บทที่ 1459 ค่ายกลขจัดเทพ
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับเฉินซี คือรายนามศิษย์เอกอู่เซวี่ยฉานแห่งเขาเทพพยากรณ์ ศิษย์รองเซิ่งจี ศิษย์สามเที่ยอวิ๋นไห่ และปราชญ์เฒ่าที่ขุนพลศักดิ์สิทธิ์ฉือเหลียนกล่าวถึง…
“หรือพวกเขาจะเป็นศิษย์พี่ของข้า?”
ทันใดนั้น หลียางพลันยิ้มเมื่อเห็นฉือเหลียนกล่าวถึงเขาเทพพยากรณ์ นางจึงกล่าวเน้นทีละคำ “ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ของข้าอยู่ที่นี่ เจ้าทั้งหมดย่อมไม่ใช่คู่มือ น่าเสียดายที่เขาไม่สนใจเรื่องไร้สาระเช่นนี้ และถ้าศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่ พวกเจ้ามากกว่าครึ่งคงตกตายไปแล้ว แต่น่าเสียดาย …ด้วยมันจริงอย่างที่เจ้ากล่าว เขาหายตัวไป”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หากเป็นศิษย์พี่สาม เขาจะไม่มาที่นี่ แต่จะบุกตะลุยเข้าสู่ชั้นที่สามสิบสามของนิกายอำนาจเทวะของเจ้า และถ้าเป็นศิษย์พี่สี่… ฮ่า ฮ่า! เขาจะสั่งสอนพวกเจ้าให้เข้าถึงวิถีการเริ่มต้นใหม่อย่างถึงกึ๋นเชียวละ”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ เสียงของนางได้เผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจเล็ก ๆ “สำหรับศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงคนอื่น ๆ ของข้า นอกเหนือจากศิษย์พี่ห้าหลี่ฝูเหยาที่กำลังบ่มเพาะมหาเต๋าแห่งราชันเซียนอีกครั้ง ศิษย์พี่เจ็ดกู่เหลียงฉินที่สาบานว่าจะไม่ฆ่า มีใครในหมู่พวกเขาที่ไม่สามารถสยบพวกเจ้าได้บ้าง?”
ทุกคำกล่าวที่นางกล่าวเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ!
มันเป็นความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในกระดูกดำ และเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนของเขาเทพพยากรณ์มี
อันที่จริงรวมถึงเฉินซีด้วย เป็นที่รู้กันว่าเขาเทพพยากรณ์มีศิษย์เพียงสิบสี่คนเท่านั้น ซึ่งในแง่ของจำนวน มันยังห่างไกลเกินจะเทียบกับตำหนักเต๋าหนี่หวาและนิกายอำนาจเทวะ
อย่างไรก็ตาม ถ้าในแง่ของความสามารถและความแข็งแกร่ง… จะมีใครกล้ากล่าวว่าพวกเขาสามารถสยบเขาเทพพยากรณ์ได้?
แม้ว่าปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์จะจากไปเนิ่นนานแล้ว แต่เขาเทพพยากรณ์ก็ยังคงยืนตระหง่านท่ามกลางสามสุดยอดนิกายในสามภพ และรากฐานของมันไม่เคยสั่นคลอน!
นี่คือทรัพยากรและกองกำลังของเขาเทพพยากรณ์!
และบัดนี้ มันได้สะท้อนผ่านเหล่าศิษย์ทุกคนจากเขาเทพพยากรณ์ ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงคู่ควรกับความภาคภูมิใจของหลีหยาง!
เมื่อได้ยินทั้งหมดนี้ อารมณ์พลันพลุ่งพล่านอยู่ในใจของเฉินซี ในขณะที่เลือดเองก็เดือดพล่านอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจในน้ำเสียงของหลียาง และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจเช่นกัน
อีกด้าน ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ ไม่ได้เผยอารมณ์ใด ๆ เพราะพวกมันรู้ว่าหลียางกำลังกล่าวความจริง
ทว่าจ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย ฉือฉางเซิง เซวียนหยวนเส้า จั่วชิวเฟยหมิง หัวเจี้ยนคง และคนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจยิ่ง “คงมีเพียงศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น ที่มั่นใจพอที่จะกล่าววาจาดังกล่าวต่อหน้าขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ด …ใช่หรือไม่?”
