บทที่ 837 อดีตสองช่วง
เจ้าแห่งอาณาจักรหมื่นปีศาจยืดเอวตรงแล้วลุกขึ้นจากตั่งนุ่ม ความอวบอิ่มหนักหลายกิโลบนทรวงอกของนางสั่นไหวเนื่องจากการเคลื่อนไหวครั้งนี้
ยอดฝีมือเหนือสามัญอย่างพวกหลี่เมี่ยวเจินและอาซูหลัวต่างก็พากันลุกขึ้นจากโต๊ะเช่นกัน
ปีศาจสาวผมเงินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก พวกหลี่เมี่ยวเจินก็ตามไปทันที เดิมทีจ้าวโส่วก็อยากจะแสดงท่าทางแบบผู้ฝึกตนในลัทธิขงจื๊ออยู่บ้าง แต่เขาบาดเจ็บหนักเกินไปจริงๆ จึงล้มเลิกความคิดที่จะแสดงท่าทีอันงามสง่าออกมา
แล้วเดินตามอยู่ด้านหลังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไปตรงๆ
ท้องฟ้ายามค่ำคืนแจ่มจรัส จันทร์กลมโตแขวนอยู่กลางท้องนภา ดาราเปล่งประกายทั่วผืนฟ้ามืดมิด
เมืองหมื่นปีศาจตกอยู่ในความเงียบงันของราตรีกาล เผ่าพันธุ์ปีศาจคือเผ่าพันธุ์ที่ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีกฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้มีสีสันเหมือนอย่างมนุษย์ที่สามารถเล่นสนุกได้ตั้งครึ่งค่อนคืนและกินดื่มอย่างจุใจ
ทุกคนมาถึงยังเจดีย์ผนึกอย่างรวดเร็ว ประตูเจดีย์เปิดอยู่ แสงตะเกียงสว่างจ้าส่องสะท้อนเข้าไปข้างใน
สวี่ชีอันและเสินซูนั่งพูดคุยตรงข้ามกันอยู่ในเจดีย์ เมื่อเห็นทุกคนพากันเดินเข้ามา ทั้งคู่ก็หันไปมองพร้อมกัน คนหนึ่งกวักมือพร้อมรอยยิ้มบางๆ อีกคนพยักหน้าให้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พวกจ้าวโส่วก้าวเข้าไปในเจดีย์ผนึกแล้วคำนับให้กับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์อย่างเคร่งขรึม
มีเพียงจิ้งจอกเก้าหางเท่านั้นที่ยังมีท่าทีครึ่งๆ กลางๆ ราวกับสาวน้อยบ้านป่านิสัยเงียบๆ ที่ไม่รู้กฎเกณฑ์
หลังจากทุกคนเข้ามานั่งที่แล้ว เสินซูก็ค่อยๆ เอ่ยพูด
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีเรื่องมากมายที่อยากถามข้า ข้าจะเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าให้ฟัง”
ทุกคนต่างตั้งตารออย่างตื่นเต้น
เสินซูไม่ได้เอ่ยพูดทันที เขาย้อนนึกเรื่องในอดีตอยู่พักหนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยเล่าเรื่องของตัวเองออกมาอย่างเนิบนาบ
“ห้าร้อยกว่าปีก่อน พระพุทธเจ้าหลุดออกจากผนึกส่วนหนึ่งและได้รับอิสระในการดูดซับพลังจากภายนอกมากมาย เพื่อทำลายการกักขังของปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาครุ่นคิดอย่างหนัก จนในที่สุดก็คิดวิธีหนึ่งออก
“นั่นก็คือแยกวิญญาณบางส่วนของตัวเองออกมาและบรรจุความรู้สึกของตัวเองเข้าไปในวิญญาณส่วนนี้ จากนั้นก็ผสานมันเข้าไปในร่างกายของราชันอสูร ตอนนั้นราชันอสูรใกล้จะวิญญาณแตกสลายแล้ว ภายในร่างเหลือเพียงเศษวิญญาณสายหนึ่งเท่านั้นที่ยังไม่ถูกทำลาย วิญญาณส่วนนี้ของพระพุทธเจ้าจึงผสานเข้ากับเศษวิญญาณของราชันอสูร แล้วกลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ขึ้นมา นั่นก็คือข้า ข้ามีวิญญาณส่วนนั้นและความทรงจำของพระพุทธเจ้า ทั้งยังมีความทรงจำและวิญญาณของราชันอสูรอยู่ จึงมักจะแยกไม่ออกว่าที่แท้แล้วตนเป็นราชันอสูรหรือว่าพระพุทธเจ้ากันแน่”
ผู้อยู่เหนือสามัญทุกคนในเจดีย์ต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ต่างจากที่ข้าคาดเดาไว้นัก เสินซูเป็น ‘อีกด้านหนึ่ง’ ของพระพุทธเจ้าอย่างที่คิดเลย ไม่ได้มีผู้อยู่เหนือระดับจากภายนอกคนใดแย่งชิงพระพุทธเจ้าไป อืม พระพุทธเจ้านั้นอยู่เหนือระดับ ใช่ว่าคิดจะช่วงชิงแล้วจะชิงไปได้ที่ไหนกัน…สวี่ชีอันพลันตระหนักอยู่ในใจทันที
จากนั้นเขาก็มองไปที่อาซูหลัวและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง พบว่า ‘สองพี่น้อง’ มีสีหน้าที่ซับซ้อนเหมือนกัน
อย่าว่าแต่ตัวเจ้าเองยังแยกไม่ออกเลย ลูกชายและลูกสาวของเจ้าก็ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าบิดาของตัวเองเป็นราชันอสูรหรือพระพุทธเจ้ากันแน่…สวี่ชีอันแอบบ่นอยู่ในใจเงียบๆ
“พระพุทธเจ้ากับข้าทำข้อตกลงกัน ขอเพียงข้าช่วยกอบกู้อาณาจักรหมื่นปีศาจให้ปีศาจทางใต้หันมานับถือสำนักพุทธเพื่อช่วยให้เขารวบรวมโชคชะตาจนหลุดจากผนึก เขาก็จะตัดสายสัมพันธ์กับข้าโดยสิ้นเชิง แล้วคืนอิสรภาพให้กับข้า
เขาบรรจุอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาในวิญญาณของข้า ทำให้ข้าเกิดความรู้สึกว่าตนคือพระพุทธเจ้าอย่างล้ำลึก นั่นก็เพราะกลัวว่าข้าจะกลับคำภายหลัง ข้าจึงตอบรับเขาไป หลังจากฝึกตนสำเร็จ ข้าก็ออกจากอรัญตาแล้วไปยังซินเจียงตอนใต้”
เสินซูเอ่ยเล่าเรื่องในอดีตที่ถูกฝังอยู่ในประวัติศาสตร์อย่างฉะฉาน
“ครั้งแรกที่พบนางคือเดือนแปด นั่นคือฤดูร้อนที่ร้อนระอุที่สุดของซินเจียงตอนใต้ ทางทิศตะวันตกของภูเขาหมื่นปีศาจสามร้อยลี้ มีทะเลสาบฝาแฝดที่มีผิวน้ำกระจ่างใส ข้างทะเลสาบมีดอกไม้วิญญาณที่ชื่อว่า ‘ดอกฝาแฝด’ ว่ากันว่าเมื่อกินเข้าไปจะสามารถคลอดลูกแฝดได้
“ข้าลงใต้มาจากดินแดนประจิมทิศและผ่านทางทะเลสาบฝาแฝดนี้พอดี ตอนที่กำลังพักดื่มน้ำอยู่ริมทะเลสาบนั้น ผิวน้ำก็พลันกระเพื่อมเป็นคลื่น นางโผล่ขึ้นมาจากในน้ำทั้งร่างกายเปลือยเปล่า แสงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า ร่างกายขาวสล้างมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ทั่วจนสะท้อนรัศมีแสงสีสันสดใส ด้านหลังยังมีหางจิ้งจอกอันงดงามอยู่เก้าหาง
นางมองมาที่ข้า ไม่เขินอายแม้แต่นิด จากนั้นก็หัวเราะคิกคักแล้วถามข้าว่า มาแอบมองเจ้าอาณาจักรอย่างข้านานแค่ไหนแล้ว?”
เวลาแบบนี้เจ้าควรจะขโมยเสื้อผ้าของนางที่อยู่บนฝั่งแล้ววอนขอให้นางแต่งกับเจ้าแล้ว บางทีนางอาจจะคิดว่าเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อแล้วเลือกแต่งให้เจ้าก็ได้…สวี่ชีอันคิดมาถึงตรงนี้ก็มองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณและพบว่าผู้พิทักษ์หยวนไม่อยู่ เขาจึงถอนหายใจออกมา
จิ้งจอกนั้นช่างอบอุ่นและใจกว้างจริงๆ…สวี่ชีอันเหลือบมองไปยังจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง
ปีศาจสาวผมเงินและหลี่เมี่ยวเจินคิ้วตั้งขึ้นมาพร้อมกันทันที
สวี่ชีอันถอนสายตากลับไป เสินซูเอ่ยพูดต่อ
“นางถามข้าว่าข้ามาจากดินแดนประจิมทิศหรือไม่ พอข้าบอกว่าใช่ นางก็เปลี่ยนจากท่าทียิ้มแย้มเป็นลงมือโจมตีข้าแล้ว ตอนนั้นสำนักพุทธแดนประจิมกับอาณาจักรหมื่นปีศาจมักจะเกิดความขัดแย้งกัน สำนักพุทธชอบพิชิตเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ทรงพลังเพื่อนำมาทำเป็นพาหนะ นางกล่าวว่าข้ามีใบหน้าหล่อเหลาองอาจ จึงจะเก็บข้าไปเป็นชายบำเรอ”
ตอบรับนางสิ ไต้ซือ เจ้าต้องคว้าอนาคตเอาไว้ให้ดี…สวี่ชีอันหยอกเย้าในใจไปประโยคหนึ่งแล้วขจัดความรู้สึกฉับพลันกะทันหันที่ช่างผันผวนนั่นออกไป
‘หล่อเหลาองอาจ?’ พวกจ้าวโส่วมองพินิจองคาพยพของเสินซูด้วยสายตาตั้งคำถาม พลางสงสัยว่าเสินซูกำลังคุยโวอยู่หรือไม่
แม้แต่อาซูหลัวที่เป็นเผ่าอสุราเช่นกันก็ยังรู้สึกว่าเสินซูคุยโวโอ้อวดเกินไปหน่อย
นางปีศาจผมเงินเอ่ยเสียงเรียบ
“เผ่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางของพวกเราชอบเพียงบุรุษแข็งแกร่งห้าวหาญ ไม่เหมือนสตรีเผ่ามนุษย์ที่ชอบเพียงใบหน้าขาวๆ ที่แต่งหน้าแต่งตาเสียหยาดเยิ้มหรอก”
‘บุรุษแข็งแกร่งห้าวหาญ…’ หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองสวี่ชีอัน เมื่อหันมามองปีศาจสาวผมเงินอีกครา สายตาก็มีความระแวดระวังเพิ่มขึ้นมาอีก
“จากนั้นเล่า!” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“ต่อมาข้าก็ทุบตีนาง นางจึงเอ่ยบอกตรงๆ ว่ายอมรับข้าเป็นเพียงชายบำเรอเท่านั้น ไม่มีทางสองจิตสองใจแน่นอน” เสินซูหัวเราะ “ตอนนั้นข้ากำลังปวดหัวอยู่พอดีว่าจะเข้าไปภายในอาณาจักรหมื่นปีศาจอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจต่อต้านภิกษุจากสำนักพุทธอย่างยิ่ง แม้ข้าจะมีระดับการฝึกตนแข็งแกร่ง สามารถใช้กำลังสยบผู้คนได้ แต่ก็ยากจะใช้เหตุผลพูดคุย”
“ต่อจากนั้น ข้าก็อยู่ในอาณาจักรหมื่นปีศาจในฐานะชายบำเรอของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ และผ่านช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตไปหลายสิบปี”
เมื่อเสินซูเอ่ยถึงตรงนี้ก็หันไปมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น
“ในปีที่สามสิบ เจ้าก็คลอดออกมา”
ไม่ใช่สิ เจ้ามาเพื่อหลอมรวมพวกเขา ไม่ใช่ถูกพวกเขาหลอมให้เป็นพวกเดียวกันสิ ไต้ซือ วิถีธรรมของเจ้าไม่หนักแน่นเอาเสียเลย แต่ใครเล่าจะไม่ชอบเสน่ห์สาวจิ้งจอก คนงาม มีเงินเยอะ ทั้งยังแพรวพราว ถ้าเป็นข้า ข้าก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน…สวี่ชีอันจิตใจหวั่นไหว เขาเอ่ย
“เพราะเหตุนี้ ดังนั้นเจ้ากับพระพุทธเจ้าจึงแตกหักกัน?”
เสินซูส่ายหน้ากล่าวเสียงขรึม
“ความจริงแล้วภารกิจของข้าสำเร็จตั้งนานแล้ว นางลังเลอยู่หลายสิบปี จนกระทั่งคลอดลูกออกมา ในที่สุดนางก็หันมานับถือสำนักพุทธและทำให้อาณาจักรหมื่นปีศาจกลายเป็นเมืองบริวารของสำนักพุทธ ตราบใดที่สำนักพุทธรับปากจะให้อาณาจักรหมื่นปีศาจปกครองอย่างอิสระ ข้ากลับมายังสำนักพุทธอย่างยินดีและบอกเรื่องนี้กับพระพุทธเจ้าและเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็ตอบตกลง จากนั้นจึงส่งพระโพธิสัตว์แห่งอรัญตา อรหันต์ รวมถึงพวกระดับเพชรไปยังอาณาจักรหมื่นปีศาจ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็พลันอึมครึม
“นางเปิดประตูรับสำนักพุทธ แต่ที่รออยู่กลับเป็นการสังหารหมู่จากสำนักพุทธ พระพุทธเจ้าก็ผิดคำสัญญา เขาไม่เคยคิดจะคืนอิสรภาพให้ข้าแต่ต้น และไม่เคยคิดรามือจากอาณาจักรหมื่นปีศาจ ข้าเป็นเพียงตัวหมากที่มีหน้าที่สำรวจเส้นทางเท่านั้น เขาต้องการทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจด้วยวิธีที่จ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุดและผสานโชคชะตาของอาณาจักรหมื่นปีศาจเข้าสู่สำนักพุทธ”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเม้มริมฝีปาก สีหน้าอึมครึม
จ้าวโส่วหวนนึกถึงบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ พลันเอ่ยขึ้นมา
“มิน่าเล่า ในหนังสือประวัติศาสตร์กล่าวว่าสำนักพุทธสังหารจักรพรรดินีหมื่นปีศาจตายที่เขาหมื่นปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจล่าถอยอย่างตื่นตระหนกและต่อสู้ต้านทานกับสำนักพุทธอยู่ที่ภูเขาสือว่าน ใช้เวลาถึงหกสิบปีเต็ม สงครามจึงสงบลงอย่างแท้จริง ประวัติศาสตร์เรียกช่วงนี้ว่า การกวาดล้างปีศาจหกสิบปี”
หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมีการป้องกันและรวมพลังแห่งอาณาจักร เมื่อสำนักพุทธคิดจะทำลายอาณาจักรหมื่นปีศาจ ก็เกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น ในตอนนั้นพวกเขาใช้วิธีการลอบโจมตีมาจัดการกับพลังอำนาจสูงสุดของอาณาจักรหมื่นปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจส่วนใหญ่ก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งในภูเขาสือว่าน ครานั้นจึงไม่ได้มีการโต้ตอบอะไร
ดังนั้นจึงมีสงครามหกสิบปีตามมา
เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สูญเสียพลังอำนาจสูงสุดไปแล้วยังคงต่อสู้มาถึงหกสิบปี แค่คิดก็รู้ว่าในปีนั้น กลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วโจวแข็งแกร่งทรงพลังมากเพียงใด
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“ข้าได้ยินองค์หญิงกล่าวว่า ในตอนแรกร่างธรรมพระมหาไวโรจนะออกมาจากภายในร่างของท่าน พระพุทธเจ้ายังสามารถควบคุมท่านได้อยู่หรือ?”
เสินซูพยักหน้า
“นี่คือไม้ตายของเขา เป็นวิธีลับที่เขาทิ้งเอาไว้ในตอนแรกที่แยกตัวข้าออกมา ในตอนนั้นข้าเพียงสัมผัสได้ถึงพลังที่ยากจะควบคุมเท่านั้น แต่ไม่รู้ถึงแก่นของมัน พระพุทธเจ้าบอกข้าว่านี่คือความเชื่อมโยงที่ยากจะแยกออกระหว่างตัวเขากับข้า หากข้าต้องการกายอิสระก็มีแต่ต้องกำจัดพลังสายนี้ไปเท่านั้น ส่วนสิ่งที่ต้องแลกก็คือช่วยเขาผสานอาณาจักรหมื่นปีศาจและช่วยให้เขาหลุดพ้น”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…สวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพยักหน้าเข้าใจ
ฝ่ายหลังเอ่ยถาม
“จนถึงวันนี้ พวกท่านยังผสานกันได้อยู่หรือ? สภาพของพระพุทธเจ้าคืออะไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ปกติอย่างยิ่ง”
นางเอ่ยถามข้อสงสัยของหลี่เมี่ยวเจินก่อนหน้านี้ออกมา
เหล่าผู้อยู่เหนือสามัญต่างกระตือรือร้นขึ้นมาและตั้งตารอฟัง
เสินซูขมวดคิ้วมุ่น
“เท่าที่ข้าจำได้ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ ถึงแม้ในความทรงจำของข้าจะหยุดอยู่แค่เรื่องหลังจากเขาเป็นผู้อยู่เหนือระดับก็ตาม แต่เขาก็คือข้า ข้าก็คือเขา ข้าเป็นตัวอะไร ข้าย่อมรู้ตัวเองดี”
สวี่ชีอันถามต่อ
“เช่นนั้นเหตุใดจึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้?”
เสินซูค่อยๆ ส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ว่าห้าร้อยปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเขา แต่ว่าเขาที่เป็นเช่นนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่า มีเรื่องบางเรื่อง ไม่รู้ว่าเจ้าได้สังเกตหรือไม่”
เขามองไปยังสวี่ชีอัน “พระพุทธเจ้าไม่อาจเรียกว่าเป็น ‘วิญญาณชีวิต’ ได้แล้ว เทวญาณของเขาไม่ปกติ”
เหมือนกับสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่ง สัตว์ประหลาดที่ไม่มีความรู้สึก…สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“นี่เป็นเพราะว่าถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกส่วนใหญ่มาที่ท่านหรือไม่?”
พระพุทธเจ้าในตอนแรกถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกส่วนใหญ่มาไว้ที่ร่างของเสินซูเพื่อเพิ่มการรับรู้ว่าตนนั้นคือพระพุทธเจ้า เพื่อไม่ให้ความทรงจำส่วนใหญ่ของราชันอสูรกลายเป็นใหญ่ จนทำให้ ‘ร่างอวตาร’ นี้เสียการควบคุม
แต่เรื่องนี้ไม่มีสิ่งที่ต้องแลกเลยจริงหรือ?
บางทีสภาพของเขาในตอนนี้คงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องแลก
ดังนั้นเขาจึงคิดจะฉวยโอกาสนี้ผสานรวมเสินซูเพื่อมาเสริมให้ตนเอง?
ตอนนี้เอง จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็มองไปยังสวี่ชีอันแล้วเอ่ยถาม
“ราชาหมีล่ะ?”
สวี่ชีอันยืนมือออกมา แสงสีทองควบแน่นอยู่ที่ฝ่ามือของเขาและกลายเป็นเจดีย์สีทองกะทัดรัดอันงดงามล้ำค่า
“มันได้รับบาดเจ็บ กำลังหลับอยู่ในเจดีย์ ข้าได้ใช้ร่างธรรมหมอยารักษาบาดแผลให้มันเรียบร้อยแล้ว…”
ขณะพูดไปสีหน้าของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนไปด้วย ม่านตาหดเกร็ง
“ทำไมหรือ” ทุกคนเอ่ยถาม
“เหมือนว่าข้าจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงต้องกินพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้” สวี่ชีอันสูดลมหายใจลึกแล้วกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“มีรายละเอียดหนึ่งที่พวกเจ้าก็สังเกตเห็นแล้ว เขาราวกับไม่อาจแสดงร่างธรรมทั้งแปดนอกจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะได้ เขากินพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เข้าไป สิ่งที่ต้องการจริงๆ ก็คือพลังของร่างธรรมแห่งปัญญา เขาต้องการร่างธรรมแห่งปัญญามาทำให้ตนคงสติสมบูรณ์ ไม่ให้ตนเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดไร้สติปัญญา…”
การคาดเดานี้น่ากลัวเกินกว่าจะคาดคิดแต่กลับสมเหตุสมผล สอดคล้องกับการคาดเดาก่อนหน้านี้ของพวกเขาด้วย
“น่าเสียดายที่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เหลือเพียงเศษวิญญาณสายหนึ่ง จดจำอะไรไม่ได้มากแล้ว” สวี่ชีอันมองไปยังนักบวชเต๋าจินเหลียน
“เรื่องนี้ต้องขอรบกวนท่านนักบวชให้ช่วยเสริมวิญญาณพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ด้วย”
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้ารับ
“ศีรษะของไต้ซือเสินซูได้ถูกยึดคืนมาแล้ว เช่นนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะหลับใหลอีก เป็นไปได้ว่าเขาจะแก้แค้นซินเจียงตอนใต้ไปจนถึงต้าฟ่ง มิอาจไม่ป้องกัน” จ้าวโส่วเอ่ยเสียงขรึม
“เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องกลับไปปรึกษาเว่ยกง…” สวี่ชีอันบีบนวดหว่างคิ้ว
ทุกคนพูดคุยกันจนถึงยามเซิน เนื่องจากเสินซูจำเป็นต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลัง ดังนั้นจึงจากไปกันทีละคน
พวกจ้าวโส่วได้รับบาดเจ็บไม่มาก เดิมทีคิดจะพักผ่อนหนึ่งคืนในอาณาจักรหมื่นปีศาจ แต่สวี่ชีอันยืนอยู่บนลานด้านนอกเจดีย์ผนึกพลางทอดมองยามค่ำคืนแล้วเอ่ยว่า
“กลับต้าฟ่งกันก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องที่จะต้องตรวจสอบ”
กล่าวจบก็นำเจดีย์พุทธะออกมา แสดงท่าทีให้พวกเขาเข้าไปพักรักษาตัวในเจดีย์
เมื่อเห็นเขาไม่ได้คิดจะอธิบาย พวกหลี่เมี่ยวเจินจึงไม่เอ่ยถาม ต่างพากันพลิ้วกายเข้าไปในเจดีย์
‘ปึง!’
ประตูเจดีย์ปิดลง สวี่ชีอันพุ่งไปยังท้องฟ้ายามราตรีราวกับลูกศรคมพร้อมกับเสียงระเบิดลั่นดังเสียดแทงหู ก่อนจะหายลับไปในเส้นขอบฟ้าเพียงชั่วพริบตา
จากภูเขาสือว่านกลับมายังเมืองหลวงระยะทางราวหลายแสนลี้ สวี่ชีอันใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
เมืองอันงดงามโอ่อ่าตั้งอยู่บนแผ่นดินกว้างใหญ่มโหฬาร แสงตะเกียงส่องสว่างเป็นดวงๆ ยิ่งเข้าใกล้พระราชวัง แสงไฟก็หนาแน่นขึ้น
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ฮว๋ายชิ่งก็ส่งข้อความบอกสมาชิกพรรคฟ้าดินว่าได้ขับไล่การล้อมโจมตีของพ่อมดใหญ่ไปแล้ว โค่วหยางโจวใช้พลังของจอมยุทธ์ขั้นสองโจมตีพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จนไม่กล้าเข้าใกล้เมืองหลวง และหลบหนีกลับไปยังดินแดนทิศประจิม จากนั้นก็ตรงเข้าสู่สมรภูมิหลักแล้วคอยสนับสนุนพวกลั่วอวี้เหิง
น่าเสียดายที่พ่อมดใหญ่คิดเล็กคิดน้อยมากเกินไป เมื่อเห็นจอมยุทธ์หยาบกระด้างขั้นสองไล่ตามมา ก็พาปราชญ์วิญญาณสองคนถอยกลับไปทันที
ศึกครั้งนี้ ผู้อาวุโสโค่วหยางโจวคือ MVP…เมื่อสวี่ชีอันได้ยินข่าวก็ตกตะลึงจริงๆ
กล่าวในใจว่า ในที่สุดผู้อาวุโสโค่วก็ผุดลุกขึ้นมาได้สักที
‘ตุบ’…สวี่ชีอันลงมายืนแท่นแปดทิศแล้วนำเจดีย์พุทธะออกมาปลดปล่อยระดับเหนือสามัญทั้งหลายอย่างหลี่เมี่ยวเจินและอาซูหลัว
จากนั้นก็พาทุกคนเดินลงไปยังชั้นใต้ดินของหอดูดาว
ชั้นใต้ดินของหอดูดาวมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกกักขังนักโทษธรรมดาและครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องนอนพิเศษของจงหลี
ชั้นท้ายสุดใช้ขังยอดฝีมือผู้อยู่เหนือระดับ
ซุนเสวียนจีเปิดการปิดกั้นต่างๆ ภายใต้สัญญาณบอกของสวี่ชีอัน จากนั้นก็มาถึงชั้นสุดท้าย
ศิษย์พี่ซุนยกเท้าเหยียบ ค่ายกลวงแสงสีใสปรากฏขึ้น ลิงเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์หนึ่งตัวอยู่กลางค่ายกลนั้น
ผู้พิทักษ์หยวนที่ขนทั่วกายเป็นสีขาวหิมะรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาเคยชินกับการสวมเสื้อผ้าแบบมนุษย์แล้ว เมื่อร่างกายที่มีแต่ขนเปิดเผยภายใต้สายตาของทุกคนในห้องก็ยากจะหลีกเลี่ยงความอับอาย
จากนั้นเขาก็เข้าสู่ท่าทีเป็นการเป็นการอย่างรวดเร็ว เขามองดูซุนเสวียนจีอยู่พักหนึ่งก็อ่านใจออกมา
“เจ้าอยากพบอรหันต์ตู้ฉิง?”
อรหันต์ตู้ฉิงเป็นกำลังหลักที่จับตัวสวี่ชีอันตอนอยู่ในยงโจวและพ่ายแพ้แก่ลั่วอวี้เหิง ต่อมาก็แลกหนทางมีชีวิตรอดกับการถอนตะปูตอกวิญญาณออกให้
ท่านโหราจารย์รับปากอรหันต์ตู้ฉิงแล้วว่าจะขังเขาในหอดูดาวสามปี เมื่อเวลาสามปีผ่านไปก็จะคืนอิสระให้เขา
สวี่ชีอันพยักหน้าแล้วส่งเสียงอืมตอบรับ
ซุนเสวียนจีพาผู้อยู่เหนือสามัญทุกคนเดินผ่านทางเดินมืดมนไปยังด้านหน้าประตูเหล็กที่อยู่สุดทาง
เขานำกระจกทองเหลืองแปดมุมออกมาก่อน จากนั้นฝังลงไปในร่องแปดเหลี่ยมของประตูเหล็ก กระจกทองเหลืองมีภาพฉายออกมาเหมือนภาพสามมิติที่แสดงค่ายกลอันสลับซับซ้อน
ศิษย์พี่ซุนเคลื่อนไหวและเขียนลวดลายค่ายกลลงไปด้วยสีหน้านิ่งสนิท หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ ตัวล็อกภายในประตูเหล็กก็ส่งเสียง ‘แกร่ก’ ออกมาแล้วเปิดออกเป็นทอดๆ
เขาผลักประตูเหล็กหนาหนักพร้อมกับเกิดเสียง ‘แอ๊ด แอ๊ด’ ที่หนักหน่วง
ภายในประตูเหล็กคือความดำมืดสนิท ซุนเสวียนจีเรียกตะเกียงน้ำมันออกมาโดยใช้วิชาเคลื่อนย้าย แสงเทียนอ่อนจางสาดส่องไปในความมืด น้ำพาแสงสว่างมาเยือน
ภิกษุเฒ่าที่มีคิ้วขาวยาวห้อยล้อมกรอบใบหน้าสองด้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนกองหญ้าแห้ง
ภิกษุร่างผอมโซลืมตาขึ้น แล้วมองมายังยอดฝีมือที่มาเยี่ยมเยือนกะทันหันกลุ่มนี้ด้วยแววตาอ่อนโยนสงบนิ่ง สายตาของเขารวมอยู่บนร่างของอาซูหลัวและสวี่ชีอัน
“พวกเจ้าสองคนมายืนอยู่ด้วยกัน ดูท่าทางเกือบครึ่งปีที่อาตมาอยู่ใต้ดินนี่ ข้างนอกจะเกิดเรื่องราวมากมายทีเดียว”
อรหันต์ตู้ฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
สวี่ชีอันพยักหน้ากล่าว
“เกิดเรื่องมากมายขึ้นจริงๆ อรหันต์ตู้ฉิงอยากรู้หรือไม่”
ภิกษุชราไม่ได้ตอบแต่แสดงท่าทางปล่อยไปตามยถากรรม
สวี่ชีอันเอ่ยต่อ
“แต่ก่อนหน้านั้น ฆ้องเงินเช่นข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามเจ้า”
อรหันต์ตู้ฉิงเอ่ย
“เรื่องใด?”
สวี่ชีอันจ้องมองเขา
“นอกเมืองยงโจว ในวังใต้ดิน ศพโบราณศพนั้น เจ้าเป็นคนสังหารหรือไม่!”