหลับไปอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าเมื่อตื่นขึ้นมาในยามหยิน จึงพบว่านางไม่มีลมหายใจแล้ว”

ฉินหลิวซีสีหน้าครุ่นคิด การที่ดวงวิญญาณหายไปจะเกี่ยวข้องกับการสละตนรับใช้พระพุทธเจ้าหรือไม่

เมื่อมาถึงห้องพระเล็กแล้ว ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าประตูห้องพระ พลังงานชั่วร้ายและการกดขี่กระทบเข้าที่ใบหน้า ทำให้คนรู้สึกเกลียดชังขึ้นมาเล็กน้อยโดยไร้เหตุผล

เป็นพลังงานเดียวกันกับพระพุทธรูปมารที่อยู่ในมือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท