ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 621 เกี่ยวพัน(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 621 เกี่ยวพัน(1)

…………….

ตอนที่ 621 เกี่ยวพัน(1)

เมื่อได้ยินฉินมู่หลานพูดเช่นนี้ กู้วั่งหลานจึงปฏิเสธโดยทันที เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลย

ทว่าฉินมู่หลานกลับพูดต่อ “ผู้จัดการกู้ มีแค่ฉัน ปิงหรุ่ยและคุณเท่านั้น ไม่มีคนอื่น คุณไม่ต้องรู้สึกอึดอัดหรอก”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดเช่นนี้ กู้วั่งหลานจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป “ตกลง งั้นถึงตอนนั้นเราค่อยไปด้วยกัน”

“ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้เที่ยงไปพร้อมกัน”

เมื่อถึงเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยพากู้วั่งหลานไปที่บ้านของเหมาชุนเถา และวันนี้เหมาชุนเถาเป็นคนลงมือทำอาหารเลี้ยงพวกเขาเอง

เมื่อทั้งสามคนไปถึง จี๋เสียงรีบหยิบเมล็ดแตงโมและผลไม้ออกมาต้อนรับฉินมู่หลานกับเพื่อนๆ “น้าฉิน น้าเซี่ย รีบกินเร็วครับ” พูดจบก็หันไปทางกู่หวังหลาน แล้วเรียก “อากู้ รีบกินนะครับ”

เมื่อเห็นจี๋เสียงว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ กู้วั่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะยีผมเด็กชายแล้วพูดว่า “เอาล่ะ เราก็มานั่งกินด้วยกันเถอะ”

อย่างไรก็ตาม จี๋เสียงกลับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมไม่กินหรอกครับ เชิญพวกคุณน้ากินกันเถอะครับ” แต่ในดวงตากลับปรากฏความปรารถนาเล็กน้อย

ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเห็นจี๋เสียงว่านอนสอนง่ายเกินไปอดถอนหายใจไม่ได้ เด็กคนนี้ช่างรู้ความเสียจนน่าเจ็บปวด “จี๋เสียง มาดูของเล่นที่น้าๆ ซื้อมาฝากสิ”

จี๋เสียงได้ยินดังนั้น แววในตาของเขาก็เป็นประกาย เด็กๆ ต่างชอบของเล่น แต่เขาก็ไม่ได้รีบตอบ เพราะไม่รู้ว่าจะรับได้หรือไม่

จนกระทั่งเหมาชุนเถาเดินเข้ามาแล้วพูดกับตัวเองว่า “ในเมื่อน้าๆ เขาซื้อมาฝากก็รับไว้เถอะ”

ถึงเวลาหล่อนก็จะซื้อของให้ลูกของมู่หลานเช่นกันและก็จะทำอาหารให้พวกปิงหรุ่ยกินเหมือนกัน

เมื่อเห็นแม่พูดเช่นนี้ จี๋เสียงจึงรับของเล่นไปพร้อมกับรอยยิ้ม

ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยซื้อรถยนต์ของเล่นราคาแพงคันหนึ่งมาให้ ซึ่งเป็นของเล่นที่หายากมากในเวลานี้ “ขอบคุณน้าฉิน ขอบคุณน้าเซี่ยครับ”

จี๋เสียงวางของเล่นไม่ลง แต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณ

“ไม่เป็นไร ถ้าชอบก็เอาไปเล่นเถอะ”

จี๋เสียงน้อยหยิบรถยนต์ของเล่นออกไปเล่นอย่างสนุกสนาน

เหมาชุนเถาเห็นท่าทางลูกชายดูสนุกสนาน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม จากนั้นก็หันไปมองฉินมู่หลานกับพวกเขา แล้วบอกว่า “มู่หลาน อาหารมื้อกลางวันจะเสร็จแล้ว พวกเธอนั่งรออีกนิดนะ”

“ได้ ไม่รีบๆ สบายๆ”

หลังจากเหมาชุนเถากลับเข้าครัว เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ชุนเถาเก่งจริงๆ เลี้ยงลูกเองคนเดียว ดูแลบ้าน แถมยังต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวอีก ไม่ง่ายเลยนะเนี่ย”

“ใช่ โชคดีที่ชีวิตของแม่ลูกคู่นี้ดีขึ้นเยอะแล้ว”

ฉินมู่หลานเองก็ชื่นชมเหมาชุนเถาไม่น้อย เพราะปีใหม่นี้แม่ลูกคู่นี้ต่างก็ไม่กลับบ้านเกิด แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์กับญาติทางบ้านนั้นคงจะไม่ค่อยดี และด้วยความที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังอยู่ในเมืองหลวง ชีวิตจึงค่อนข้างลำบาก แต่เหมาชุนเถาก็ทำได้ดีมากและยังทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอีกด้วย

กู้วั่งหลานได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ แม้ว่าจะไม่แน่ใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเหมาชุนเถาเป็นหม้ายหรือว่าหย่าร้างกันแน่ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่สะดวกที่จะถาม

สุดท้ายเซี่ยปิงหรุ่ยก็สังเกตเห็นความสงสัยของกู้วั่งหลานเมื่อเห็นว่าจี๋เสียงน้อยออกไปแล้ว ก็เลยแอบกระซิบว่า “สามีเก่าของชุนเถาน่ะเลวสุดๆ เลย”

จากนั้นหล่อนก็เล่าเรื่องราวของเหมาชุนเถาให้ฟัง ก่อนจะกล่าวสรุปว่า “ผู้ชายบางคนนี่มันแย่จริงๆ”

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของครอบครัวสามีเก่าของเหมาชุนเถา ชุนเถาต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย ดังนั้นคนอื่นจึงไม่ควรดูถูกหล่อนเพราะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

เมื่อได้ยินเช่นนั้นกู้วั่งหลานก็รู้สึกตกใจไปชั่วขณะ แล้วพร่ำบ่นว่า “คนๆ นั้นแย่จริงๆ เลยนะที่ทิ้งลูกทิ้งเมียได้”

เมื่อเห็นกู้วั่งหลานเป็นเช่นนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็พลันนึกถึงเรื่องราวของเขาขึ้นมา แล้วอดไม่ได้ที่จะอุทาน “ผู้จัดการกู้ คุณกับชุนเถาช่างละม้ายคล้ายคลึงกันจริงๆ”

อย่างไรก็ตามกู้วั่งหลานกลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่ หล่อนโชคดีกว่าผมเยอะ เพราะอย่างน้อยก็ยังมีลูกอยู่ข้างๆ แต่ผม…เห้อ…ก่อนที่ลูกจะคลอด ภรรยาเก่าของผมก็แอบทำลายเขาไปแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยต่างก็ตกใจไปทั้งคู่ พวกเธอรู้เพียงว่าตอนที่กู้วั่งหลานถูกส่งตัวไปทำงานที่ชนบท ภรรยาของเขาก็ได้หย่าขาดจากเขาอย่างเด็ดขาด แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะมีเรื่องการทำแท้งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรื่องนี้คงต้องบอกว่าภรรยาเก่าของเขานั้นใจร้ายจริงๆ

ทั้งคู่รู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

โชคดีที่เหมาชุนเถาออกมาพอดี หล่อนยิ้มเพื่อเชื้อเชิญให้พวกเขากินข้าว และทุกคนจึงเดินไปที่โต๊ะอาหาร

เมื่อเห็นอาหารเต็มโต๊ะ ฉินมู่หลานอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ชุนเถา เธอเตรียมอาหารไว้เยอะเกินไปแล้ว พวกเรากินไม่หมดแน่ๆ”

แต่เหมาชุนเถากลับหัวเราะแล้วพูดว่า “มันก็ไม่ได้เยอะอะไร อีกอย่างยังมีผู้จัดการกู้ที่เป็นชายร่างใหญ่ เขาต้องกินหมดอย่างแน่นอน”

กู้วั่งหลานมีความคิดที่จะพูดว่าตัวเองกินไม่มากเท่าไร แต่กลับรู้สึกเขินอายที่จะพูดออกไป

“ชุนเถา เธอนี่จริงๆเลยนะ แค่บทความแค่นี้เขาจ่ายเธอไม่เท่าไหร่หรอก ยังไม่เท่ากับที่เธอส่งบทความให้กับหนังสือพิมพ์เลย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้วั่งหลานจึงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“บทความอะไรเหรอ?”

ฉินมู่หลานพูดถึงเรื่องเหมาชุนเถาเขียนบทความด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “เรื่องราวที่ชุนเถาเขียนตอนนี้มีคนอ่านเยอะมาก ถ้าหัวหน้ากู้สนใจ ก็อ่านได้นะคะ”

หลังจากที่กู้วั่งหลานจดชื่อเรื่อง เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ได้ครับ ถ้ามีโอกาสจะลองไปอ่านดู”

เหมาชุนเถามีฝีมือการทำอาหารที่ดีเยี่ยม ทุกคนจึงกินกันไม่น้อย แม้แต่กู้วั่งหลานก็ยังขอข้าวเพิ่มอีกหนึ่งชาม

“ชุนเถา ถ้ามีงานแบบนี้อีก ฉันจะติดต่อไปหาเธอนะ”

“ได้เลย”

เหมาชุนเถาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และเตรียมจะชงชาให้ทุกคน

ทว่ากู้วั่งหลานหลานลุกขึ้นและพูดว่า “ผมยังมีธุระ ขอตัวกลับก่อนนะครับ พวกคุณคุยกันต่อได้เลย”

เขารู้ว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน และคงมีเรื่องที่จะพูดกันมากมาย แต่กับเขาแล้วไม่มีอะไรจะคุยกับพวกเธอ

หลังจากที่กู้วั่งหลานกลับไป เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ผู้จัดการกู้คนนี้น่าสงสารจัง”

“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”

เหมาชุนเถาไม่ทราบเรื่องราวของกู้วั่งหลาน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเซี่ยปิงหรุ่ยถึงพูดแบบนั้น

เซี่ยปิงหรุ่ยจึงเล่าเรื่องของกู้วั่งหลานให้ฟัง ในที่สุดก็พูดว่า “ดูจากท่าทางของผอ.กู้แล้ว เขาต้องรักใคร่ใส่ใจกับเด็กคนนั้นมากๆ เลย อ้า…น่าสงสารเขาจังที่ตอนนี้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”

เมื่อกล่าวจบประโยค หล่อนก็อดมองฉินมู่หลานไม่ได้ “มู่หลาน ให้ผอ.กู้ทำงานหนักหน่อยเถอะ เขาจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องพวกนั้น”

ได้ยินดังนี้แล้ว ฉินมู่หลานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

“เธอแน่ใจเหรอว่านี่เป็นความคิดที่ดี?” เธอรู้สึกว่าเซี่ยปิงหรุ่ยดูเป็นห่วงเป็นใยกู้วั่งหลานอย่างออกนอกหน้า

เหมาชุนเถาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเช่นกัน “มู่หลาน นี่เป็นความคิดที่ดีเลยนะ”

ฉินมู่หลานอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เอาล่ะ ยังไงในปีหน้าผอ.กู้ก็งานยุ่งแน่นอน”

พวกหล่อนสามคนยังคงร่วมสนทนากัน ซึ่งหัวข้อสนทนาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของเพื่อนร่วมชั้นในหอพัก หลังจากคุยกันจบ ฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยก็ออกไปด้วยกัน เพียงตรงไปที่ซิ่งหลินถัง ไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านแต่อย่างใด

ทว่าพวกเธอไม่คาดคิดเลยว่าแม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว คนจำนวนมากก็ยังมารวมตัวกันอยู่ที่ซิ่งหลินถัง เมื่อเซี่ยปิงชิงเห็นพวกเธอสองคนกลับมาแล้ว หล่อนก็รีบโบกมือให้พลางกล่าว “พวกเธอกลับมาทันเวลาพอดี คุณปู่ลั่วกำลังยุ่งหัวหมุนอยู่คนเดียวเลย พวกเธอมานั่งประจำที่ตรวจชีพจรคนไข้แต่ละคนเถอะ”

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท