ตอนที่ 487 ห้ามเข้าใกล้
……………………………………………………………………..
จังหวัดเปี้ยนหรงแห่งราชวงศ์ต้าซิ่ว ความเปลี่ยนแปลงของภูเขาลาดชันอันตั้งอยู่ในอำเภอก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่
ไม่เพียงนายทหารสองร้อยกว่าคนที่หนีรอดจากความตายกลับถึงจังหวัดแล้วรายงานสถานการณ์ และชาวบ้านในจังหวัดไม่น้อยก็รู้เรื่องนี้เพราะเหตุนี้เอง
ความจริงแล้วเขาลาดชันไม่เพียงมีหมู่บ้านบนเขา คนที่อาศัยอยู่ตรงตีนเขาก็มีอยู่มาก การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนเขาถูกบอกต่อออกไปตอนคนในหมู่บ้านบนเขาออกไปขายของ จากนั้นข่าวก็แพร่ไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่เต็มไปด้วยความลึกลับและมีสีสันแบบนี้แพร่ไปได้ง่ายนัก ยิ่งเรื่องนี้เป็นความจริงอีกต่างหาก เรียกได้ว่ารถเทียมวัวรถเทียมม้ารวดเร็วเพียงใด ข่าวที่แพร่ออกไปก็รวดเร็วเช่นเดียวกัน
จนถึงวันที่สี่ ภายในตลาดของจังหวัดเปี้ยนหรงมีชาวบ้านเริ่มเล่าเรื่องเขาลาดชันแล้ว
“นี่ เจ้าได้ยินเรื่องเขาลาดชันหรือไม่”
“เรื่องอะไร”
ชายชราร้านข้างๆ ไม่รู้เรื่อง เจ้าของร้านขายไก่ป่าพลันตื่นเต้นขึ้นมา
“จิ๊ๆๆ เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรือนี่ เขาลาดชันเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“เรื่องใหญ่อะไร หรือว่ามีปีศาจกินคนปรากฏตัว”
เจ้าของร้านส่ายหน้า ส่งเสียงจิ๊ๆ พลางกล่าว
“นั่นเล็กน้อย เรื่องที่เขาลาดชันร้ายแรงกว่านั้นอีก เจ้าก็รู้ว่าข้าเก็บของป่าจากเนินเขามาขาย ดูไก่ป่าพวกนี้ ข้าเพิ่งเก็บมาเมื่อวาน หลายวันมานี้นายพรานรอบเขาลาดชันล่าของดีๆ ได้ไม่น้อยเลย!”
ชายชราขายผักส่ายหน้า
“โอ้ นี่ก็คือเรื่องใหญ่หรือ”
“ไม่ๆๆ ไม่ใช่!”
เจ้าของร้านขายไก่ป่าเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดของป่าเยอะขนาดนี้ เพราะทั้งหมดวิ่งออกมาจากในป่าลึกเพราะตกใจ! เขาลาดชันน่ะนะ ก่อนหน้านี้มีปีศาจอาละวาดล่ะ!”
“เอ๋!?”
ชายชราขายผักตกใจมาก ความจริงเรื่องปีศาจยังคงเป็นแค่ข่าวลือและตำนานในตลาดชาวบ้านของอาณาจักรต้าซิ่ว แต่กลับเข้าใจกันมากกว่าสถานที่อย่างอาณาจักรต้าเจิน
นอกจากเรื่องราวที่เล่าโดยคนเฒ่าคนแก่ หลายเรื่องได้รับคำสั่งห้ามเป็นพิเศษจากทางการ
อย่างเช่นปีใหม่เมื่อปีก่อน เจ้าหน้าที่บางคนติดประกาศทุกที่ภายในเขตทะเบียนบ้านภายใต้เขตอำนาจของตน ถึงขนาดเดินเท้าเตือนเพื่อนบ้านถึงสิ่งพิเศษบางอย่าง ให้รายงานหากช่วงนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาพักอาศัย มองดูแล้วเซื่องซึม อีกทั้งชอบนอนทั้งวันทั้งคืน
และอย่างเช่นบางช่วงจะประกาศกับทุกคน ว่าหากได้ยินเสียงคนเรียกชื่อจากข้างหลังในเวลากลางคืน ไม่ว่าเสียงนั้นคุ้นหูหรือไม่ล้วนต้องเร่งฝีเท้าจากไป จากนั้นรายงานทางการทันที
จำนวนเรื่องพรรค์นี้ไม่มาก หนึ่งหรือสองปีอาจไม่เจอสักครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนสร้างความทรงจำไว้ เหล่าชาวบ้านลือกันลับๆ ว่าทางการกำลังสืบสวนปีศาจ
ส่วนเรื่องสำนักปรมาจารย์ของต้าซิ่ว แม้ไม่มีการประกาศต่อใต้หล้าอย่างชัดเจน แต่ผ่านไปนานวันเข้าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง คนส่วนใหญ่ในต้าซิ่วเคยได้ยินเรื่องสำนักปรมาจารย์ และข่าวลือเหล่านั้นลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นตอนนี้ชายชราขายผักได้ยินว่าอาจเป็นปีศาจอาละวาด ก็ไม่ได้รู้สึกว่าไร้สาระ อีกทั้งรู้สึกหวาดกลัว
เห็นปฏิกิริยาของชายชราเหมือนกับที่ตนเองคาดคิดไว้ เจ้าของร้านขายของป่าพลันหัวเราะ
“ฮ่าๆ ท่านไม่จำเป็นต้องกลัว ข้าได้ยินคนที่ตีนเขาลาดชันบอกว่าก่อนตกกลางคืนเมื่อหลายวันก่อนเกิดเสียงดังรุนแรงมากบนภูเขา เหมือนกับมังกรดินพลิกตัว เรื่องนี้ท่านน่าจะจำได้กระมัง ตอนข้ากินข้าวอยู่ในบ้านก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง”
“ใช่ๆๆ! จำได้ๆ แต่มาเร็วไปเร็วเช่นกัน”
“อืม! ตอนนั้นเอง ชั่วขณะสั้นๆ นั้น ส่วนลึกของเขาลาดชันมียอดเขายักษ์เพิ่มขึ้นมาหลายยอดเลย! ยอดเขาสูงใหญ่ของจริง ใหญ่กว่ายอดเขาเดิมบนเขา ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าฉับพลันทันใด จากนั้นตกลงที่กลางเขาอย่างแรง!”
“เอ๋? มีเรื่องนี้ด้วนหรือ เหตุใดเป็นเช่นนั้น”
เจ้าของร้ายขายของป่าพยักหน้า มองไปทางที่เขาลาดชันตั้งอยู่ตามสัญชาตญาณ
“จริงหรือ”
“นั่นจะยังปลอมได้อีกหรือ ทางฝั่งหมู่บ้านริมเขามีคนไปดูมาแล้ว ภูเขาลูกนั้นมีขนาดใหญ่มาก อีกทั้งอ้อมไปดูรอบๆ ภูเขาด้วย ช่วงสองวันที่ผ่านมามีหนามและเถาวัลย์งอกขึ้นมาเยอะมาก ป้องกันไม่ให้คนเข้าใกล้!”
แม้คนในหมู่บ้านริมเขาไม่ได้เห็นปีศาจถูกทับอยู่ใต้ภูเขากับตาตนเอง แต่อาศัยการมองเห็นครึ่งหนึ่ง อาศัยจินตนาการครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่าเข้าใจถูกต้องแล้ว
ผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์เพียงผ่อนฝีเท้าตอนเดินผ่าน ไม่ได้หยุดเพื่อสอบถามโดยละเอียด ระหว่างทางกลับไปก็ได้ยินคนพูดถึงเรื่องนี้อีกสองสามแห่งติดๆ กัน
‘ไม่คิดเลยว่าชาวบ้านได้ยินข่าวจากทางภูเขาก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเฝ้าเขาลาดชันตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง’
ผู้ฝึกปราณเดินกลับสำนักปรมาจารย์ด้วยความกังวลเล็กๆ คาดหวังว่าเบื้องบนจะส่งผู้สูงส่งมาได้
ก่อนหน้านี้นายทหารเหล่านั้นกลับมารายงานสถานการณ์ สำนักปรมาจารย์จังหวัดเปี้ยนหรงแสดงปฏิกิริยาทันที ไม่ได้ทำอะไรประโคมข่าว ทว่าส่งคนไปตรวจสอบที่เขาลาดชันอย่างลับๆ ขณะเดียวกันขอกำลังเสริมจากสำนักปรมาจารย์ อาศัยมรรควิถีของผู้ฝึกปราณหลายคนในเปี้ยนหรง ทว่าไม่เพียงพอรับมือกับเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง
นายทหารที่เหนื่อยล้าเหล่านั้นหนีกลับจังหวัดเปี้ยนหรงแล้วรายงานที่สำนักปรมาจารย์ ใช้เวลาทั้งหมดสองวัน หลังจากเจอม้าและตัวรถระหว่างทาง สำนักปรมาจารย์ปรึกษาหารือกันอยู่ครึ่งวัน จากนั้นส่งกำลังคนออกไปทันที
แม้มองจากมุมของจี้หยวนจะแปลกใจกับวิชาอัศจรรย์หลายแขนงของผู้ฝึกปราณ แต่ความจริงแล้ววิชาอภินิหารที่ไม่ธรรมดาของเขามีจำนวนหนึ่ง ผู้ฝึกปราณระดับกลางและต่ำเห็นแล้วยังคงถือเป็นอภินิหารน่าพรั่นพรึงที่ไม่อาจบรรลุได้
อย่างเช่นวิชาเหาะเหิน
เดินทางบนที่สูง เกาะกลางเมฆหมอก คุมวาโยพเนจร เหยียบวารีเดินไป…สิ่งเหล่านี้เป็น ‘ทักษะพื้นฐานของเทพเซียน’ สำหรับจี้หยวน ทว่าในสำนักปรมาจารย์ทุกแห่งของต้าซิ่วเป็นอภินิหารที่มีแค่ผู้สูงส่งจำนวน้อยนิดที่จะมีได้
ดังนั้นคนจากสำนักปรมาจารย์จังหวัดเปี้ยนหรงที่มุ่งหน้าไปตรวจสอบเขาลาดชันยังคงขี่ม้าไป
ที่จริงเขาลาดชันไม่อาจนับว่าเป็นภูเขาลูกเล็ก อย่างน้อยก็เป็นภูเขาใหญ่อันดับหนึ่งภายในจังหวัดเปี้ยนหรง มีเนินเขาน้อยใหญ่หลายสิบลูก ถือว่าเป็นภูเขาเก่าแก่
ตอนนี้จอมยุทธ์สิบกว่าคนและปรมาจารย์เซียนสวมชุดคลุมสีเทากำลังเดินอยู่กลางป่า พวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแรงว่องไว แม้ทางบนภูเขาเดินยาก แต่มีวิชาตัวเบาช่วยเหลือก็สามารถผ่านไปได้
ปรมาจารย์เซียนมากมายของสำนักปรมาจารย์ต่างฝึกวิชาเซียนและวิชายุทธ์ อย่างน้อยนอกจากวิชาเซียนแล้วยังเป็นวิชาตัวเบาอยู่บ้าง และเพราะปราณวิญญาณเต็มเปี่ยมจึงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายขึ้นเรื่อยๆ ทางภูเขาเปลี่ยนเป็นยิ่งยากลำบาก เหมือนกับที่เล่าลือกันในหมู่ชาวบ้านที่ตลาดว่ามีหนามและเถาวัลย์งอกขึ้นมา หลายครั้งต้องอาศัยจอมยุทธ์แกว่งดาบเปิดทางเดิน
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…ปรมาจารย์เซียนทุกท่าน พวกท่านดูสิ ภูเขาลูกข้างหน้านั้นน่าจะใช่แล้วกระมัง”
จอมยุทธ์คนหนึ่งหอบหายใจ ใช้ดาบเหล็กหลอมร้อยครั้งชี้ยอดเขามหึมาข้างหลังเมฆหมอกเบาบางไกลลิบ ท่ามกลางกลุ่มคนไม่ว่าเป็นปรมาจารย์เซียนหรือจอมยุทธ์คนอื่นเห็นภูเขาไกลๆ แล้วรู้สึกประหลาดใจมาก
“ก่อนหน้านี้เขาลาดชันไม่มียอดเขาเหล่านี้ใช่หรือไม่”
“เรียนปรมาจารย์เซียน ข้าเคยมาเขาลาดชัน ที่นี่ก่อนหน้านี้ไม่มียอดเขาสูงคดเคี้ยวอันตรายแบบนี้อย่างแน่นอน”
“อืม!”
ปรมาจารย์เซียนสองคนมองภูเขาแล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหยิบกระดองเต่าออกมาจากในถุงผ้าสีเหลือง ใช้เหรียญทองแดงโยนเข้าไปข้างใน แล้วเริ่มเขย่าจนเกิดเสียงก๊องแก๊ง หลังจากนั้นนานทีเดียวคว่ำกระดองเต่าลง เหรียญทองแดงพิเศษหลายเหรียญลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
“เป็นอย่างไรบ้าง”
คนข้างๆ ถามด้วยความเป็นห่วง ทว่าปรมาจารย์เซียนที่ทำนายกระดองเต่าส่ายหน้า
“ทำนายอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่ไปดูใกล้ๆ แล้ว! หนทางที่เหลือพวกเราต้องระวังหน่อย!”
“อืม! อย่าหยุดพัก เดินทางต่อ!”
เร่งเดินทางอย่างยากลำบากอยู่ครึ่งชั่วยาม ในที่สุดทุกคนก็เข้าใกล้ยอดเขาเหล่านั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาถามชาวบ้านบนเขา อีกฝ่ายบอกว่าเส้นทางนี้เดิมทีเดินไม่ยาก แต่หลายวันนี้แม้แต่นักเดินเขายังบอกว่าเดินยาก สุดท้ายนับว่าได้เข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่าเดินยาก
“เอ่อ…ภูเขานี้ถูกคนใช้วิชาทับลงมาจริงหรือ”
“ย้ายภูเขาผนึกทะเลอย่างแท้จริง!”
อย่าว่าแต่จอมยุทธ์หลายคนเลย ปรมาจารย์เซียนพวกนั้นก็สะท้านใจอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้เมฆหมอกอำพราง หนทางกลับและยอดเขาอื่นอาจไม่มาก เข้าใกล้แล้วถึงพบว่ายอดเขารอบๆ เตี้ยมากทีเดียว
คนกลุ่มนี้เข้าใกล้ยอดเขาอย่างช้าๆ เทพภูเขาสือโหย่วเต้าพบพวกเขานานแล้ว แต่เขารู้จักคนเหล่านี้ อาจเรียกได้ว่ารู้จักเสื้อผ้าผู้ฝึกปราณ นี่คือปรมาจารย์เซียนจากสำนักปรมาจารย์ต้าซิ่ว
ตอนนี้เทพภูเขายังไม่ได้เป็นที่รู้จักในต้าซิ่ว ไม่ค่อยกล้าปรากฏกาย ทว่าอย่างไรเสียหลายคนในนั้นก็เป็นผู้ฝึกปราณ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ใครเล่าจะรู้ว่าจะเปลี่ยนท่าทีหรือไม่ เรื่องเกี่ยวพันถึงคำฝากฝังของท่านเซียน หากปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าใกล้ก็ไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน
สือโหย่วเต้ากัดฟันแล้วเตรียมปรากฏกาย
ตอนคนจากสำนักปรมาจารย์เข้าใกล้ในระยะที่แน่นอนแล้ว บนทางภูเขาตรงหน้าพลันมีหมอกควันลอยขึ้น สือโหย่วเต้าในรูปร่างของภูตปรากฏต่อหน้าพวกเขาอย่างชัดเจน
“ปีศาจ!”
“คุ้มครองปรมาจารย์เซียน!”
ชิ้ง
ชิ้ง
ชิ้ง
…
จอมยุทธ์ทุกคนชักดาบทันที ส่วนปรมาจารย์เซียนเตรียมป้องกันทันที
“ทุกท่านไม่ต้องกลัวๆ! ข้าน้อยไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็นภูตภูเขาที่เกิดขึ้นจากฟ้าดิน ครั้งนี้ปรากฏกายเพื่อเตือนทุกท่าน ผ่านข้างหน้าไปแล้วอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ทุกท่านโปรดหยุดตรงนี้เถอะ!”
สือโหย่วเต้าคารวะไปพลาง รีบให้พวกเขาสงบสติอารมณ์ไปพลาง
“ภูต? เจ้ารู้สถานการณ์ข้างหน้าหรือ”
มีปรมาจารย์เซียนถาม สือโหยาว้เต้าพยักหน้า
“หลายวันก่อนหน้านี้มีเซียนสองคนอาศัยมรรคมาถึงที่นี่ ประชันมรรคกับเจ้าปีศาจที่ร้ายกาจตนหนึ่ง ท่านเซียนคนหนึ่งในนั้นโคจรวิชา โบกมือเกิดภูเขา ผนึกเจ้าปีศาจตนนั้นไว้ใต้ภูเขา อืม ก็คือภูเขาลูกนั้น”
สือโหย่วเต้าชี้ภูเขาใหญ่ข้างหลัง เห็นสีหน้าประหวั่นของคนตรงหน้าแล้วพูดต่อ
“ปีศาจใต้เขาลูกนี้ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง หากมันหนีไปได้ สิ่งมีชีวิตจะต้องดับสิ้น ท่านเซียนสองคนเห็นข้าเป็นภูตที่เกิดจากภูเขานี้โดยธรรมชาติ จึงสั่งให้ข้าโน้มน้าวผู้ที่ขึ้นมาบนเขาว่าอย่าเข้าใกล้ภูเขาผนึกปีศาจ”
ปรมาจารย์เซียนหลายคนมองสือโหย่วเต้าในรูปลักษณ์ภูต คนหนึ่งในนั้นเข้าใกล้ปรมาจารย์เซียนสกุลจ้าวที่เป็นผู้นำกลุ่ม เอ่ยเสียงเบาว่า
“คำพูดของภูตไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด!”
“อืม!”
ปรมาจารย์เซียนสกุลจ้าวพยักหน้า จากนั้นกล่าวกับสือโหย่วเต้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าพาพวกข้าไปดูหน่อย พวกข้าต้องการตรวจสอบภูเขาลูกนี้สักรอบ และจำต้องขึ้นเขาไปดูสักหน่อยด้วย เจ้าวางใจเถอะ พวกข้าจะไม่แตะต้องรากฐานของภูเขาลูกนี้อย่างแน่นอน!”
พูดตามตรงว่าสือโหย่วเต้าไม่คิดว่าคนเหล่านี้มีความสามารถทำลายผนึกของภูเขาลูกนี้ได้ แต่กลัวว่าขุนพลเทพเกราะทองจะคิดว่าเขาไม่พยายามอย่างเต็มกำลังมากกว่า
“เอ่อ ทุกท่านอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย ท่านเซียนสั่งให้ข้าไล่ผู้มาเยือนกลับไป ไม่ใช่ให้ข้านำทาง…”
“อย่าพูดเหลวไหล เจ้าเป็นแค่ภูตตัวเล็กๆ กล้าเฝ้าภูเขาลูกนี้ เดิมทีก็เป็นเพียงแค่ลมปาก หากจากยังพูดจาไม่รู้เรื่อง พวกข้าจะจับเจ้าส่งไปที่สำนักปรมาจารย์! นำทาง!”
“ขอรับๆๆ!”
สือโหย่วเต้ากลัวอยู่บ้าง ทำได้เพียงนำทางคนเหล่านี้เดินไปทางข้างหน้า ทว่าจงใจไม่เดินไปตรงที่มีรอยแตก
“ตามข้าขึ้นเขาเพื่อวัดระดับการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ ไป!”
หลายคนโคจรปราณใช้กำลัง กระโจนตัวครั้งหนึ่งไปได้ไกลสามสี่จั้ง ใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าขึ้นเขา คิดจะขึ้นเขาไปโดยตรง
ทว่าทันใดนั้นมีเสียงหวีดหวิวจากลมพัดรุนแรงดังขึ้นที่ข้างหูพวกเขา
หวิว…
พลั่กๆๆๆ…
เหมือนกับเผชิญหน้ากับรถม้าคันหนึ่ง พวกเขาถูกกระแทกลอยหวือไปกลางอากาศ ขณะเดียวกันตรงหน้าภูเขามีแสงสีทองเรืองรองปรากฏชัดเจน คนยักษ์หน้าแดงสวมชุดสีทองทั้งตัวโผล่ขึ้นตรงหน้า
จอมพลังเกราะทองสูงถึงสิบจั้ง ร่างกายเหมือนกับภูเขาขนาดย่อม กำลังยืนอยู่หน้าภูเขาเหลือบมองภูเขามา
“ตามคำสั่งนายท่าน ต้องคุ้มครองภูเขาลูกนี้ เฝ้าดูปีศาจชั่วร้าย! ผู้มีปราณวิญญาณไม่อาจเข้าใกล้”
เสียงของจอมพลังเกราะทองเหมือนกับระฆังโบราณที่ถูกตี เสียงสะท้อนหึ่งๆ ดังไปทั่วภูเขา สะท้านแก้วหูจนเจ็บปวด สะเทือนต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขาโดยรอบอย่างต่อเนื่อง