ในทางกลับกัน หลังสิ้นคำพูดพวกนั้น สีหน้าของฉือเหลียนและคนอื่น ๆ ก็ต่างดูน่ากลัวยิ่งขึ้น ดวงตาทุกผู้เปล่งประกายด้วยไฟโทสะ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธมันเช่นกัน
การโต้แย้งเช่นนี้หาได้จำเป็นไม่ เพราะแท้จริงแล้ว พวกเขาค่อนข้างเกรงกลัวต่อศิษย์หลายคนจากเขาเทพพยากรณ์ ตัวอย่างเช่น ศิษย์เอกอู่เซวี่ยฉาน ศิษย์รองเซิ่งจี และศิษย์สามเที่ยอวิ๋นไห่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลัวอีกฝ่ายจนไม่กล้าสู้!
ไม่ต้องกล่าวถึงว่านิกายอำนาจเทวะยังมีศิษย์อยู่มากมายที่สามารถแข่งขันศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ได้!
…
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น วังวนโลกาวินาศใต้ท้องฟ้าอันห่างไกลก็หมุนอย่างต่อเนื่อง และค่อย ๆ เปลี่ยนจากเสียงดังกึกก้องยามแรกเริ่ม ให้กลายเป็นความเงียบงัน
อย่างไรก็ตาม กระแสวังวนยังคงหมุนอย่างบ้าคลั่ง และแม้ตอนนี้มันจะเงียบงัน แต่กลับเป็นความเงียบงันที่ชวนให้ใจสั่นไหว! โดยเฉพาะในส่วนลึกของกระแสวังวน ที่อำนาจทำลายล้างโลกกำลังก่อตัวอยู่ภายในนั้นอย่างราง ๆ
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้ากระแสพลังทำลายล้างโลกจะพุ่งออกมาจากภายในวังวนโลกาวินาศ!
ราวกับนางได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ท่าทางของหลียางก็เริ่มสงบลง จิตสังหารปรากฏที่หว่างคิ้ว นางกล่าวว่า “ดูเหมือนจะถึงเวลาตัดสินผลการต่อสู้แล้ว ทุกท่านคิดอย่างไรบ้าง?”
ทันทีที่สิ้นคำ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร!
“อันที่จริงวาจาของเจ้าค่อนข้างถูกต้อง แต่น่าเสียดาย เพราะท้ายที่สุด เหล่าศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์ของเจ้าไม่ได้มาที่นี่ด้วย” ทันใดนั้น ฉือเหลียนก็เผยรอยยิ้มแปลก ๆ ซึ่งกระตุ้นความสงสัย
ทันใดนั้น ซุ่ยเหรินถิงกางแขนออก ประกาศิตสีม่วงที่ลอยอยู่เหนือศีรษะพลันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
โอม!
ลำแสงสีดำอันน่าสะพรึงกลัว พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากภายในประกาศิตอำนาจเทวะ มันทำให้ลมและเมฆพัดโหมปั่นป่วน ในขณะที่ฟ้าดินก็มืดสลัวลง
เพียงชั่วพริบตา โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำที่คดเคี้ยวและรุนแรงจำนวนมากก็ส่งเสียงดังก้อง และพุ่งออกมาจากท้องฟ้าเหนือทะเลทรายเนตรสวรรค์ โซ่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเส้นมีความหนาหลายฉื่อ ทั้งยังมีอักขระที่หนาแน่นและคลุมเครืออย่างยิ่งประทับอยู่บนพื้นผิว
เมื่อมองจากระยะไกล ทะเลทรายเนตรสวรรค์ทั้งหมดดูเหมือนจะถูกล่ามและกักขังไว้ด้วยโซ่สีดำจำนวนมาก! โดยมันได้กลายร่างเป็นกรงขังที่ห่อหุ้มบริเวณโดยรอบ!
ทะเลทรายเนตรสวรรค์มีขนาดใหญ่มาก และครอบคลุมพื้นที่หลายสิบล้านลี้ แต่ในขณะนี้ มันกลับถูกห่อหุ้มไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยโซ่สีดำอย่างหนาแน่น ยิ่งกว่านั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเส้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างและความหายนะ มันกักขังฟ้าดินอันกว้างใหญ่อย่างแข็งขัน เหตุการณ์ดังกล่าวจึงน่าประหลาดถึงขีดสุด
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ตั้งแต่พริบตาที่ฉือเหลียนกล่าวจบ จนกระทั่งซุ่ยเหรินถิงเปิดใช้งานประกาศิตอำนาจเทวะ มันไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้ตอบสนองเลย
แม้แต่หลียาง เหมิงซิงเหอ หยวนเชอ และคนอื่น ๆ ก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นทั้งหมดนี้ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป รวมถึงอำนาจของมันก็น่าสะพรึงยิ่ง ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาต้องการจะลงมือ แต่ก็ทำได้เพียงปกป้องผู้คนรอบข้างโดยสัญชาตญาณเท่านั้น
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่า นี่คือค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการเตรียมการอย่างพิถีพิถัน! อีกทั้งพลังที่สำแดงฤทธิ์เดช ก็ทำให้รับรู้ได้ถึงอันตรายร้ายแรง!
