ตอนที่ 651 คลุมเครือ
“น้าครับ สวัสดีปีใหม่นะครับ” หู่จือเดินมาถึงหน้าเตียง พอเห็นธนบัตรใหม่เอี่ยมตรงหัวเตียงเสิ่นอวี้หลงก็อุทานอย่างตื่นเต้น “ว้าว น้าครับ น้าได้อั่งเปาเยอะขนาดนี้เชียว? ผมก็มีเหมือนกัน น้ารีบตื่นมาเร็ว ๆ นะ จะได้พาผมไปซื้อดอกไม้ไฟมาเล่น แม่ไม่ซื้อดอกไม้ไฟให้ผมเลย เด็กผู้ชายแถวนั้นมีน้าชายพาไปเล่นดอกไม้ไฟกันทั้งนั้น”
หู่จือจำคำกำชับของแม่ได้ขึ้นใจ บอกว่าต้องชวนน้าคุยให้มาก ไม่แน่ว่าอาจฟื้นขึ้นมาก็ได้
ดังนั้น เขาจึงพูดเสียงเจื้อยแจ้ว “น้าครับ น้า น้าได้ยินที่ผมพูดไหม? น้าลืมผมไปแล้วหรือเปล่า? ผมคือหู่จือ ผมเป็นลูกชายของเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยที่มาเยี่ยมน้าคราวก่อนนะ”
หลินเซี่ยเตือนเขาจากข้าง ๆ “หู่จือ น้าของลูกไม่รู้จักหลินเซี่ย เขาจำได้แค่ว่าพี่สาวของเขาชื่อว่าอวี้อิ๋ง”
แม้เธอจะรู้สึกแสลงใจที่เคยใช้ชื่อนี้มาก่อน แต่ก็ยังอธิบายให้หู่จือฟังตามความจริง
ในความทรงจำของเสิ่นอวี้หลง พี่สาวของเขาชื่อเสิ่นอวี้อิ๋ง
จิตใต้สำนึกของหลินเซี่ยโอบกอดความหวังเอาไว้ตลอดเวลา เธอรู้สึกว่าถ้าคุยกับเสิ่นอวี้หลงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งเขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา
แพทย์เฉพาะทางก็บอกแล้วว่า ญาติผู้ป่วยต้องมีความอดทน คุยเรื่องในอดีตกับผู้ป่วยให้มาก
ถ้าจะพูดก็ต้องพูดเรื่องที่เสิ่นอวี้หลงรู้เรื่องด้วย
ก่อนจะเกิดเรื่องกับเสิ่นอวี้หลง เธอเคยเป็นเสิ่นอวี้อิ๋งมาก่อน
เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลัง เธอเคยนั่งเล่าให้เขาฟังข้างเตียง แต่เขาอยู่ในสภาวะเจ้าชายนิทรา
“แม่ แม่ไม่ได้มีชื่อน่าเกลียดแบบนั้นเสียหน่อย” หู่จือต่อต้านเรื่องที่หลินเซี่ยบอกว่าตัวเองเคยชื่อเสิ่นอวี้อิ๋งอย่างมาก
สมองน้อย ๆ ของเขาครุ่นคิดสักพักก็เปลี่ยนไปพูดว่า “น้าครับ แม่ของผมคือพี่สาวน้า ตอนนี้แม่เปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่อว่าหลินเซี่ย น้ารีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า ให้แม่ผมเล่าเรื่องที่ไปเปลี่ยนชื่อมาดีไหมครับ?”
“น้าครับ ถ้าน้าไม่ตื่นขึ้นมา ผมจะเอาเงินอั่งเปาของน้าไปแล้วนะ ผมจะเอาไปซื้อดอกไม้ไฟ”
หู่จือพูดเจื้อยแจ้วอยู่หน้าเตียงไม่หยุด เขาพูดเรื่องต่าง ๆ ไปมากมาย
เซี่ยหลานมองลูกชายบนเตียง เห็นหลานชายอย่างหู่จือพยายามขนาดนั้น น้ำตาก็พลันรื้นขอบตา
เพื่อให้ลูกชายหลอ่นฟื้นขึ้นมา ทุกคนในครอบครัวทุ่มเทอย่างมาก กระทั่งเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ แบบนี้ก็ยังพยายามหาวิธีมาปลุกเสิ่นอวี้หลง
หู่จือยืนอยู่ข้างเตียงไม่ยอมขยับ “คุณยาย ผมไม่ไปเล่น ผมจะคุยกับน้าผม แม่บอกว่าต้องพูดกับน้าเยอะ ๆ เขาได้ยิน ผมกับน้ายังไม่คุ้นเคยกัน ผมต้องแนะนำตัวเยอะ ๆ พอน้าฟื้นมาแล้วจะได้จำผมได้”
“แม่ ผมเอาลูกกวาดให้น้ากินได้ไหม?”
หู่จือล้วงลูกกวาดออกมาจากในกระเป๋า ล้วนแต่เป็นของที่ลูกชายของเซี่ยตงให้มาก่อนหน้านี้
หลินเซี่ยส่ายหน้าเศร้าสร้อย“น้ากินลูกกวาดไม่ได้ ต้องรอให้เขาฟื้นมาก่อน”
“น้า น้ารีบตื่นขึ้นมาเถอะ พอน้าตื่นขึ้นมาก็กินลูกกวาดได้แล้วนะ อร่อยมากเลยนะ” หู่จือยังเป็นเด็กน้อย ไม่รู้จักการอดทนรอคอยสิ่งที่ต้องการ เรื่องที่เขาอยากทำก็อยากจะเห็นผลลัพธ์ของมันเดี๋ยวนั้นเลย
เด็กน้อยร้อนใจอยากเห็นผลลัพธ์ไว ๆ จึงยื่นมือน้อย ๆ ออกไปเขย่าตัวเสิ่นอวี้หลง
หลินเซี่ยรีบไปดึงเขาออกมาด้วยความตกใจ “หู่จือ หู่จือ พวกเราไปเล่นข้างนอกกับอาเล็กกันดีกว่านะ”
“อ้อ”
หู่จือพูดไปตั้งมาก คนบนเตียงกลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เด็กน้อยรู้สึกผิดหวังมาก
หู่จือยังไม่อยากถอดใจ แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าน้าของเขาป่วยหนักมาก
หลินเซี่ยกับเซี่ยหลานพาหู่จือออกไปข้างนอก เซี่ยหลานหันไปมองลูกชายบนเตียงแวบหนึ่ง แล้วปิดประตูลงอย่างเศร้าใจ
เซี่ยรุ่ยฉีลูกชายของเซี่ยตง ปีนี้อายุสิบสามปี เพิ่งขึ้นชั้นมัธมต้น อยู่ในวัยกำลังซนพอดี เขาเอาประทัดมามากมาย พาหู่จือออกไปเล่นด้วยกัน หลินเซี่ยบอกพวกเขาว่าอย่าออกไปนอกประตูบ้าน จากนั้นก็กลับเข้ามาในบ้าน
ทุกคนมารวมตัวกันอย่างหาได้ยาก วันนี้คนตระกูลเซี่ยมีความสุขมาก จึงทะนุถนอมช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันเช่นนี้เป็นอย่างดี
หลินเซี่ยจำได้ว่าเมื่อก่อนช่วงปีใหม่ เซี่ยหลานมักพาเธอกับน้องชายไปเยี่ยมบ้านน้า
นอกจากปีที่แล้วที่ไม่ได้มาเยี่ยมบ้านตระกูลเซี่ยเพราะความเปลี่ยนแปลงเรื่องชาติกำเนิดของเธอ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยขาดไปเลย
หลินเซี่ยมองคุณตาคุณยายที่อายุมากแล้ว รวมถึงน้าชายและแม่ที่อายุล่วงเข้าวัยกลางคนแล้วก็นึกสะท้อนใจ
เธอมองเซี่ยตงที่รินน้ำชาให้ทุกคนอย่างกระตือรือร้น คิดในใจว่าเขาคงสะท้อนใจไม่น้อยไปกว่าเธอ
เขาคงคิดไม่ถึงว่า ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องระหว่างเขากับเฉินเจียเหอจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงได้ขนาดนี้
ส่วนความขัดแย้งระหว่างเขากับเซี่ยไห่เมื่อสมัยหนุ่มที่ทำให้ต้องเลี่ยงการไปมาหาสู่กันมาตลอด ในที่สุดก็สามารถคลี่คลายได้แล้ว นับว่าจบลงด้วยดี
“ฉันจะไปช่วยทำกับข้าว” แม้คนบ้านแม่จะดีต่อเธอมาก แต่เซี่ยหลานที่หัวรั้นยังรู้สึกอึดอัด ถ้าน้องสะใภ้ของหล่อนทำงาน หล่อนเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้น
งานครัวในช่วงหลายวันนี้ หล่อนแทบเหมาไปทำทั้งหมด
มีญาติมาเยี่ยมช่วงปีใหม่ หล่อนก็จะพยายามหลบไปทำกับข้าวในครัว ไม่อย่างนั้นก็จะเก็บตัวอยู่ในห้อง หลีกเลี่ยงแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมบ้าน กลัวว่าคนจะพูดพาดพิงถึง
เซี่ยหลานวางตัวเองชัดเจนมาโดยตลอด หล่อนตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเองดี ไม่อยากให้คนในบ้านเสียหน้า และไม่อยากให้พ่อแม่น้องชายต้องถูกคนนินทา
เวลานี้ หล่อนกำลังจะตามโจวหว่านจวินน้องสะใภ้เข้าครัว
โจวหว่านจวินห้ามหล่อนไว้ “พี่ กว่าเซี่ยเซี่ยจะมาสักทีไม่ใช่เรื่องง่าย พี่ไปพูดกับหล่อนเยอะ ๆ หน่อยดีกว่า ฉันทำกับข้าวเอง เมื่อเช้าเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เหลือแค่ผัดก็เสร็จ ฉันทำคนเดียวได้”
เซี่ยหลานพูด “ไม่เป็นไร ฉันช่วยเธอดีกว่า”
เซี่ยตงเดินผ่านมาพอดี เขาได้ยินคำพูดของพี่สาวก็รู้สึกแปลก ๆ
“พี่ ผมช่วยหว่านจวินเอง พี่ไปนั่งในห้องนั่งเล่นเถอะ” เขาหมุนตัวเซี่ยหลานไปอีกทาง
เซี่ยหลานได้แต่กลับเข้าไปในบ้าน นั่งลงข้าง ๆ หลินเซี่ย
“แม่ แม่จะไปทำงานวันไหนคะ?”
เซี่ยหลานพูด “กลับไปทำงานวันที่ห้า”
หลินเซี่ยพยักหน้า “อ้อ ถ้าอย่างนั้นวันมะรืนนี้ก็จะไปทำงานแล้วสินะคะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยที่กำลังคุยกับพวกเซี่ยไห่เอ่ยขึ้นมาว่า “เธอทำงานของเธอไปอย่างวางใจเถอะ ฉันกลับไปแล้วจะถามเหล่าเย่ให้ว่าเขาจะกลับมาวันไหน รอเขากลับมาแล้ว ฉันกับอวี้หลงค่อยไปหา”
ตอนนี้ผู้เฒ่าเซี่ยเป็นที่พึ่งของเซี่ยหลาน เป็นกำลังหนุนที่แข็งแกร่งของเธอ
เซี่ยไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พี่เซี่ยหลาน วางใจเถอะครับ อวี้หลงจะต้องฟื้นมาได้แน่นอน มีผู้อาวุโสเย่กับเย่ไป๋ พวกเราแค่ต้องเชื่อในวิชาแพทย์ของพวกเขา คอยดูแลเด็ก ๆ ให้ดีก็พอแล้ว”
“ได้” มีกำลังใจจากทุกคน จิตใจของเซี่ยหลานค่อยสงบลงได้อย่างแท้จริง รู้สึกมีหวังขึ้นมา
อาหารถูกยกมาตั้งโต๊ะ เซี่ยตงยังนำเหล้ามารับรองทุกคนอย่างหาได้ยาก
“มา เซี่ยไห่ เจียเหอ วันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก”
ได้ยินว่าลินดาเป็นผู้จัดการ
เซี่ยตงจึงรินเหล้าให้หล่อน
“น้องสาว มา พวกเราดื่มด้วยกันสักจอก”
เซี่ยตงรินเหล้าให้อย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้ลินดาปฏิเสธแม้แต่น้อย
“น้องสาว ฉันขอบคุณเธอจริง ๆ ขอบคุณที่เธอช่วยเหลือเซี่ยไห่”
ลินดา “???”
เซี่ยตงมีสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเธอไม่ปรากฏตัวขึ้นและเปิดประตูหัวใจของเขา จนถึงวันนี้เขาอาจยังไม่อภัยให้ฉันก็เป็นได้”
“อภัยให้คุณ?” ลินดามองเซี่ยตงสลับกับเซี่ยไห่อย่างงุนงง
แววตานั้นคลุมเครืออย่างมาก
“นายพูดเลอะเทอะอะไร? นี่ปีใหม่นะ อย่าให้ฉันต้องสับนายเป็นชิ้น ๆ”
เซี่ยไห่ถลึงตา เซี่ยตงตกใจจนเงียบไป
“เอาล่ะ ไม่พูดแล้วก็ได้ คำพูดอยู่ในเหล้านี้หมดแล้ว”
เซี่ยตงดื่มเหล้าหมดจอก
เซี่ยตงพูดออกมาได้ครึ่งเดียวก็ถูกเซี่ยไห่ห้ามไว้ ลินดายิ่งสงสัยกว่าเดิม
คำพูดเมื่อครู่นี้ชวนให้คนคิดไกลเกินไปแล้ว
หล่อนดูสายตาของสองคนนั้นยิ่งแฝงเลศนัยลึกซึ้ง
ลินดาเติบโตมาในฮ่องกง ทั้งยังอยู่ในแวดวงบันเทิง ดังนั้นความคิดของหล่อนจึงค่อนข้างล้ำหน้ากว่าทุกคนในที่นั้น
ทั้งยังเปิดกว้างกว่ามาก