บทที่ 1462 วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง
ภายในค่ายกลขจัดเทพ
ภายใต้การนำของเหมิงซิงเหอ หยวนเชอ และคนอื่น ๆ เฉินซีและพวกจึงจัดการอุปสรรคได้เหมือนใบไม้แห้ง ใกล้จะทะลวงออกจากค่ายกลได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าใกล้จะออกมาได้แล้ว ทุกคนจึงยิ่งมีกำลังใจ ยิ่งมีกำลังต่อสู้มากขึ้น
กระทั่งหัวเจี้ยนคงที่มีนิสัยเงียบขรึม ตอนนี้ยังต้องเผยรอยยิ้มออกมา
ทว่าเป็นจังหวะนี้เองที่คิ้วงามของหลียางเลิกสูง ก่อนสีหน้าจะผันเปลี่ยน “ระวัง!”
ชิ้ง!
สิ้นคำนั้น กลิ่นอายทรงพลังน่าเกรงขามก็แผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ มันให้ความรู้สึกเรียบเฉยไร้อารมณ์ ดูสูงส่งและเต็มไปด้วยอำนาจน่ายำเกรง
จากนั้นทุกคนก็ส่งสายตาตกตะลึงมอง ลูกตาข้างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นจากภายในวังวนโลกาวินาศซึ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือค่ายกล!
มันเป็นสีดำลุ่มลึก ดูเยือกเย็น คล้ายกับว่ามีสัญลักษณ์บางอย่างส่องระยับอยู่ภายใน ดุจการเกิดและดับของโลก เหมือนการโคจรของดารา กาลเวลาที่ผันผ่าน ความเปลี่ยนแปลงในจักรวาล… ทุกสิ่งอย่างที่ว่าสะท้อนออกมาจากนัยน์ตานั้น
ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา มันก็ผสานเข้ากับค่ายกลขจัดเทพ ก่อนจะปลดปล่อยพลังบีบคั้นอันรุนแรงออกมา เกิดเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำจำนวนมากพุ่งออกมาจากรอบทิศ อีกทั้งโซ่แต่ละเส้นยังมีพลังมากกว่าเดิมสองเท่า!
ครืน!
โซ่ดำจำนวนมากเชื่อมฟ้าเข้ากับดิน หนั่นหนาเหมือนหิน มันปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงออกมายามซัดเข้าโจมตีเฉินซีและคนอื่น ๆ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กระบี่แสงโชติช่วงสี่เล่มราวกับว่าถูกฟ้าลั่น สั่นสะท้านไม่รู้จบ อีกทั้งแรงพลังนี้ยังส่งผลให้หยวนเชอ คงหลิน อวี่ฉือว่าน และอวิ๋นซู่สั่นผวาจนหน้าซีด ซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว
ตู้ม!
ที่เจ็บหนักที่สุดคือเหมิงซิงเหอ คัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋าของเขาถูกโจมตีรุนแรง พื้นผิวคล้ายจะหลั่งเลือด สั่นสะท้านไม่รู้จบ
ตัวหมิงซิงเหอเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาพลันกระอักเลือดออกมา!
เพียงแค่พริบตาเดียว ความได้เปรียบเมื่อก่อนหน้าก็หายไป ถึงขั้นได้รับบาดเจ็บ ทำเพียงหลบหนีกันเป็นพัลวัน
“เนตรทัณฑ์สวรรค์!” หลียางเผยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนหยิบหนังอสูรสีดำที่เรืองแสงสีเข้มออกมา มันลอยขึ้นเหนือศีรษะทุกคนแล้วหมุนวน ถึงพอจะเริ่มรับมือการโจมตีอันน่ากลัวได้
หนังอสูรชิ้นนี้เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ สลักไว้ด้วยอักขระลับโกลาหล มีอำนาจสูงไม่ใช่น้อย
พอถึงตอนนี้ทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก แต่สีหน้ายังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ เมื่อครู่พวกเขาเกือบทำลายค่ายกลออกมาได้แล้ว ไม่มีใครคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันเช่นนี้ กลายเป็นว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์จวนตัวอีกครั้ง ทั้งยังอันตรายกว่าเก่า
“เนตรทัณฑ์สวรรค์! บัดซบ! มันมีกลิ่นอายของการสังเวยเลือด หรือว่านิกายอำนาจเทวะจะสังเวยยอดฝีมือขอบเขตเทวาเพื่อสังหารเราจริง?” เหมิงซิงเหอมีสีหน้าขุ่นเคืองพลางเก็บคัมภีร์ล้างโลกาจักรพรรดิเต๋าไป สมบัติชิ้นนี้มีอำนาจสะท้านฟ้าและทำลายเต๋าได้ ดังนั้นมันจึงถูกพลังทัณฑ์สวรรค์ทำลายรุนแรงที่สุด ไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้เขาคงไม่บาดเจ็บ
“ต้องเป็นจั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวาที่ถูกสังเวยแน่” หลียางมีสีหน้าเย็นชา ปรากฏรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก “ตั้งแต่ก่อนแล้ว นิกายอำนาจเทวะทำเช่นนี้มาไม่รู้กี่รอบ”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึงและเย็นยะเยือกในพลัน
แค่เพราะอยากสังหารพวกเรา นิกายอำนาจเทวะกลับไม่ลังเล ยอมสังเวยสองยอดฝีมือขอบเขตเทวา ใช้เลือดดึงเนตรทัณฑ์สวรรค์ลงมาเลยหรือ?
นั่นมันยอดฝีมือขอบเขตเทวาเชียวนะ!
“นี่คือผลลัพธ์ของการทรยศตระกูลแล้วไปเข้ากับนิกายอำนาจเทวะ!” เมื่อรู้เรื่องนี้เข้า สีหน้าจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ก็ดูแปลกประหลาดไป มีทั้งความดีใจ เศร้าใจ เหมือนอยากร้องไห้แต่ก็หัวเราะไปพร้อมกัน เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนและขัดกันอย่างถึงที่สุด
เนตรทัณฑ์สวรรค์… ความเกลียดชัง ความบ้าคลั่ง และความชั่วร้ายบังเกิดขึ้นในใจเฉินซีอีกครั้ง ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึกคล้ายกับตื่นขึ้นจากการหลับใหลอีกครั้ง
วันนั้นในภูมิภาคบรรลุเทพ เฉินซีได้รับผลจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก และต่อสู้กับเนตรทัณฑ์สวรรค์ด้วยตนเอง เอาชนะมัน และพาสืออวี๋กับคนอื่น ๆ รอดชีวิตออกมาได้
แต่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็เงียบงันมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งพริบตาเดียวมันก็กลับไปหลับลึกอีกครา เฉินซีเห็นดังนี้ก็อดอึ้งไปไม่ได้
เขาสัมผัสได้จาง ๆ ว่าชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากคล้ายกับสัมผัสได้ถึงพลังของเนตรทัณฑ์สวรรค์ในครั้งนี้แกร่งเกินไป มันคงสู้ไม่ได้ จึงเลือกหลับลึกไปแทน!
ความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกเบาบางเท่านั้น แต่กลับทำให้ใจหล่นวูบ กระทั่งชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากยังเลือกเช่นนี้ แล้วจะมีพลังอะไรที่สามารถต่อกรกับเนตรทัณฑ์สวรรค์ได้?
ครืน!
เนตรทัณฑ์สวรรค์สำแดงอำนาจ ซัดลงมาไม่รู้จบ สั่นสะท้านหนังอสูรไม่หยุดหย่อน อักขระลับโกลาหลบนผิวมันกะพริบริบหรี่ คล้ายว่ากำลังต้านพลังไว้
“เช่นนี้ไม่ดีแล้ว! หากปล่อยไว้ หนังอสูรโกลาหลคงทนรับการโจมตีของเนตรทัณฑ์สวรรค์ไม่ไหวแน่!” หยวนเชอเปลี่ยนสีหน้าไปอีกครั้ง ดูเป็นกังวลยิ่ง
คนอื่น ๆ เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บนใบหน้าล้วนแต้มไปด้วยความหนักใจ
การการกระทำเช่นนี้ของนิกายอำนาจเทวะนับว่าโหดเหี้ยมนัก พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง หากคิดหาทางรับมือไม่ได้ วันนี้ก็คงต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่…
สืออวี๋และเซียงหลิวหลีมองเฉินซี เพราะรู้ว่าคนผู้นี้เคยต่อกรกลับเนตรทัณฑ์สวรรค์ในภูมิภาคบรรลุเทพมาก่อน
เฉินซีได้แต่ส่งยิ้มขื่นแล้วส่ายหน้า
จึงทำให้ใจสืออวี๋กับเซียงหลิวหลียิ่งรู้สึกหนักหน่วงมากกว่าเดิม
แผนการที่นิกายอำนาจเทวะตระเตรียมมามีมากมาย การกระทำโหดร้ายทารุณ แผนชั่วซ่อนเล่ห์ซ่อนกล นับว่าไร้ข้อบกพร่องใดให้เห็น ทำให้สุดท้ายก็ติดกับดักของนิกายอำนาจเทวะจนได้ ถึงแม้จะเตรียมการมาแล้วก็ตาม
ความรู้สึกเหมือนอสูรในกรงขังเช่นนี้ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด
ตอนนี้หลียางพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ นางเงยหน้าขึ้นมองเนตรทัณฑ์สวรรค์ ก่อนสายตาจะส่องแววมั่นใจ มุมปากยกยิ้มขึ้นก่อนกล่าวว่า “ทุกคน จังหวะได้เปรียบเรามาแล้ว”
ทุกคนอึ้งไป จังหวะได้เปรียบอะไรกัน?
…
ด้านนอกค่ายกลขจัดเทพ
“ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อพวกมันก็คงตาย ไปเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม พวกมันตายเมื่อไหร่เราจะใช้วิชาลับเพื่อสังเวยเลือดทวยเทพ และดึงความวิบัติมาสู่สามภพโดยสมบูรณ์ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน เช่นนั้นนับจากนี้ไปสามภพก็จะตกเป็นของนิกายอำนาจเทวะ!” ฉือเหลียนละสายตาจากค่ายกล ใบหน้าเผยแววหยิ่งทะนงตน คล้ายว่ากำชัยชนะไว้ในกำมือได้แล้ว คิดจะกวาดล้างทั้งใต้หล้าด้วยความหยิ่งผยอง!
อีกหกขุนพลสังหารเทพเผยสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาฉายแววเร่าร้อน การได้คุมสามภพนับเป็นจุดมุ่งหมายที่นิกายอำนาจเทวะตั้งมั่นว่าจะทำให้ได้มาตั้งแต่ต้น ไม่รู้กี่ปีเปลี่ยนผ่านไป ในที่สุดมันก็จะเป็นจริงแล้ว!
ถึงแม้จะเป็นซุ่ยเหรินถิง แต่ตอนนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างกัน รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ลืมความกลัวตอนที่เห็นจั่วชิวเป่ยหยงกับจั่วชิวเหลิงฮวาถูกสังเวยก่อนหน้านี้ไปสิ้น
“ท่านประมุขนิกายเก่งกาจยิ่ง!” ซุ่ยเหรินถิงพึมพำแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเนตรทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่ปิดบังความชื่นชม
ฉือเหลียนและคนอื่น ๆ ได้ยินก็คลี่ยิ้ม ใช่แล้ว หากไม่มีผู้ที่มากความสามารถและมีความมุ่งมั่นเช่นท่านเจ้านิกายคอยเป็นผู้นำแล้ว มีหรือนิกายอำนาจเทวะจะมีฐานะอย่างเช่นทุกวันนี้ได้?
“ทุกคนเตรียมตัว!” ฉือเหลียนสูดลมหายใจเข้าลึก ล้างความรู้สึกไร้ประโยชน์อื่นใดออก ก่อนจะจ้องเขม็งขึ้นฟ้า ที่ปลายสายตาคือเนตรทัณฑ์สวรรค์ที่เปล่งแสงสีคล้ำออกมา ดูไร้อารมณ์ความคิดคำนึงใด
ส่วนคนอื่นก็ใจสั่นสะท้าน สายตาที่มองค่ายกลขจัดเทพเต็มไปด้วยจิตสังหาร
เป็นจังหวะนั้นเองที่ได้ยินน้ำเสียงสง่างามดังก้องทั่วฟ้าดิน “หากคนเราไร้ซึ่งความรู้สึก เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากไม้ผุ หากเซียนไร้ความรู้สึก เช่นนั้นก็ไม่ต่างจากวัตถุชิ้นหนึ่ง หากทวยเทพไร้ซึ่งความรู้สึก เช่นนั้นก็ไม่ต่างไปจากสุนัขหรือสุกร เดรัจฉานยังรู้จักกตัญญูรู้คุณ แต่เจ้านิกายของพวกเจ้ากลับคอยนำความวิบัติมาสู่ชีวิตอื่นให้พวกเขาต้องลำเค็ญ เช่นนี้เรียกว่าเก่งกาจยิ่งได้หรือ? ในความคิดข้า เขาไม่ต่างไปจากสุนัขหรือสุกรหรอก”
มันเป็นน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูที่เอ่ยอย่างไม่เร่งรีบ ทุกคำดังก้องใสกังวานดังระฆัง สั่นสะท้านถึงดวงจิตทุกผู้คน!
กลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์กระจายไปโดยรอบ มันหวีดหวิวมาจากฟ้าไกลคล้ายกับสายลมอบอุ่นในหน้าร้อน
ไม่ว่ามันผ่านไปทางใด ฟ้าดินก็ใสกระจ่างขึ้นมา ความวิบัติกลับคืนสู่ความสงบ ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่ชีวิตชีวา พริบตานั้น กลิ่นอายของความวิบัติก็จางลงไปกว่าครึ่ง!
“ใคร!?”
“ปราชญ์เฒ่าแห่งเขาเทพพยากรณ์?”
ฉือเหลียนและคนอื่น ๆ พลันหน้าคว่ำเมื่อแหงนมองฟ้าไกล แต่ในเส้นสายตากลับเห็นเพียงคุนเผิงที่มีอำนาจสะท้านฟ้าดิน เจ้าของกลิ่นอายที่สามารถกลืนกินได้ทั้งโลกากำลังพุ่งเข้ามา!
คือคุนเผิงเป็นแน่ คุนเผิงที่ว่ากันว่าเป็นอสูรดุร้ายอันดับหนึ่งในใต้หล้าเมื่อครั้งบรรพกาลหลังจากความวิบัติแยกออก ร่างของมันใหญ่โตคับฟ้า ปีกดั่งเมฆาครึ้มที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับธารดารา
เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น ร่างอันใหญ่โตของมันก็บดบังฟ้าดิน คล้ายกับจะทำให้พื้นที่รอบข้างระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ!
“วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง! นายท่านสามแห่งเขาเทพพยากรณ์!?” พริบตานั้น สีหน้าฉือเหลียนกับพวกก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงนี้ทรงพลังยิ่ง พวกเขาใช้พลังทั้งหมดออกมาอย่างไม่ลังเล ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดครืนออกมา ซัดเข้าใส่คุนเผิงตัวนั้น
ครืน!
คุนเผิงมาจากทางเหนือ หางใหญ่ของมันซัดลงมา บีบเจ็ดขุนพลสังหารเทพจนถอยไปไม่หยุด! อำนาจการโจมตีเดียวก็สะท้านไปทั่ว ไม่อาจมีสิ่งใดขัดขวาง ทุกสิ่งอย่างถูกบดขยี้เป็นผุยผง!
ท่ามกลางฝุ่นควันตลบคลุ้ง เงาร่างของฉือเหลียนกับพวกค่อย ๆ เผยกายออก ถึงจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่บนใบหน้ากลับเผยทั้งความกลัว ความโกรธ และสีหน้าเคร่งขรึมผสมผสานกันไป
ฟ่าว! ฟ่าว!
พร้อมกันนั้นก็เกิดพลังผันผวนปรากฏขึ้นมา ก่อนที่สองเงาร่างจะเผยกายให้เห็น
คนหนึ่งคือชายวัยกลางคนรูปร่างสูงกำยำที่มีผิวสีทองแดง เหมือนเจดีย์เหล็กตั้งตระหง่าน ส่วนอีกคนสวมชุดนักปราชญ์ มีผมสีขาว ในมือถือคัมภีร์โบราณไว้
“เที่ยอวิ๋นไห่ ปราชญ์เฒ่า! เป็นพวกเจ้าจริง ๆ ด้วย!” พอได้เห็นอีกฝ่ายชัดเจน เจ็ดขุนพลสังหารเทพก็เผยสีหน้าเย็นชาเคร่งขรึมออกมา เห็นได้ชัดว่าการมาถึงของทั้งสองสร้างแรงกดดันให้พวกเขามหาศาล
“เป็นศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่มาด้วยกัน” ภายในค่ายกลนั้น ถึงแม้ไม่เห็นว่าภายนอกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หลียางก็รู้ถึงตัวตนของคนทั้งสองที่ปรากฏกายขึ้นจากเสียงที่ดังสะท้อนเข้ามา
ดวงตาส่องประกายวาบขึ้น เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “กระทั่งศิษย์พี่สามก็ยังมา คงต้องเป็นคำสั่งศิษย์พี่ใหญ่แน่ ไม่แน่ว่านี่คือจังหวะได้เปรียบที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดถึง”
คนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที เพราะนายท่านสามและนายท่านสี่แห่งเขาเทพพยากรณ์มาถึงพร้อมกันแล้ว
“น้องสี่ เจ้าจัดการค่ายกลแล้วไปช่วยศิษย์น้องหญิงเล็กและศิษย์น้องชายเล็กออกมาเถอะ ส่วนไอ้พวกบัดซบพวกนี้ข้าจัดการเอง!” เที่ยอวิ๋นไห่กวาดสายตามองรอบกาย ก่อนสั่งชายชราผมขาวในชุดนักปราชญ์ด้านข้างตน ไม่สนใจเจ็ดขุนพลสังหารเทพเลยสักนิด