“นี่คือค่ายกลขจัดเทพ! มันมาจากแดนเทพโบราณและไม่ใช่จากสามภพ นึกไม่ถึงว่าประมุขนิกายอำนาจเทวะจะใช้ผังค่ายกลสูงสุดเช่นนี้เป็นไพ่ตาย!” นัยน์ตาของหลียางหดตัว ซึ่งนางก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดกลัวเป็นครั้งแรก
ขณะที่กล่าว แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ส่องประกายออกมาจากร่างกายของนาง ก่อนที่หญิงสาวจะดึงเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายแก้วออกมา จากนั้นจึงสร้างกำแพงแสงป้องกันโดยรอบ เพื่อใช้สิ่งนี้เพื่อต้านการโจมตีของโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำ!
ปัจจุบัน บริเวณที่พวกเขายืนอยู่ถูกปกคลุมไปด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วน โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำเหล่านี้งอกขึ้นและฟาดลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อานุภาพของมันช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง จนทำให้มิติแตกสลายเป็นผุยผง!
ไม่ต้องกล่าวถึงราชันเซียน แม้แต่จ้าวไท่ฉือและคนอื่น ๆ ที่บรรลุขอบเขตเทวา ก็ยังรู้ว่าเป็นอันตรายถึงชีวิต พวกเขาไม่กล้าลังเลใด ๆ จึงใช้สมบัติอมตะทุกชนิดเพื่อต้านการโจมตีของโซ่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อย่างสุดกำลัง
“ค่ายกลขจัดเทพ… เป็นไปไม่ได้เลยที่จะวางค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ โดยไม่ใช่ความพยายามนับร้อยปี ดูเหมือนว่าเราจะต้องกลมาตั้งแต่ต้น และพวกมันได้ดำเนินแผนการเพื่อที่จะรับชัยชนะในครั้งนี้มานานแล้ว” หยวนเชอจากตำหนักเต๋าหนี่หวากล่าว แม้นางจะกล่าวเช่นนี้ แต่สีหน้าของหญิงสาวยังคงสงบ เคร่งขรึม และบริสุทธิ์ นางโบกมือเพื่อดึงชามหยกออกมา และปลดปล่อยพลังแสงอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกคลุมทุกคน
สีหน้าของคนอื่นพลันกลายเป็นมืดมนเมื่อได้ยินคำพูดนี้
พวกเขาต่างไม่เคยคิดว่าก่อนการต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์พวกเขาเผชิญอยู่จะกลายเป็นวิกฤตในทันที การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและไม่คาดคิดนี้ ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าค่ายกลขจัดเทพนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นของสามภพ และเป็นมรดกที่มาจากแดนเทพโบราณ ซึ่งถูกถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายอำนาจเทวะ บัดนี้มันถูกใช้เพื่อกักขังและทำลายล้างพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นสถานการณ์จึงคับขันอย่างยิ่ง
เห็นได้ชัดว่านิกายอำนาจเทวะได้เริ่มเตรียมการทั้งหมดนี้อย่างน้อยหนึ่งร้อยปีก่อน และความสามารถในการวางแผนดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะทำให้คนรู้สึกเหน็บหนาวอยู่ในหัวใจ
“มันเป็นแบบนี้อีกแล้ว!” สีหน้าของเฉินซีเย็นชา และทันใดนั้นเขาก็จำได้ทันทีว่าครั้งที่อยู่ในภูมิภาคบรรลุเทพ เฉินซี สืออวี๋ และคนอื่น ๆ ก็ติดกับดักอยู่ภายในค่ายกลศักดิ์สิทธิ์พินาศเต๋าแห่งเก้าวิบัติสวรรค์ที่ซุ่ยเหรินถิงและคนอื่น ๆ ได้วางไว้แต่เนิ่น ๆ
ในเวลานั้น หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากและกระบี่เต๋าวิบัติ กลุ่มของพวกเขาคงถูกฝังอยู่ที่นั่นแล้ว
ตอนนี้เหตุการณ์ตรงหน้าก็คล้ายกับเหตุการณ์ในวันนั้นมาก!
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือค่ายกลขจัดเทพดูน่ากลัวยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด และพลังของข้อจำกัดอันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่แม้แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นทะลุได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึงการจัดการมัน!
เห็นได้ชัดจากสีหน้าที่เคร่งเครียดของหลียาง เหมิงซิงเหอ หยวนเชอ และคนอื่น ๆ ว่าอานุภาพของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นี้น่ากลัวอย่างยิ่ง
ในปัจจุบัน แม้พวกเขาจะสูญเสียสิ่งที่ต้องทำไปชั่วคราว และพวกเขาก็ทำได้เพียงต้านทานมันอย่างอดทนเท่านั้น!
ครืน! ครืน!
โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำจำนวนมากได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและเชื่อมโยงกับฟ้าดิน พวกมันเป็นเหมือนแส้แห่งความโกรธเกรี้ยวจากสวรรค์ที่ถูกควบคุมด้วยหัตถ์ของเทพเจ้า ซึ่งฟาดใส่เฉินซีกับคนอื่น ๆ ด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่หยุดยั้ง
ในช่วงเวลานั่น ร่างของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำที่มากมายมหาศาล และไม่สามารถเคลื่อนไหวใด ๆ ทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนั้นและต้านทานโซ่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
“สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก” เหมิงซิงเหอขมวดคิ้ว เขาถือจานหมื่นดาราไว้ในมือ ขณะที่ยืนเคียงข้างกับหลียางและต้านการโจมตีจากทุกทิศทาง ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ว่า ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นี้น่ากลัวเพียงใด!
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องกังวลว่าจะตกอยู่ในอันตรายใด ๆ ในตอนนี้ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะเหนื่อยล้าจนตาย!
“ข้าไม่ได้คิดถึงการลงมือนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ทว่าไม่ใช่แค่นิกายอำนาจเทวะของพวกมันเท่านั้นที่เตรียมแผนฉุกเฉิน ศิษย์พี่เหมิงไม่จำเป็นต้องกังวล”
หลียางยังคงสงบ ก่อนกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ แต่ดวงตากลับเปล่งประกายเยือกเย็นและความโกรธอย่างน่าสยดสยอง เพราะนางวางแผนการมานานแล้วเช่นกัน แต่หญิงสาวกลับนึกไม่ถึงว่าจะตกหลุมพรางของนิกายอำนาจเทวะก่อนที่พวกนางจะเริ่มปฏิบัติการเสียอีก และสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกโกรธจากความละอายใจ!
ขณะที่กล่าว นางก็บอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน และมันทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
“สหายเต๋าหลียาง หากเราถูกกดดันจนถึงที่สุดแล้ว และมีแต่ต้องทะลวงค่ายกลออกไป ดังนั้นโปรดแจ้งให้ข้าทราบที ด้วยครั้งนี้เราได้นำสมบัติลับติดตัวมา และมันอาจมีประโยชน์อยู่บ้าง” หยวนเฉอมีสีหน้าสงบ พลางกล่าวผ่านกระแสปราณ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องขอบคุณสหายเต๋าหยวนเชอก่อนเป็นอันดับแรก แต่มันยากที่จะบอกว่าจำเป็นต้องใช้มันหรือไม่” หลียางยิ้มและกล่าวอย่างผ่อนคลาย
ขณะที่สนทนากัน พวกเขาก็ต้านการโจมตีของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำนั้นน่ากลัวเกินไปจริง ๆ อีกทั้งยังก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นจนดูคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเปี่ยมด้วยพลังทำลายล้างที่คลุมเครือและน่าสะพรึงกลัว
แม้แต่การโจมตีแต่ละครั้งของโซ่ศักดิ์สิทธิ์ ก็เพียงพอที่จะทำลายล้างราชันเซียนได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นจ้าวไท่ฉือหรือคนอื่น ๆ ที่เพิ่งบรรลุขอบเขตเทวา ก็ไม่กล้ารับประกันว่าพวกเขาจะสามารถอยู่รอดโดยไม่ได้รับการคุ้มครองจากหลียางและคนอื่น ๆ ได้
“ฮ่า ๆ ๆ! สหายเต๋า รู้สึกอย่างไรที่ต้องกลายเป็นนักโทษ? ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกวางเป็นการส่วนตัวโดยท่านประมุข และมันไม่ง่ายอย่างที่พวกเจ้าทุกคนคิดอย่างแน่นอน!” ทันใดนั้น ซุยเหรินถิงหัวเราะดังสนั่นจากทางด้านนอกค่ายกล เขาดูพึงพอใจและหยิ่งผยองมาก