บทที่ 1069 ลำนำฉินอันคุ้นเคย ชวนให้ระลึกถึงความหลัง!
ซีและเต่าชราไม่รู้ว่าพวกเขาตกหลุมพรางที่ปรมาจารย์ดินแดนใหม่ทั้งสามอย่างพวกจ้าวเทียนขุดไว้
ขณะเดียวกัน ด้านเส้นทางดินแดนใหม่ บรรดายอดฝีมือดินแดนใหม่ผู้มุ่งหน้าไปยังดินแดนเก่าได้รับคำสั่งจากจ้าวเทียนกันถ้วนหน้า
ยอดฝีมือแนวหน้าสุดใกล้ถึงกันหมดแล้ว กำลังจะเข้าไปในเส้นทาง จุติยังดินแดนเก่า ทว่าหลังได้รับคำสั่งจากจ้าวเทียน พวกเขาก็ชะงักฝีเท้าทันที รอรวมตัวกับยอดฝีมือที่ตามมาด้านหลัง
“ข้ารู้สึกว่าจ้าวเทียนระวังตัวเกินไป ต่อให้สิ่งมีชีวิตมายาสะท้านโลกันตร์เพียงใดก็ยังมีขีดจำกัด ถึงอย่างไรกฎวิถีของพวกเขาก็ไม่สมบูรณ์ ไม่อาจบรรลุสู่ขอบเขตเหนือขึ้นไปกว่านั้น”
ยอดฝีมือดินแดนใหม่ผู้หนึ่งปริปาก มองว่าจ้าวเทียนและปรมาจารย์ดินแดนใหม่ตนอื่น ๆ ให้ค่าสิ่งมีชีวิตดินแดนเก่ามากเกินไป เขาเอ่ยตามตรงว่าไม่มีอันใดต้องกลัวจริง ๆ หากมีสิ่งมีชีวิตมายาในดินแดนเก่าขวางอยู่ด้านทางออก สังหารไปเสียก็หมดเรื่อง
เขาเตรียมพร้อมจู่โจม มั่นใจในตนเองเหลือแสน นึกอยากบุกไปสังหารสิ่งมีชีวิตมายาในดินแดนเก่าตามลำพัง
“อย่าได้วู่วาม เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งจ้าวเทียนหรือ?!”
ยอดฝีมือผู้หนึ่งต่อว่า “จ้าวเทียนออกคำสั่งนี้แก่พวกเราย่อมต้องจับตาดูสถานการณ์ด้านพวกเราอยู่”
ยอดฝีมือผู้นั้นได้ยินดังนั้นก็รีบระวังความระส่ำระส่ายในใจ ไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีก เขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งจ้าวเทียน
จากนั้นพวกเขาก็อดทนคอยอยู่ที่นี่
…
ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ อสูรทั้งเก้าลากรถแล่นไปในอวกาศ การเดินทางท่ามกลางเอกภพของพวกหลี่จิ่วเต้ายังดำเนินต่อ
หลี่จิ่วเต้ายืนอยู่ตรงหัวรถ แหงนมองผืนอวกาศกว้างไกลไร้ขอบเขตอย่างสะท้อนใจ
จักรวาลมีที่สิ้นสุดหรือไม่ อีกฟากฝั่งอยู่ที่ใด
ดาวเคราะห์สีฟ้าอยู่ที่อีกฟากฝั่งของจักรวาลหรือไม่
เขาใจลอยนิดหน่อย นึกอยากไปดูที่อีกฟากฝั่งของจักรวาลเพื่อดูว่าที่นั่นมีจุดสิ้นสุดหรือไม่
“ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาเหลือเฟือ”
เขาหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังอีกฟากฝั่งของจักรวาล ถึงอย่างไรก็ยังชื่นชมทิวทัศน์ของอวกาศด้านนี้ไม่หนำใจเลย
ส่วนเวลานั้นเขามองว่ามีอยู่ล้นเหลือ แม้ว่าเขาไม่สามารถบำเพ็ญเพียร กระนั้นเขายังแข็งแกร่งกว่าปุถุชนทั่วไป เมื่อได้ยินอาหารอันมีพลังวิญญาณสารพัน อายุขัยของเขาย่อมต้องเพิ่มพูนทวีคูณ
“น่าเสียดาย…”
เขาถอนหายใจเสียงแผ่ว เสียดายจากใจจริง
แม้ว่าก่อนนี้เขาล้มเลิกความคิดบำเพ็ญเพียรไปแล้ว ทว่าต่อมาเขายังทดลองอยู่บ้าง เคยถามไถ่วิธีบำเพ็ญมาจากเซี่ยเหยียนและลอบฝึกคนเดียว
ผลลัพธ์คงเดิม เขาไม่เคยก้าวสู่เส้นทางฝึกตน และบำเพ็ญไปก็ไร้ผล
“ไม่เป็นไร…”
เขาไม่ได้ยึดติด มองโลกในแง่ดีว่าตอนนี้การฝึกตนไม่ได้สำคัญสำหรับเขานัก
ต่อให้เขาบำเพ็ญไม่ได้ แต่ก็ยังกำราบยอดฝีมือทั้งหลายด้วยยอดศาสตราของเขา ปัญหาอย่างเดียวคือเขาไม่ได้อายุยืนยาวเฉกเช่นผู้ฝึกตน
“ของวิเศษคงพอยืดชีวิตข้าออกไปได้เรื่อย ๆ กระมัง…”
เขามีดินวิเศษและน้ำทิพย์ที่แลกมาจากบรรพจารย์ฝู สามารถหล่อเลี้ยงสุดยอดสมุนไพรสะท้านโลกันตร์ออกมาได้ เมื่อมีสุดยอดสมุนไพรเหล่านี้อยู่ คิดแล้วเขาคงมีชีวิตต่อไปได้อีกนาน
เมี้ยว~
ลั่วสุ่ยมาในร่างแมว กระโจนขึ้นไปบนอ้อมอกหลี่จิ่วเต้า ถูศีรษะแมวกับแผงอกหลี่จิ่วเต้าไปมาอย่างสนิทสนม
เซี่ยเหยียนและหลิงอินถูกนางเล่นงานจนหนีไปแล้ว บัดนี้อ้อมกอดของคุณชายเป็นของนางผู้เดียว
“เจ้านี่นะ คุณชายชอบร่างมนุษย์ของเจ้ามากกว่า ผิวขาวผ่อง ดวงหน้างดงาม ขาเรียวยาว เพียงได้เห็นก็รื่นรมย์เบิกบาน”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะเบา ๆ
“ได้เลย!”
ลั่วสุ่ยคลี่ยิ้ม ม่านแสงเวียนผ่าน นางกลับคืนร่างมนุษย์ แขนผ่องขาวนวลสองข้างโอบรัดคอหลี่จิ่วเต้า เรือนร่างอวบอิ่มแนบชิดหลี่จิ่วเต้าจนเขาร้อนรุ่มไปวูบหนึ่ง
ปีศาจน้อยยวนใจผู้นี้วางแผนกินเขาอีกแล้ว!
หลี่จิ่วเต้านึกปวดหัว เป็นบุรุษนี่ลำบากเหลือเกิน
“ร่ายรำให้คุณชายดูสักบทเพลงเถิด”
“ได้!”
ลั่วสุ่ยในอาภรณ์สีขาวพลิ้วไสวเหินขึ้นไปในอวกาศ สง่าเพริศพริ้ง งดงามจนดูเหมือนไม่ได้มีอยู่จริง ดวงดาวดารดาษทั่วฟ้ายังหม่นหมองลงเมื่ออยู่ต่อหน้านาง นางช่างสวยเหลือเกิน
หลี่จิ่วเต้าโบกมือ นำฉินอี๋อินออกจากศาสตราบรรจุของ
เขานั่งขัดสมาธิ นิ้วเรียวยาวทอประกายเปล่งปลั่งขณะบรรเลง เสียงลำนำอันไพเราะดังกังวานในอวกาศ
ลั่วสุ่ยร่ายรำไปตามบทเพลง ท่วงท่าแคล่วคล่องเฉิดฉิน งดงามเหนือทุกผู้ ชวนให้ตะลึงยิ่งนัก
ขณะเดียวกัน ในอาณาจักรใกล้เคียงมีหญิงงามผู้หนึ่งเบิกตาโพลงหลังได้ยินเสียงฉิน
นางอึ้งงัน ดวงตาคู่งามทอประกายประหลาดบางอย่าง ใต้หล้านี้มีเสียงฉินเสนาะหูถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ
ชั่วขณะนั้น นางใจลอยอย่างอดไม่ได้ นึกถึงคืนวันที่ได้ติดตามอยู่ข้างกายท่านผู้นั้น
เสียงฉินไพเราะปานนี้นางเคยได้ยินมาแล้วในอดีต ทว่าหลังท่านผู้นั้นหายไป นางก็คิดว่าไม่มีวันได้ยินเสียงฉินเช่นนี้อีกแล้ว
ดื่มด่ำไปกับลำนำ ดวงตารื้นชื้น ความทรงจำกับท่านผู้นั้นในอดีตแวบผ่านตานางไปทีละฉาก
ในอดีต นางไม่ได้เก่งกาจอันใด เป็นเพียงเด็กหญิงเผ่ามนุษย์ทั่วไป
ไม่เคยก้าวสู่เส้นทางฝึกตน คนในครอบครัวก็เป็นปุถุชนกันหมด ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองปุถุชน
ปุถุชนนั้นมักอาภัพ นางมีชีวิตสุขสันต์มาแปดปี ปีที่นางแปดขวบ บิดามารดาติดโรคร้ายทั้งคู่ นอนพิการบนเตียง นางผู้เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบปีต้องรับหน้าที่ดูแลบุพการี
นางเข้มแข็งและร่าเริง ไม่เคยย่อมพ่ายแพ้ต่อความลำเค็ญ ช่วงเวลาที่ต้องดูแลบิดามารดานั้นแม้ลำบากเหลือแสนกระนั้นนางก็ไม่เคยโอดครวญ และไม่ได้รู้สึกทุกข์ทน
เรื่องเดียวที่ชวนให้เศร้าคือทุกครั้งที่ผ่านร้านขายปิงถังหูหลูนางอดน้ำลายสอไม่ได้ อยากจะกินปิงถังหูหลู
ก่อนที่บิดามารดาของนางล้มป่วย ยามบิดากลับจากทำงานจะต้องนำปิงถังหูหลูมาให้นางและมารดาคนละไม้ ส่วนนางกับมารดาก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย
บิดายังหัวเราะเยาะพวกนางว่าเกิดปีน้ำตาล ชื่นชอบแต่ของหวาน
นั่นเป็นช่วงเวลาที่นางมีความสุขที่สุด
ทว่านางนั้นรู้ความ รู้ว่าเงินของที่บ้านไม่ควรใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ด้วยเป็นเงินที่ต้องใช้ซื้อยาให้บิดามารดา
ถึงคราวนางอยากกินจนทนไม่ไหวก็จะไปแอบมองอยู่มุมหนึ่งในละแวกร้านขายปิงถังหูหลู แล้วแสร้งทำปากแผล่บ ๆ ราวกับได้กินแล้ว
“อร่อย อร่อย! หวานยิ่ง!”
เท่านี้นางก็พึงพอใจแล้ว กลับบ้านไปด้วยความเปรมปรีดิ์
ยามได้พบท่านผู้นั้น นางกำลังนั่งยอง ๆ อยู่มุมกำแพง เลียปากแก้กระหายใส่ร้านขายปิงถังหูหลู
“หนนี้หวานกว่าเดิมอีก เพียงแต่ซานจาเน่าหนึ่งเม็ดจึงมีรสขม! ปู่คนขายปิงถังหูหลูคงไม่รู้กระมัง! ช่างเถิด ข้าไม่ต้องขอเปลี่ยนจากปู่คนขายปิงถังหูหลูหรอก!”
นางพึมพำกับตนเอง
หลังนางเอ่ยจบก็ได้เห็นท่านผู้นั้น เป็นพี่ชายที่สดใสหล่อเหลาเหลือคณา
นางตาค้างทันที นึกในใจว่ามีพี่ชายรูปงามเพียงนี้ในใต้หล้าด้วยหรือ
“เจ้าอยากกินปิงถังหูหลูหรือ”
พี่ชายผู้นั้นถามนาง สุ้มเสียงรื่นหูอย่างยิ่ง จนนางเคลิ้มไปชั่วขณะ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะรู้สึกตัวได้ด้วยความกระดาก ตอบเสียงแผ่วเบาว่าไม่เอาแล้ววิ่งออกไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
วันที่สองนางกลับไปอีก นั่งยอง ๆ อยู่ในมุมเดิมแอบมองปิงถังหูหลูแล้วเลียปาก
ทว่านางเลียไปได้ไม่กี่ทีก็หยุด เอ่ยเสียงหม่นหมอง “พี่ชายคนนั้นไม่อยู่หรือ…”
“เจ้าตามหาข้าอยู่หรือ”
หารู้ไม่ว่าทันทีที่นางเอ่ยจบก็ได้พบพี่ชายผู้นั้นพร้อมปิงถังหูหลูไม้หนึ่งในมือ เดินเข้ามาหานางยิ้ม ๆ
“กินสิ”
พี่ชายยื่นปิงถังหูหลูใส่มือนาง หนนี้นางไม่ได้ปฏิเสธ ยอมรับมากิน
เมื่อรสชาติที่เฝ้าฝันถึงอยู่นานแผ่ซ่านไปในปาก นางกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาร่วงเผาะและเริ่มร้องไห้
พี่ชายผู้นั้นไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด และไม่ได้ไต่ถามอันใด เพียงแต่นั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมกำแพงเฉกเช่นนาง
นางก็ไม่ได้กล่าววาจาใดออกไป กินปิงถังหูหลูต่อไปเงียบ ๆ
“ท่านแม่ก็ชอบกินปิงถังหูหลู…”
นางนึกถึงมารดาของนาง หลังกินปิงถังหูหลูไปลูกหนึ่งแล้วก็อาลัยอาวรณ์ บรรจงเก็บปิงถังหูหลูที่เหลือเพื่อนำกลับไปให้มารดากิน
“ขอบคุณพี่ชาย!”
นางขอบคุณพี่ชายผู้นั้นทั้งยังเอ่ยว่าจะเก็บเงินคืนค่าปิงถังหูหลูไม้นี้ให้เขา
“ไม่ต้อง”
พี่ชายผู้นั้นหัวเราะ “เหตุใดถึงไม่กินแล้ว กลัวหมดหรือ ไม่เป็นไร เจ้ากินได้ตามต้องการ หมดแล้วข้าค่อยซื้อให้ใหม่”
“ไม่ใช่ ท่านแม่ของข้า…ก็ชอบกินเช่นกัน ข้าอยากนำกลับไปให้ท่านแม่ของข้าได้กิน”
นางก้มหน้าขณะเอ่ย
“เช่นนั้นข้าซื้ออีกไม้ให้เจ้านำกลับไปให้ท่านแม่เจ้ากิน”
พี่ชายคนนั้นลุกขึ้น หมายจะซื้อให้นางอีกไม้
“ไม่ต้อง! ไม้เดียวก็พอแล้ว! ขอบคุณพี่ชาย!”
นางปฏิเสธและวิ่งเหยาะ ๆ ไปจากที่นี่
หลังจากนั้น นางมักมาที่นี่บ่อย ๆ และที่น่าอัศจรรย์คือพี่ชายอยู่ทุกครั้งไป คอยนั่งยอง ๆ อยู่ในมุมกำแพง พร้อมปิงถังหูหลูสองไม้ในมือ
“ไม้หนึ่งของเจ้า ไม้หนึ่งของแม่เจ้า”
เสียงของพี่ชายอ่อนโยนเหลือแสน นอกจากนี้พี่ชายไม่ได้เอ่ยคำใดกับนางอีก
นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับพี่ชาย ไม่ได้เล่าเรื่องบิดามารดาของนาง เพราะรู้สึกว่าได้กินปิงถังหูหลูที่นี่ไม้หนึ่ง นำกลับไปให้มารดาของนางอีกไม้หนึ่งนับว่าเพียงพอแล้ว ไม่กล้าหวังอันใดไปมากกว่านี้
ครานั้น นางยังจดจำนวนปิงถังหูหลูที่พี่ชายซื้อให้ได้ ทั้งยังบอกพี่ชายด้วยท่าทางจริงจังว่าวันหน้าจะคืนเงินค่าปิงถังหูหลูให้พี่ชายแน่นอน
กับเรื่องนี้ พี่ชายมักเอาแต่ยิ้มน้อย ๆ และเอ่ยว่า “ได้เลย ข้ารอเจ้านำเงินมาคืนข้า”
พี่ชายผู้นี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ทุกครั้งที่นางอยู่กับพี่ชายจะรู้สึกสงบเป็นที่สุด และเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่ได้ใช้กับพี่ชาย
ในช่วงเวลาแสนลำบาก พี่ชายกลายเป็นสิ่งที่ประโลมจิตใจของนาง ทุกครั้งหลังดูแลบิดามารดาเสร็จและอยากพบพี่ชาย ใบหน้าของนางก็มักมีรอยยิ้มระบายอย่างอดไม่ได้
อนิจจา โชคชะตาไม่เคยเมตตามนุษย์ผู้ทุกข์ทน บางทีอาจชื่นชอบการนำเรื่องมาให้มนุษย์ผู้ทุกข์ทนมากกว่า
สุดท้ายบิดามารดาของนางก็ทนพิษโรคภัยไม่ไหว จากโลกนี้ไปทั้งคู่
วันนั้นหลังฝังร่างบิดามารดาของนางแล้ว นางร้องไห้จนตาแดง เมื่อคราวไปถึงที่นั่นพี่ชายยังคงอยู่พร้อมปิงถังหูหลูสองไม้ในมือ
นางกลั้นไว้ไม่อยู่ โผกอดพี่ชายและร้องไห้ในอ้อมอกเขาอยู่นาน
พี่ชายไม่ได้ไต่ถามอันใดและไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด เพียงแต่รอนางร้องไห้อยู่เงียบ ๆ จนเสร็จ
“พี่ชาย จากนี้ไปไม่ต้องซื้อปิงถังหูหลูสองไม้อีกแล้ว…”
นางเอ่ยเสียงสะอื้น “ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ข้าไม่ได้กินปิงถังหูหลูกับท่านแม่อีกแล้ว!”
“ไปเถิด ให้ข้านำปิงถังหูหลูไม้นี้ไปบูชามารดาของเจ้า”
นางจำได้ดี พี่ชายจับมือนาง พานางมายังหน้าหลุมศพบิดามารดา เสียบปิงถังหูหลูไม้นั้นหน้าหลุมศพมารดาของนาง
น้ำตาของนางร่วงพรู ร้องไห้ตัวโยนอยู่หน้าหลุมศพของมารดา