บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1460 เหตุไม่คาดคิดภายในค่ายกล

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1460 เหตุไม่คาดคิดภายในค่ายกล

ค่ายกลขจัดเทพ แท้จริงแล้วถูกวางโดยประมุขแห่งนิกายอำนาจเทวะ!

ครั้นพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะอันพึงพอใจของซุ่ยเหรินถิง เฉินซี และคนอื่น ๆ ต่างประหลาดใจรวมถึงวิตกกังวล

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรือ?” หลียางยังคงสงบสติอารมณ์ เจดีย์แก้วในมือของนางปลดปล่อยอักขระยันต์ออกมามากมาย โดยที่พวกมันควบแน่นเป็นม่านกำแพงอันงดงามที่ต้านทานการโจมตีจากทุกทิศทางอย่างมั่นคง

“แน่นอน!” ซุ่ยเหรินถิงหัวเราะดัง ๆ อยู่นอกค่ายกล “คุกเนตรเซียนที่อยู่ใต้ทะเลทรายเนตรสวรรค์นี้ ว่ากันว่าผู้เป็นเซียนและปีศาจยังต้องหนีห่างจากมัน ขณะที่ทวยเทพไม่อาจสั่นคลอนมันได้! ทว่าพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคุกเซียนแห่งนี้ แท้จริงแล้วเรียกว่าโซ่ตรวนแห่งภัยพิบัติ! มันถูกสร้างโดยประมุขแห่งนิกายอำนาจเทวะของข้าเมื่อหลายปีก่อน และไม่ใช่เพื่อจองจำนักโทษของตระกูลจั่วชิว แต่เพื่อบดขยี้พวกนอกรีตอย่างพวกเจ้าในวันนี้!”

ทันใดนั้น เสียงของซุ่ยเหรินถิงดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน ทั้งยังเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจ “โดยมีคุกเนตรเซียนเป็นรากฐานของค่ายกล และอาศัยวังวนโลกาวินาศเป็นแกนหลัก เพื่อที่จะสร้างค่ายกลขจัดเทพจากแดนเทพโบราณ การเตรียมการที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แม้ว่าศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ทั้งหมดจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็ไม่มีทางหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน!”

พอสิ้นคำกล่าว เขาหัวเราะออกมาดัง ๆ ทั้งยังอวดดีและหยิ่งผยองจนถึงขีดสุด

โครม!

ราวกับเป็นการพิสูจน์คำพูดของซุ่ยเหรินถิง พลังของค่ายกลขจัดเทพที่ปกคลุมทั่วทั้งทะเลทรายเนตรสวรรค์ก็เพิ่มขึ้นสูงในยามนั้น โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำมากมายที่หนาพอ ๆ กับหินโม่ได้บิดเป็นเกลียว และฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่ง!

ทันใดนั้น ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุด้วยพลังแห่งการทำลายล้างอีกครั้ง อำนาจของมันมากมายมหาศาลดั่งกระแสน้ำในมหาสมุทรที่ตั้งใจจะกลืนกินสวรรค์และโลกทั้งใบ ทำลายกาลเวลา ห้วงมิติ และบดขยี้ทุกสิ่งในปฐพีให้เป็นผุยผง!

พลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างระเบิดมากกว่าสองเท่า!

ทั้งหมดนี้มาจากวังวนโลกาวินาศที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ซึ่งเสมือนแหล่งพลังงานที่อัดแน่นอยู่ในค่ายกล มันสะท้อนและผสมผสานกันจากระยะไกล เพื่อเพิ่มพูนพลังของค่ายกลอย่างไม่หยุดยั้ง!

ใต้ผืนทรายของทะเลทรายเนตรสวรรค์ จู่ ๆ แถวของอักขระที่คลุมเครือและหนาแน่นก็สว่างวาบเหนือคุกเนตรเซียน ซึ่งแต่เดิมถูกผนึกไว้ในดินแดนเร้นลับ โดยมันได้หลอมรวมเข้ากับค่ายกลขจัดเทพและวังวนโลกาวินาศ จนถึงจุดที่สมบูรณ์แบบ!

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุกเนตรเซียนได้จองจำผู้ทรยศและกบฏมากมายจากตระกูลจั่วชิว ทว่าทุกคนล้วนเสียชีวิตพร้อมกันในเวลานี้!

เลือด วิญญาณ ซากศพ ปราณเซียนพิสุทธิ์ พลังชีวิต… ทุกสิ่งกลายเป็นพลังงานไร้รูปร่างที่ถูกดูดซับโดยค่ายกล และสลายหายไปทันที

หากเฉินซีเห็นเหตุการณ์นี้เข้า สีหน้าของเขาคงเปลี่ยนไปทันที เพราะสิ่งนี้… เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของมารดาเขา จั่วชิวเสวี่ย!

เสียงหัวเราะดังสนั่นของซุ่ยเหรินถิง และการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในค่ายกล ก็ทำให้สีหน้าของทุกคนที่ติดอยู่ในนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันดูเคร่งขรึมและมืดมน

เพราะในขณะนี้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และนั่นก็เพราะพลังของค่ายกลกำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง!

ในขณะนี้ เป็นเรื่องยากที่จะเห็นหลียางนิ่งเงียบเช่นนี้ สีหน้าของนางค่อย ๆ กลายเป็นเคร่งขรึม ด้วยเหตุทั้งหมดนี้ได้เกินความคาดหมายของนางไปแล้ว!

คิ้วของเหมิงซิงเหอขมวดเข้าหากัน

ในขณะนี้ สีหน้าของศิษย์ทั้งสี่จากตำหนักเต๋าหนี่หวาก็เริ่มเคร่งขรึมเช่นกัน

พลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของค่ายกลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ได้กดดันพวกเขาจนเริ่มรู้สึกตึงเครียด และพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความสามารถทั้งหมดเพื่อต้านทานมัน

ในขณะนี้ แม้แต่จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงก็ไม่กล้าที่จะยั้งมือ พวกเขาต่างยื่นมือช่วยเหลือเพื่อต้านทานแรงกดดันที่มาจากทุกทิศทางโดยไม่รอช้า!

สำหรับเฉินซี เซวียนหยวนเส้า หัวเจี้ยนคง ราชันเซียนรัตติกาล และคนอื่น ๆ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกกังวลอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย

เพราะเมื่อเผชิญกับพลังของค่ายกลนี้ การบ่มเพาะที่ขอบเขตเทวายังไม่เพียงพอที่จะต้านทานด้วยซ้ำไป!

“ข้าเข้าใจแล้ว พวกมันคิดอาศัยพลังของค่ายกลขจัดเทพ วังวนโลกาวินาศและคุกเนตรเซียนเพื่อที่จะบดขยี้พวกเราทุกคน แล้วจึงสังเวยด้วยโลหิตเทพของเราเพื่อหล่อเลี้ยงวังวนโลกาวินาศ เพื่อที่จะชักนำกลียุคของทั้งสามภพลงมา”

ทันใดนั้น หลียางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา และสีหน้าของนางก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง “แผนการช่างโหดเหี้ยมอะไรเช่นนี้! ไม่แปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นในแง่ของแผนการ นิกายอำนาจเทวะนั่นน่าเกรงขามที่สุดในสามภพ บัดนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ท่านกล่าวจริง ๆ!”

คำพูดของนางเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่เกลียดชัง

หลังสิ้นคำ มันก็ทำให้คนอื่น ๆ สั่นสะท้านด้วยความกลัว ร่างกายพวกเขารู้สึกหนาวเย็น “พวกมันตั้งใจจะฆ่าพวกเรา แล้วจึงสังเวยโลหิตเทพเพื่อชักนำกลียุคของสามภพลงมาหรือ!?”

“ความสามารถในการวางแผนของนิกายอำนาจเทวะ ช่างน่าประหลาดใจและเหลือเชื่อจริง ๆ!”

โดยเฉพาะเฉินซี เขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงการตายของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซึ่งก็คือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยบรรพกาลเช่นนั้นก็ต้องกลแผนการของปรมาจารย์แห่งนิกายอำนาจเทวะ และเสียชีวิตขณะขึ้นสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า โดยที่อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุความสำเร็จ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ ว่าความสามารถของประมุขของนิกายอำนาจเทวะนั้นน่ากลัวเพียงใด!

“ศิษย์น้องหลียาง เรามิอาจรอต่อไปได้แล้ว” เหมิงซิงเหอกล่าว ดวงตาพลันทอประกายเจิดจ้า “พลังของค่ายกลขจัดเทพกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ก็จะมีแต่อันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญในตอนนี้ คือทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อฝ่าค่ายกลออกไป!”

คนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง และพวกเขาจ้องมองไปที่หลียาง

หลียางเลิกคิ้วที่สวยงามพลางกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าขอให้อู่เซวี่ยฉาน ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าให้ใช้กำแพงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลเพื่อทำนายภัยพิบัตินี้ แม้เขาจะไม่สามารถทำนายนิมิตใด ๆ ได้ แต่ตามคำกล่าวของเขา โดยปกติแล้วย่อมมีโอกาสพลิกสถานการณ์เมื่อสิ้นสุดภัยพิบัติ ทว่าตอนนี้โอกาสยังไม่ปรากฏให้เห็น…”

“ในเมื่อศิษย์เอกของท่านกล่าวเช่นนั้น งั้นก็คงไม่ผิด” หยวนเชอจากตำหนักเต๋าหนี่หวาดูเหมือนครุ่นคิดในขณะที่กล่าว พวกเขาทั้งหมดตระหนักดีว่า หากในแง่ของความสามารถในการทำนาย เขาเทพพยากรณ์ก็เป็นที่ยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาสามสุดยอดนิกาย

ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากการจากไปของปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ฝูซี เมื่อนานมาแล้ว อู่เซวี่ยฉานศิษย์คนโตของเขาเทพพยากรณ์ ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้นำของเขาเทพพยากรณ์ และมันก็ถึงขนาดที่เขามีชื่อเสียงเป็นรองเพียงฝูซี!

สิ่งนี้สามารถแยกแยะได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า หยวนเชอและคนอื่น ๆ เรียกเขาด้วยความเคารพในฐานะ ‘ศิษย์เอก’

ถึงขนาดที่ขุุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดยังเรียกอู่เซวี่ยฉานว่าเป็นศิษย์เอก ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเทพพยากรณ์ ซึ่งวิธีการกล่าวถึงเช่นนี้ มีความหมายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

สำหรับกำแพงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลนั้น เป็นสมบัติที่สืบทอดกันมาของเขาเทพพยากรณ์ ตามตำนานเล่าว่า มันสามารถทำนายความลับทั้งหมดในสามภพ และมองเห็นความเคลื่อนไหวของจักรวาลผ่านแก่นแท้ได้ มันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถสูงสุดในการทำนาย และฝูซีได้มอบให้แก่อู่เซวี่ยฉาน

บัดนี้อู่เซวี่ยฉานได้อาศัยกำแพงศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลเพื่อทำนายภัยพิบัตินี้ และยังกล่าวว่ามีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ ดังนั้นจึงทำให้ทุกคนเชื่อมั่นอย่างสุดใจโดยปริยาย

“แต่ข้ากังวลว่าเราจะประสบเคราะห์ร้ายก่อนที่โอกาสนี้จะปรากฏ…” หลียางถอนหายใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อศิษย์พี่ใหญ่ของนาง แต่สถานการณ์ตรงหน้าอันตรายเกินไปจริง ๆ เพียงค่ายกลขจัดเทพก็ทำให้สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่คับขัน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาก็ยากจะจินตนาการได้

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรามาพยายามให้เต็มที่ แทนที่จะรอโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ ไฉนเราถึงมันพยายามคว้ามันด้วยตัวเองล่ะ?” เหมิงซิงเหอกล่าวด้วยสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว

หลังสิ้นคำ วาจานี้ก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกคนทันที!

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเต็มใจที่จะถูกขังอยู่ในค่ายกลเช่นนี้ต่อไป เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการรอให้ความตายมาถึง ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะพยายามให้เต็มที่และคว้าโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์

โอม!

ทันใดนั้น กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่โบราณและบริสุทธิ์สี่เล่ม ซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานแสงอันบริสุทธิ์ ก็ปรากฏในมือของหยวนเชอ คงหลิน อวี่ฉือว่าน และอวิ๋นซู่ตามลำดับ

ทันทีที่พวกมันหลุดจากฝัก เจตจำนงกระบี่ของเหล่าทวยเทพที่น่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่ทั้งสี่เล่ม ก็ส่งเสียงก้องกังวานและพุ่งทะยานออกไป มันเปล่งประกายเจิดจ้า เพียงแค่ปราณกระบี่ที่เล็ดออกมาก็ทำให้โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำที่ถาโถมเข้ามาจากบริเวณโดยรอบ ล้วนถูกเผาไหม้และถูกทำลายจนหมดสิ้น!

พวกมันสามารถเรียกได้ว่าเป็นศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำลายล้างโลก จากพลังที่พวกมันเปิดเผย!

“กระบี่แสงโชติช่วง!” หลียางอุทานด้วยความประหลาดใจ และมีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากดวงตาของนาง “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าพวกท่านจะนำสมบัติศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ติดตัวมาด้วย”

แม้ว่าคนอื่น ๆ จะไม่รู้จักต้นกำเนิดของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เล่มนี้ แต่เพียงพลังที่เปิดเผยออกมา ก็ทำให้พวกเขาระบุได้ทันทีว่า สิ่งเหล่านี้เป็นชุดของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

สมบัติศักดิ์สิทธิ์เป็นสมบัติล้ำค่าตามธรรมชาติ ซึ่งมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้!

