ตอนที่ 338 ให้การช่วยเหลือ
……….
ปรากฏภาพดังในภาพที่ปรากฏ องค์ชายสามลุกยืนขึ้นอย่างเจ็บปวด ปัดจานชามบนโต๊ะล้มระเนระนาด จากนั้นก็มีคนมากมายเข้ามารุมล้อม
“อิ้วเอ๋อร์ อิ้วเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใดไป” พระสนมเสียนเฟยหลุดร้องถาม
โต๊ะข้างๆ องค์ชายสามก็คือข่งรุ่ย ยามนี้เป็นหนึ่งในคนที่ใกล้องค์ชายสามที่สุด ได้ยินเสียงเขาตะโกนดังขึ้นทันที “องค์ชายสามเหมือนมีอาหารติดคอ!”
อาหารติดคอ?
ซินโย่วก้าวเข้าไปทันที
ความจริงเพียงแค่ไม่ถึงสิบก้าว นางกลับได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตนเอง พร้อมกับความเยียบเย็นวาบไปทั้งมือและเท้าอย่างตกใจ
หรือว่าองค์ชายสามยังกินลำไย
ด้านหน้ามีคนขวางอยู่หลายคน ซินโย่วไม่อาจเห็นสภาพองค์ชายสามได้ ได้แต่ตะโกนดัง “ถอยไปให้หมด!”
คนที่เข้ามามุงบ้างก็ไร้หนทาง บ้างก็เสแสร้งร้อนใจ พอได้ยินเสียงตะโกนดังนี้ก็แหวกทางให้อย่างไม่รู้ตัว
“อิ้วเอ๋อร์ เจ้าอย่าทำแม่ตกใจ!” ยามเห็นบุตรชายที่สีหน้าเจ็บปวดจนถึงขั้นบิดเบี้ยว พระสนมเสียนเฟยคิดแตะต้องก็มิกล้า ท่าสิ้นหวังไร้สิ้นหนทาง
“ตามหมอหลวง!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก้าวเข้ามารวดเร็ว เห็นสีหน้าองค์ชายสามเริ่มเขียวแล้วก็ตะโกนเสียงดังทันที
ซินโย่วเบียดตัวเข้าไป ไม่มีเวลาอธิบาย ผลักพระสนมเสียนเฟยที่ขวางทางอยู่ไปข้างๆ ยืนอยู่ด้านหลังองค์ชายสาม
“เจ้าจะทำอันใด” ในสถานการณ์ตอนนี้ พระสนมเสียนเฟยละทิ้งธรรมเนียมไปหมดแล้ว พุ่งเข้าไปกระชากตัวซินโย่ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คว้าพระสนมเสียนเฟยไว้ ก่อนจ้องมองซินโย่ว
ซินโย่วไม่มีเวลาคิดถึงปฏิกิริยาทุกคน กำมือเป็นกำปั้นกระแทกท้ององค์ชายสาม ใช้แรงกดขึ้นด้านบนรวดเร็ว
หนึ่งที สองที…
คนที่ยืนอยู่ไกลหน่อยก็สบตากันไปมา
พอความคิดเริ่มผุดขึ้นมา ก็เห็นของสิ่งหนึ่งกระเด็นออกมาจากปากองค์ชายสาม
ซินโย่วปล่อยมือมองไปทางของแปลกปลอมที่ตกอยู่ที่พื้น
ห่านย่างที่ติดกระดูกชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง
ซินโย่วมองไปทางองค์ชายสามที่กำลังไอโขลก แววตาเริ่มสับสนเล็กน้อย
ลำไยไม่ได้ติดคอ แต่ห่านย่างติดคอ นี่เรียกได้ว่าหลบพ้นด่านแรก แต่ไม่พ้นด่านสอง?
พระสนมเสียนเฟยกอดองค์ชายสามแน่น ส่งเสียงร้องไห้อย่างปวดใจออกมา “อิ้วเอ๋อร์ เจ้าทำให้แม่ตกใจหมด…”
หมอหลวงสองคนถือล่วมยาเดินเข้ามารวดเร็ว “ถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถอนหายใจ ชักสีหน้าใส่หมอหลวงที่เพิ่งมาถึง “ตรวจอาการให้องค์ชายสาม”
หมอหลวงสองคนรีบก้าวเข้าไปถามอาการเบาๆ ก่อนเริ่มตรวจให้องค์ชายสาม
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายสามไม่เป็นอันใดแล้ว จากนี้ให้กินยาน้ำให้ชุ่มคอสักหน่อย ให้รับประทานอาหารรสอ่อนก็พอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ทอดพระเนตรไปทางซินโย่ว “อาโย่ว เมื่อครู่โชคดีที่มีเจ้าอยู่”
แน่ใจว่าบุตรชายไม่เป็นอันใด พระสนมเสียนเฟยก็ตั้งสติได้ คำนับซินโย่วทีหนึ่ง “คุณหนูซิน ขอบคุณที่ช่วยอิ้วเอ๋อร์…”
ยามเผชิญกับมารดาที่เกือบสูญเสียบุตรชายแล้ว ไม่ว่าดำรงตนในวังหลวงเคร่งครัดเพียงใด อารมณ์สงบนิ่งเพียงใด ก็ล้วนพังทลายลงหมดสิ้น
ซินโย่วเอียงตัวหลบการคำนับจากพระสนมเสียนเฟย “พระสนมเสียนเฟย พระสนมไม่ต้องทำเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ รู้วิธีแก้ไขก็คงไม่อาจนิ่งดูดายได้”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตกพระทัย “อาโย่ว วิธีการเมื่อครู่ของเจ้า เป็นวิธีการช่วยคนที่มีอาหารติดคอโดยเฉพาะหรือ”
พอตรัสออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปทางซินโย่วอย่างตกใจ
ซินโย่วมิได้ปฏิเสธ “เพคะ ยามมีสิ่งใดติดคอ นี่คือวิธีที่ได้ผลที่สุดเพคะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็หยุดสบตากับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ท่านแม่สอนหม่อมฉัน”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันนิ่งเงียบไปทันที
พระสนมในที่นั้นได้ฟังซินโย่วเอ่ยถึงฮองเฮาซิน ไม่ว่าเพราะเกรงภัยหรือรอบคอบ ยามนี้ต่างนิ่งสงบ
องค์หญิงใหญ่เจาหยาบกลับตื่นเต้นยินดีด้วยพระทัยพองฟู “พี่สะใภ้สอนดังคาด”
หากพี่สะใภ้ยังอยู่จะนำความเปลี่ยนแปลงน่ายินดีมาสู่ราชวงศ์ต้าซย่ามากมายเพียงใด
คิดถึงตรงนี้ องค์หญิงใหญ่เจาหยางเหลือบตามองฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถูกองค์หญิงใหญ่เจาหยางมองทีหนึ่ง อารมณ์พลันสลดลงไม่น้อย ส่งเสียงกระแอมไอขึ้นก่อนเปลี่ยนประเด็น “อิ้วเอ๋อร์ เมื่อครู่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ในที่สุดองค์ชายสามเริ่มหายใจคล่องแล้ว สายตามากมายจับจ้องมา ทำให้รู้สึกเสียหน้าอย่างมาก “กินห่านย่างไปชิ้นหนึ่ง ไม่รู้เหตุใดจึงลื่นลงไปติดคอได้พ่ะย่ะค่ะ”
ความจริงเสด็จแม่เคยสอนเขาว่า ในงานเลี้ยงไม่ว่าอาหารที่ชอบเพียงใดก็อย่าได้คีบครั้งที่สอง ตอนเขาคีบห่านย่างชิ้นที่สอง กลัวเสด็จแม่เห็น จึงเคลื่อนไหวเร็วไปสักหน่อย คิดไม่ถึงเกือบติดคอตาย
คิดถึงความเจ็บปวดตอนหายใจไม่ออกเมื่อครู่แล้ว องค์ชายสามก็มองไปทางซินโย่วด้วยสีหน้าซีดเผือด “พี่หญิงซิน ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้”
คำเรียกว่า ‘พี่หญิง’ ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีมาก
เด็กหนุ่มวัยสิบเอ็ดรู้ความน่ากลัวของความเป็นความตายแล้ว
“ไม่เป็นอันใดก็ดี วันหน้ากินอะไรต้องระวังหน่อย” ซินโย่วเอ่ยตามมารยาท มิได้เอ่ยอันใดมากความอีก
กล่าวตามตรง นางช่วยองค์ชายสามไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายสามโดยตรง แต่เป็นไปตามสัญชาตญาณจิตใจดีงาม
องค์ชายสามลังเลเล็กน้อย อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ยังมอบ ‘บันทึกตะวันตก’ เล่มหกให้ข้าไหม”
ซินโย่วคลี่ยิ้ม “มอบให้”
ตอนนี้นางกำลังคิดว่าองค์ชายสามน่ารัก
“อาโย่วช่วยองค์ชายสามไว้มีความชอบ พระราชทานก้อนทองคำสิบคู่ ไข่มุกหนึ่งกล่อง…”
ได้ฟังฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระราชทานของมากมาย นอกจากพระสนมเสียนเฟย บรรดาพระสนมนางในที่เหลือต่างแอบทอดถอนใจ ฮ่องเต้ทรงพระทัยกว้างจริง!
ซินโย่วรับไว้อย่างไม่ปฏิเสธ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น งานเลี้ยงย่อมไม่อาจดำเนินต่อไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “เลิกงานเถอะ”
บรรดาพระสนมนางในพากันย่อกายคำนับ “น้อมส่งเสด็จฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “…” เขาให้พวกนางเลิก แต่เขายังคิดคุยกับอาโย่วต่อนะ
มาถึงขั้นนี้แล้ว หากไม่ไปคล้ายว่าไม่ค่อยเหมาะ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เม้มมุมพระโอษฐ์ “เจาหยาง อาโย่วอยู่นอกวัง เจ้าดูแลนางให้มากหน่อย”
“เสด็จพี่วางพระทัยเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถูกบรรดาพระสนมนางในส่งเสด็จ ก็จากไปอย่างไม่เต็มใจ
พระสนมเสียนเฟยพาองค์ชายสามไปกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่าจะไปส่งซินโย่วออกจากวังด้วยตนเอง
“ข้าพาอาโย่วออกไปก่อน องค์ชายสามเพิ่งประสบเหตุตกใจมา พระสนมเสียนเฟยอยู่กับองค์ชายสามให้มากๆ หน่อยดีกว่า” องค์หญิงใหญ่เจาหยางเอ่ยปฏิเสธแทนซินโย่ว
“เช่นนั้นก็รบกวนองค์หญิงใหญ่แล้วเพคะ”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางพาซินโย่วและบุตรชายหญิงจากไป ทุกคนในศาลาไม่กระซิบวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ ก็จากกันไปเงียบๆ
ในมุมที่ไม่มีผู้ใดสนใจ หมอหลวงสองกำลังโต้เถียงกัน ก่อนมีคนหนึ่งไล่ตามไปมองตามหลังซินโย่วตาปริบๆ ไม่รู้ควรเอ่ยเช่นไร
ซินโย่วรู้สึกได้ถึงสายตาจับจ้องมองมาจากด้านหลัง ก็ส่งสายตาเป็นคำถามไปยังหมอหลวงที่ไล่ตามมา
องค์หญิงใหญ่เจาหยางถามขึ้นตรงๆ ว่า “หมอหลวงจางมีธุระ?”
หมอหลวงจางอายุสามสิบกว่า ในสำนักหมอหลวงนับว่าหนุ่มมาก มองซินโย่วพลางเอ่ยอย่างลังเล “คุณหนูซินข้าน้อยมีเรื่องอยากขอร้อง”
“หมอหลวงจางเชิญกล่าวมาได้”
“เมื่อครู่ข้าน้อยได้ยินว่าท่านใช้วิธีเฉพาะช่วยเหลือองค์ชายสามที่มีอาหารติดคอ ไม่ทราบว่าจะ…จะสอนสักหน่อยได้หรือไม่”
หมอหลวงอีกคนที่ไล่ตามมาได้ยินก็แอบถอนหายใจ
เสี่ยวจางใจกล้าจริง
หมอหลวงจางสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ข้าน้อยคิดว่าหากมีวิธีช่วยรักษาได้จริง หากพบเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกก็จะไม่ต้องทำอันใดไม่ถูกจนเกิดเหตุ…”
หมอหลวงจางยิ่งพูดก็ยิ่งเคร่งเครียด
เพราะเขาวู่วามเกินไป แต่หากมีวิธีการนี้จริง ก็ย่อมเป็นวิธีการสืบทอดจากวงศ์ตระกูล เขาจะถูกด่าว่าหน้าไม่อายได้
หมอหลวงอีกคนรีบเข้ามาดึงหมอหลวงจาง กล่าวขอโทษซินโย่ว “คุณหนูซินอย่าได้ตำหนิหมอหลวงจาง หมอหลวงจางมิได้คิดลักลอบเรียนรู้ เขา…”
ซินโย่วยิ้มตัดบทหมอหลวง “ข้าสอนพวกท่านได้”