บทที่ 560 คำสาบานภักดี
“ฉัน สวีอี้ซานจะขึ้นเป็นเจ้าวังเมฆาสีชาดคนใหม่ มีใครเห็นต่างอีกไหม?!” สวีอี้ซานยืนหน้าร่างไร้ชีวิตของหม่าฉางหมิง พลางจ้องเหล่าศิษย์วังเมฆาสีชาดด้วยสายตาน่าหวั่นเกรงคล้ายมีเพลิงแผดเผา
เหล่าศิษย์ต่างมองหน้ากันเอง ไม่มีใครเอ่ยหรือส่งเสียงใด ๆ ออกมา
หม่าฉางหมิงที่เป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าเอ่ยก็ตายไปแล้ว ส่วนผู้อาวุโสที่เหลืออีกสามคนต่างก็ออกปากให้การสนับสนุน แล้วศิษย์ทั่วไปมีหรือจะกล้าเห็นต่าง? เกรงว่าหากแสดงตัวออกไปก็คงต้องล้มลงไปนอนกับพื้นในชั่วอึดใจ สวีอี้ซานที่ได้รับบาดเจ็บหนักไม่ได้น่ากลัวเพียงนั้น แต่ที่น่าสะพรึงกลัวคืออู๋ฝานที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่างหาก อีกฝ่ายเผยสีหน้ายิ้มแย้มรับชมเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา
ชายหนุ่มประหนึ่งเป็นปีศาจร้ายมีชีวิต และยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสามที่เหลือไม่มีใครกล้าคิดเห็นเป็นอื่น
“แปะ แปะ แปะ!” ทันใดนี้เองที่อู๋ฝานปรบมือด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ขอแสดงความยินดีกับการที่วังเมฆาสีชาดเลือกตั้งเจ้าวังคนใหม่ได้ ผมเชื่อว่าภายใต้การนำทางของเจ้าวังสวี วังเมฆาสีชาดในอนาคตจะรุ่งโรจน์กว่าที่เคยเป็น และอาจได้ก้าวหน้าขึ้นเป็นสำนักชั้นหนึ่งในระดับประเทศอย่างสมภาคภูมิ”
คำพูดของอู๋ฝานคือการดึงความสนใจของผู้อื่นให้มองมา แท้จริงนับตั้งแต่เริ่มต้นเหตุการณ์เลือกตัวเจ้าวังก็ไม่มีใครกล้าเมินเฉยการดำรงอยู่ของชายหนุ่ม กระทั่งตอนที่สวีอี้ซานสังหารหม่าฉางหมิงเมื่อครู่ หลายคนยังต้องลอบมองชายหนุ่มด้วยหางตาด้วยซ้ำ เพราะหากไม่ใช่ความจริงที่อีกฝ่ายมาที่นี่พร้อมกับสวีอี้ซาน ด้วยอิทธิพลของหม่าฉางหมิงในวังเมฆาสีชาด ลำพังแค่สวีอี้ซานไม่มีความสามารถพอจะลงมือสังหารได้
บรรดายอดฝีมือเคียงข้างอู๋ฝานต่างหายตัวไปเมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้ ตอนที่พวกเขาปรากฏตัวก็แสดงตัวอย่างกะทันหัน ตอนหายตัวก็หายไปอย่างกะทันหันเช่นกัน แต่หลังได้เจอเหตุการณ์ด้วยตนเอง ต่อให้เวลานี้ชายหนุ่มจะอยู่เพียงลำพังก็ไม่มีใครกล้าปรามาส เนื่องจากไม่มีใครทราบได้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะปรากฏตัวอย่างกะทันหันอีกเมื่อใด
“ท่านทั้งหลาย ทำไมยังไม่แสดงความเคารพต่อเจ้าวังคนใหม่กันอีกล่ะ?” อู๋ฝานถามขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สามผู้อาวุโสที่ยังเหลือและเหล่าศิษย์แห่งวังเมฆาสีชาดต่างมองหน้ากันเอง หลังพวกเขาทำความเคารพและคำนับสวีอี้ซานเป็นเจ้าวัง เมื่อนั้นอีกฝ่ายจะเป็นเจ้าวังเมฆาสีชาดคนใหม่โดยสมบูรณ์ หากภายหน้ามีผู้ใดไม่พอใจเขาและลุกขึ้นต่อต้าน คนคนนั้นจะเป็นผู้กระทำความผิด ทั้งยังเป็นความผิดร้ายแรงในแวดวงผู้ฝึกตน เมื่อใดเรื่องราวเผยแพร่ออกไปจะถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม และจะไม่เป็นที่ต้อนรับของทุกสำนัก
แต่ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาเลือกไม่คำนับได้งั้นเหรอ? เกรงว่าหากจะมีก็คงเป็นอู๋ฝานเพียงคนเดียว
“คำนับเจ้าวัง!” ขณะกลุ่มคนลังเล ศิษย์หลายสิบคนของวังเมฆาสีชาดต่างตัดสินใจคุกเข่าลงคำนับสวีอี้ซาน
แม้สวีอี้ซานจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากเมิ่งข่ายสักเท่าใด กระทั่งถูกหม่าฉางหมิงดูหมิ่นมานาน แต่ไม่ว่าจะด้วยอะไรเขาก็เป็นหนึ่งในห้าผู้อาวุโสของสำนักใน ตลอดหลายปีมานี้มีหลายคนที่เลือกภักดีด้วย พวกเขาเหล่านั้นย่อมยินดีหากได้เห็นอีกฝ่ายครองตำแหน่ง ขณะที่กลุ่มคนลังเล พวกเขาก็ออกมาเป็นฝ่ายนำคำนับยอมรับตัวตนเจ้าวังของสวีอี้ซาน
“คำนับเจ้าวัง!” เมื่อมีคนเริ่มกระทำ คนอื่นที่เหลือต่างก็คุกเข่าลงทำความเคารพกันคนแล้วคนเล่า
“คำนับเจ้าวัง!” หลังเห็นสถานการณ์และสายตาจากอู๋ฝานที่จ้องมองมา สามผู้อาวุโสจึงไร้ทางเลือก มีแต่ต้องยอมคำนับให้สวีอี้ซานที่ในอดีตมีสถานะต่ำต้อยกว่าตนเอง
สวีอี้ซานยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ ร่างของหม่าฉางหมิง สายตาทอดมองเรื่องราวอย่างฮึกเหิม หากเป็นในอดีตมันคงเป็นภาพที่เขาไม่มีทางฝันถึง ทว่าขณะนี้กลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
สวีอี้ซานทราบดีว่าทั้งหมดนี้มีต้นสายปลายเหตุ หากไม่ใช่เพราะอู๋ฝาน กระทั่งจนวันสุดท้ายของชีวิต เขาก็คงไม่มีทางได้ครอบครองตำแหน่งนี้ ต่อให้เมิ่งข่ายตายก็ไม่มีทางได้ขึ้นแทนที่ และยังจะถูกหม่าฉางหมิงกลั่นแกล้งไปอีกนานแสนนาน
เมื่อคิดได้ดังนั้น สวีอี้ซานจึงหันไปทางอู๋ฝานพร้อมเดินเข้าหา
“ตึก!”
สวีอี้ซานไม่แสดงความลังเลที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าอู๋ฝานพร้อมเอ่ยเสียงดัง “สวีอี้ซานขอเป็นตัวแทนจากทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของวังเมฆาสีชาด สาบานว่าจะภักดีต่ออู๋เซียนเซิง*[1] ในอนาคตเบื้องบนและเบื้องล่างของวังเมฆาสีชาดจะมีผู้นำเป็นอู๋เซียนเซิง พวกเราจะเป็นดาบและโล่ให้ท่าน อีกทั้งยังยินดีพร้อมลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ตามแต่อู๋เซียนเซิงจะบัญชาโดยไม่หวาดเกรงต่อความตาย!”
ในเมื่อเขาตัดสินใจยอมศิโรราบให้แก่อู๋ฝานแล้ว สวีอี้ซานจึงเลือกทำเช่นนี้เพื่อให้ทั้งวังเมฆาสีชาดอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะได้รับการสนับสนุนจากอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
สวีอี้ซานเข้าใจดีว่ารากฐานของตนเองในวังเมฆาสีชาดยังอ่อนแอ เหตุผลที่ในวันนี้เขาเป็นเจ้าวัง ทั้งหมดเป็นเพราะอู๋ฝาน และปัจจุบัน แม้วังเมฆาสีชาดจะยอมรับตัวตนและสถานะของเขาแล้ว แต่ตนก็ทราบดีว่าคนเหล่านี้ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจกันทั้งหมด และเขาก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะสยบทุกคนในที่นี้ได้ มีเพียงการที่ชายหนุ่มยืนหยัดอยู่เป็นเบื้องหลังเขาอย่างหนักแน่นเท่านั้น ตนจึงจะสามารถกดดันทั้งสำนักเอาไว้ได้ มันจะทำให้เขาได้นั่งบัลลังก์ที่มีชื่อว่าเจ้าวังอย่างมั่นคง
การที่สวีอี้ซานแสดงความจงรักภักดีต่ออู๋ฝาน ทำให้บรรดาศิษย์วังเมฆาสีชาดต่างต้องจับตามอง
ในแวดวงผู้ฝึกตน มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีสำนักสาบานจะภักดีต่อตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ทว่าตระกูลเหล่านั้นมักจะสืบทอดและดำรงอยู่มานานนับพันปีหรือไม่ก็แข็งแกร่งอย่างเลิศล้ำ หลังสำนักสาบานความภักดีแล้วจะได้รับการคุ้มกันและสามารถพัฒนาไปได้ด้วยดี
แต่การกระทำของสวีอี้ซานผิดแปลกออกไป เพราะมันเป็นการนำทั้งสำนักสาบานภักดีต่อคนเพียงผู้เดียว!
ดังนั้นแล้ว ปฏิกิริยาแรกของทุกคนในวังเมฆาสีชาดที่ได้ยินจึงรู้สึกคัดค้าน แต่พอไตร่ตรองถึงความแข็งแกร่งที่อู๋ฝานแสดงให้เห็น ถ้อยคำของพวกเขาจึงต้องกลืนลงท้องไป
อู๋ฝานแข็งแกร่งอย่างมหาศาล ความแข็งแกร่งที่แสดงให้เห็นไม่ต่างจากสำนักเรืองอำนาจหรือตระกูลที่ยิ่งใหญ่ หากจะให้ยอมรับการสาบานภักดีต่อคนเพียงคนเดียวเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินรับได้แต่อย่างใด
แน่นอนว่ายังมีคนไม่พอใจกับเรื่องที่สวีอี้ซานได้เป็นเจ้าวัง ขณะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้จึงยิ่งสบถก่นด่าถึงความไร้ยางอาย แต่พวกเขาไม่มีหนทางจะห้ามปรามหรือหยุดยั้ง
เว้นแต่วันนี้พวกเขาพร้อมจะทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่
อู๋ฝานยังค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทีของสวีอี้ซานด้วยซ้ำ เขาจัดแจงให้อีกฝ่ายเป็นเจ้าวังเมฆาสีชาดเพราะทำเพื่อตนเอง หลังสังหารจานเฮ่อและเมิ่งข่าย หากมีใครอื่นขึ้นมาเป็นเจ้าวังก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มาสร้างปัญหา ถ้าอีกฝ่ายต้องการล้างแค้นมาที่ตน เขาก็คงต้องตัดสินใจทำลายทั้งสำนักให้สิ้นซาก แต่เรื่องดังกล่าวโหดเหี้ยมจนเกินไป แม้แต่ใจของเขาเองก็ไม่อาจยอมรับได้ ขณะเดียวกันนั้นก็ยังต้องเกรงว่าสำนักอื่นในเจียงโจวมีแผนจะเล่นงานในทางลับอีกหรือไม่ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงต้องการหาหุ่นเชิดที่เชื่อฟังมาเป็นเจ้าวัง ทำแบบนั้นเขาจึงจะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด สวีอี้ซานที่เคยดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสวังเมฆาสีชาด และท่าทีหลังเหตุการณ์ก็ทำให้เขามองว่าตัดสินใจเลือกได้ถูกต้อง
แน่นอนว่าอู๋ฝานไม่ได้เชื่อใจอีกฝ่ายเต็มร้อย แต่ในบรรดาผู้อาวุโสที่ยังเหลือ สวีอี้ซานคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด หากภายหน้าไม่อาจควบคุมอีกฝ่ายได้ ที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ฆ่าทิ้งและหาคนอื่นมาแทน
ทว่าตอนนี้สวีอี้ซานถึงขั้นสาบานภักดีแก่เขาต่อหน้าคนทั้งสำนัก มันราวกับเป็นการแสดงออกว่าต้องการที่พักพิงและไม่คิดถอยกลับ เนื่องจากหากสวีอี้ซานกล้าที่จะผิดคำสาบานภักดี เขาจะถูกทั้งแวดวงผู้ฝึกตนเหยียดหยามและคว่ำบาตรใส่ เมื่อนั้นจะสูญเสียทั้งตำแหน่งในสำนักและหน้าตาในแวดวง
เห็นได้ชัดว่าการที่สวีอี้ซานเลือกแสดงความภักดีในครั้งนี้ มันเป็นทั้งความปรารถนาและความมุ่งมั่น
[1] เซียนเซิง เป็นคำยกย่องบุรุษ