“แต่เดิมสิ่งเหล่านี้ ถูกเตรียมไว้เพื่อที่จะจัดการกับขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ด น่าเสียดายที่เราต้องเปิดเผยพวกมันล่วงหน้าเท่านั้น” หยวนเชอกล่าวอย่างเสียใจเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร ข้ายังมีคัมภีร์อยู่ในครอบครอง” เหมิงซิงเหอยิ้มพลางกล่าว จากนั้นก็อ้าปากและถ่มน้ำลาย คัมภีร์สีเลือดก็พุ่งออกมา มันเก่าแก่อย่างยิ่ง ในขณะที่ถ้อยคำโบราณ ‘คัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋า’ ลอยขึ้นมาจากพื้นผิวของมัน ถ้อยคำเป็นสีแดงสดราวกับเลือด และพวกมันแผ่เจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงกลัวที่จู่โจมใบหน้า

คัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋า!

แทนที่จะเรียกมันว่าคัมภีร์ มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ล้างบางคนทั้งโลกได้! ในช่วงต้นของยุคบรรพกาล มันมีชื่อเสียงในด้านการทำลายสวรรค์ ทำลายโลก และทำลายเทพเจ้า! ว่ากันว่ามีพลังที่สามารถล้างโลกได้!

ดวงตาของคนอื่น ๆ สว่างขึ้นเมื่อเห็นสมบัตินี้ เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า เต๋าที่จักรพรรดิเต๋าบรรพกาลแสวงหา คือเต๋าแห่งการทำลายล้างโลกาที่ท้าทายสวรรค์ และคัมภีร์ล้างโลกานี้ก็เป็นอาวุธทำลายล้างที่รุนแรงที่สุดในความครอบครองของจักรพรรดิเต๋า ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน มันได้สังหารศัตรูในรุ่นเดียวกับเขาไปนับไม่ถ้วน

“กระบี่แสงโชติช่วงและคัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋าที่ได้รับการส่งเสริมจากพลังของเรา มันควรที่จะฝ่าค่ายกลนี้ออกไปได้…” ท่าทางผ่อนคลายปรากฏบนใบหน้าของหลียาง

“ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือทันที!” ความอำมหิตปรากฏบนใบหน้าของเหมิงซิงเหอ ในขณะที่คัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋าที่ลอยอยู่ในมือเขา ก็ขับเร้ากลิ่นอายที่ท้าทายสวรรค์และการสังหารให้กับเขา

ในขณะนี้ คนอื่น ๆ ต่างควักสมบัติที่ดีที่สุดของตนออกมาเช่นกัน สมบัติทุกชิ้นอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ แม้แต่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ก็มีสมบัติล้ำค่าระดับว่างเปล่าขั้นสุดยอด

มันทำให้เฉินซีที่ยืนอยู่ด้านข้างตกตะลึงและประหลาดใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์นี้

หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจ จิตใจของพวกเขาก็ปลอดโปร่ง และดูเหมือนจะไม่เคร่งขรึมเมื่อเช่นเมื่อก่อน ดังที่กล่าวกันว่า ความไม่แน่นอนจะนำไปสู่ปัญหา

อย่างไรก็ตาม ขณะที่พวกเขากำลังจะเปิดฉากโจมตี ทันใดนั้น หลียางดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้นจึงรีบกล่าวว่า “ช้าก่อน!”

ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนรู้สึกว่าร่างกายสั่นไหว จากนั้นสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า พลังทำลายล้างของค่ายกลขจัดเทพนั้นอ่อนแอลงมากจริง ๆ!

ดูเหมือนว่าการป้องกันที่คงกระพัน จะมีช่องโหว่เปิดอยู่!

แม้ว่าพลังของค่ายกลจะยังคงแข็งแกร่งกว่าตอนเริ่มต้น แต่มันก็อ่อนแอลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ถึงขนาดที่พลังของมันไม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป และมันก็เริ่มอ่อนลงแทน

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ดวงตาของหลียางและคนอื่น ๆ สว่างวาบทันที แม้พวกเขาจะไม่ทราบแน่ชัดถึงเหตุผลเบื้องหลังสิ่งนี้ แต่พวกเขาก็เลือกที่ลงมือทันทีที่เห็นโอกาสความเป็นไปได้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท