คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 786 แม้แต่ชามข้าวของพระพุทธเจ้านางก็กล้าทำลาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 786 แม้แต่ชามข้าวของพระพุทธเจ้านางก็กล้าทำลาย

……….

มีเสียงครึกโครมดังมาจากวิหารหลัก ทำเอาทุกคนตกใจ นี่มันฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ หรือ

หงหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยขออภัยแล้วรีบจากไป ฉินหลิวซีโยนตุ๊กตากระดาษลงบนพื้น ทันใดนั้นตุ๊กตากระดาษก็หายไป วิ่งมุดไปทั่ว

ส่วนฉินหลิวซีก็ตามไปที่วิหารหลัก แน่นอนว่าทุกคนก็ตามไปดูความครึกครื้นด้วย ทันทีที่เห็นก็มองไปยังฉินหลิวซีโดยไม่รู้ตัว

บอกความจริงมา เมื่อครู่ตอนที่เจ้าจุดธูปได้ทำอะไรไว้

คางคก ‘นี่คงบ้าไปแล้วกระมัง แม้แต่ชามข้าวของพระพุทธเจ้าก็ยังกล้าระเบิด นี่มันป่วยจิตชัดๆ’

แต่เมื่อเห็นว่ากระถางธูป ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปไม่รู้ว่าระเบิดได้อย่างไร ทุกที่เต็มไปด้วยขี้เถ้า ประกายไฟบางส่วนที่ยังไม่มอดดับก็ยังคงไหม้ผ้าไหมปูโต๊ะบูชาจนมีควันลอยขึ้นมา หงหย่วนจึงไปเอาน้ำมาสาดดับไฟ

เพียงแต่ว่าความยุ่งเหยิงนี้ ทำให้รอยยิ้มอันอ่อนโยนบนใบหน้าของเขาหายไป เขาหันไปมองฉินหลิวซี

เมื่อครู่นางบอกว่าจะจุดธูป ปรากฏว่ากระถางธูประเบิด

เป็นฝีมือนาง!

แต่เขาไม่มีหลักฐาน

ฉินหลิวซีสีหน้าราวกับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “อยู่ดีๆ เหตุใดจึงระเบิดเสียได้ ธูปและกระถางธูปนี้คุณภาพไม่ดีเอาเสียเลย”

ทุกคน “…”

พวกเขารู้สึกราวกับได้ยินน้ำเสียงที่มีความยินดีบนความทุกข์ของคนอื่น

หงหย่วนที่รู้สึกเหมือนมองเห็นความจริง ‘ระเบิดได้อย่างไร เจ้ารู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ’

หงหย่วนสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ฤดูใบไม้ร่วง อากาศแห้ง จึงทำให้ระเบิดได้ง่าย”

ตายจริง เอ่ยเช่นนี้ก็ได้หรือ เช่นนั้นนางก็ต่อบทสนทนาได้ยากแล้วสิ

เป็นไปไม่ได้หรอก

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าพระพุทธเจ้ากำลังไม่พอใจอะไรเสียอีก อย่างเช่นมีใครบางคนยืมชื่อเสียงของพระองค์ไปทำเรื่องชั่วร้ายอะไรเหล่านั้น” ฉินหลิวซีเงยหน้า มองไปยังพระยูไลองค์นั้น ก็ไม่รู้ว่ามองผิดไปหรือไม่ ตอนนี้มองดูสีหน้าของพระพุทธรูป ไม่ได้ใจดีเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว กระทั่งดูดุร้ายอยู่ครู่หนึ่งด้วยซ้ำ

น่าสนใจจริงๆ

เสียงฝีเท้าทยอยกันมา

ทุกคนหันไปมอง เป็นพระภิกษุวัยกลางคนหน้าตาใจดี รูปร่างอวบอ้วนเหมือนพระสังกัจจายน์ ในมือถือลูกประคำเดินเข้ามา ข้างๆ ยังมีพระภิกษุสองสามรูปตามมาด้วย ท่าทางดูยิ่งใหญ่

“ท่านเจ้าอาวาส” หงหย่วนก้าวเข้าไปพลางโค้งลงเล็กน้อย

ฉินหลิวซีมองดูอาจารย์จื้อเฉิงผู้นั้น สบตากับเขา ดวงตาของอีกฝ่ายสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ราวกับสระน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น

อาจารย์จื้อเฉิงประนมมือโค้งให้ฉินหลิวซีเล็กน้อย เอ่ยอมิตาภพุทธแล้วหันไปมองความยุ่งเหยิงตรงหน้า

ฉินหลิวซีสังเกตเห็นว่าเขาคิ้วกระตุก

หงหย่วนได้ใช้ข้ออ้างว่าอากาศแห้งทำให้กระถางธูประเบิด

อาจารย์จื้อเฉิงถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีผู้ศรัทธาได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

“ไม่มี ตอนนั้นในวิหารไม่มีคนขอรับ”

อาจารย์จื้อเฉิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่พระพุทธเจ้าทรงคุ้มครอง พวกเจ้าหาคนมาทำความสะอาดสักหน่อย อย่าให้เกิดไฟไหม้เด็ดขาด” จากนั้นเขาก็มองไปยังฉินหลิวซีและคนอื่นๆ “หากโยมทั้งหลายต้องการจุดธูป ไม่สู้ถอยออกไปรอก่อนสักครู่”

จ้าวหมัวหมัวก้าวไปข้างหน้าก่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า “ท่านอาจารย์ ข้าเป็นหมัวหมัวคนสนิทข้างกายฮูหยินเริ่น ท่านจำได้หรือไม่ พวกเรายังเคยถูกท่านอาจารย์แตะศีรษะให้พรอยู่เลยเจ้าค่ะ”

อาจารย์จื้อเฉิงมองนางครู่หนึ่ง พนมมือทั้งสองข้าง เอ่ยว่า “อมิตาภพุทธ สีกามีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือ”

“ใช่ เป็นเรื่องใหญ่ด้วย” ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะนำเอาพระพุทธรูปมารองค์นั้นออกมาอีกครั้ง ยื่นไปไว้ตรงหน้าเขา เอ่ยว่า “ฮูหยินเริ่นได้อัญเชิญพระพุทธรูปสององค์จากวัดของท่านกลับไปบูชา สละตนรับใช้พระพุทธเจ้า ใช้ดวงวิญญาณเป็นเครื่องบวงสรวง ตอนนี้สามจิตเจ็ดวิญญาณหายไปสองจิตหกวิญญาณ ก็เลยมาไขข้อข้องใจที่วัดของท่าน ท่านอาจารย์ท่านนี้บอกว่าที่วัดของท่านไม่มีพระพุทธรูปเช่นนี้”

อาจารย์จื้อเฉิงรับพระพุทธรูปมาดู เอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “โยมบอกว่าใช้ดวงวิญญาณเป็นเครื่องบวงสรวงบูชาพระพุทธเจ้า จะเป็นไปได้อย่างไร แม้ว่าจะมีผู้ศรัทธาบางคนที่ศรัทธาอย่างเคร่งครัด แต่ก็ไม่ถึงขั้นนี้ ดูผิดไปหรือไม่”

“ก็หวังว่าพวกข้าจะดูผิดไป ก็เลยมาขอให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะสักหน่อย”

หงหย่วนเล่าสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยไปเมื่อก่อนหน้านี้อีกรอบอย่างหมดปัญญา

“อมิตาภพุทธ ฮูหยินเริ่นมาสักการะและทำการกุศลอยู่บ่อยๆ อาตมาย่อมจำได้ แต่พระพุทธรูปองค์นี้ ไม่ได้มาจากวัดของพวกเราจริงๆ” อาจารย์จื้อเฉิงมองไปยังจ้าวหมัวหมัว เอ่ยว่า “ด้านล่างพระอมิตาภพุทธะมีพระพุทธรูปองค์เล็กวางอยู่มากมายก็จริง สะดวกที่จะให้ผู้ศรัทธาอันเชิญกลับไปบูชา เนื่องจากว่าอัญเชิญไปหมดแล้ว กลุ่มใหม่ยังไม่ได้หล่อออกมา ดังนั้นจึงปล่อยว่างไว้ โยมดูผิดไปหรือไม่ หงหย่วน เจ้าไปนำพระอมิตาภพุทธะองค์เล็กเมื่อก่อนหน้านี้มาหนึ่งองค์ ที่ศาลาพระสูตรคงจะยังเหลืออยู่”

จ้าวหมัวหมัวสับสนเล็กน้อย หรือว่าเป็นพวกนางที่ดูผิดไปจริงๆ

ฉินหลิวซีแสยะยิ้มในใจ เหลือบมองจื้อเฉิงด้วยสายตาลุ่มลึก จากนั้นก็มองไปยังพระยูไลองค์นั้น สายตาดูหมิ่น มือทั้งสองข้างกอดอก ท่าทางไม่แยแสเช่นนั้น ทำให้คนคันไม้คันมืออยากอัดนาง

ไม่เคารพพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

เมื่อจื้อเฉิงเห็นฉินหลิวซีวางท่าเช่นนี้ กลับไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย สายตาราวกับกำลังมองรุ่นน้องจอมซนผู้หนึ่ง ปล่อยวางเป็นอย่างมาก

ฉินหลิวซีแทบจะกลอกตาใส่ท่าทางมีเมตตาจนเกินจริงนั้นแล้ว

หงหย่วนรีบไปรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว ในมือถือพระพุทธรูปองค์เล็กหนึ่งองค์ ความจริงแล้วฉินหลิวซีไม่จำเป็นต้องดูด้วยซ้ำก็รู้ว่าสิ่งที่เขานำมานั้นต้องเป็นพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะอย่างแน่นอน

ปรากฏว่าหลังจากที่เริ่นถิงกับหลานซิ่งได้เห็น ก็สูดหายใจเข้าด้วยความประหลาดใจ เป็นพระพุทธรูปพระอมิตาภพุทธะจริงๆ ซ้ำยังรูปร่างคล้ายกับพระพุทธรูปมารอยู่บ้าง แต่กลับไม่ใช่ ทำให้ง่ายที่จะเข้าใจผิด

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ” จ้าวหมัวหมัวสีหน้าซีด

เริ่นถิงก็สีหน้าดูแย่เช่นกัน ไม่ว่าสิ่งที่จ้าวหมัวหมัวเอ่ยนั้นจะเป็นจริงหรือเท็จ หากเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นเขาก็ได้เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ฝังทุกสิ่งที่ควรฝัง ซ่อนไว้อย่างแน่นหนาจากการสืบเสาะ แต่หากเป็นเท็จ เช่นนั้นพวกเขาก็มาเสียเที่ยวงั้นหรือ

เขามองไปยังฉินหลิวซี ทำอย่างไรดี

อาจารย์จื้อเฉิง “ไม่ทราบว่าโยมไปรู้มาจากไหนว่าสีกาเริ่นดวงวิญญาณหายไป ไม่ได้เกิดแก่เจ็บตายตามปกติ”

ฉินหลิวซี “ผู้น้อยไร้ความสามารถ พอรู้ศาสตร์ของเสวียนเหมินอยู่บ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าได้ตรวจสอบดวงวิญญาณของนางแล้ว มิฉะนั้นจะมาหาที่นี่ได้อย่างไร”

จื้อเฉิงประนมมือทั้งสองข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาพลางเอ่ยว่า “อมิตาภพุทธ วัดหนาหมัวของพวกเราไม่เคยทำพระพุทธรูปเช่นนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าสีกาเริ่นไปได้มาจากที่ไหน จึงได้คิดว่าเป็นของวัดของพวกเรา นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ”

“เอ่ยเช่นนี้หมายความว่าวัดของท่านไม่ยอมรับ” ฉินหลิวซีมองไปยังเริ่นถิง “ท่านดูเถิด ตระกูลของพวกท่านโชคร้ายแค่ไหน ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจนถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิต”

ทุกคนมุมปากกระตุก นี่ยังอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า เจ้าก็เอ่ยคำพูดเช่นนี้ ก็ไม่กลัวพระพุทธเจ้าจะสั่งสอนให้เจ้ามีความเป็นคนบ้างเลยจริงๆ

เริ่นถิงมองอาจารย์จื้อเฉิงด้วยความเย็นชา “ท่านแม่ของข้ามาบูชาพระพุทธเจ้าที่วัดของพวกเจ้า แต่กลับกลายเป็นคนที่ตายทั้งเป็น ช่างไร้สาระ หรือว่าวัดหนาหมัวของท่านเอาธงวัดพุทธมาแขวนไว้ แต่กลับทำเรื่องสกปรกโสโครก แอบทำร้ายผู้คน? เช่นนี้ข้าต้องไปแจ้งทางการให้มาตรวจสอบสักหน่อย”

มีพระภิกษุรูปหนึ่งโกรธมาก “โยม จะเอ่ยไร้สาระเช่นนี้ไม่ได้ พวกอาตมาเป็นผู้ที่ออกบวช โยมไม่มีสิทธิ์มาใส่ร้าย”

“ร้อนใจแล้วหรือ ท่านแม่เกิดเรื่องหลังจากมาอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้จากพวกเจ้า ข้ามาทวงความยุติธรรมให้กับท่านแม่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ สงสัยว่าพวกเจ้ากำลังซ่อนบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้คนก็เป็นเรื่องปกติ จะเอ่ยไร้สาระได้อย่างไร” เริ่นถิงสบถอย่างเย็นชา “บางทีอาจมีเหยื่อที่เป็นผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ ที่เป็นเหมือนกับท่านแม่ บูชาพระพุทธเจ้าจนไม่เหลือแม้กระทั่งดวงวิญญาณแล้ว”

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคิดถูก ในเมื่อท่านแม่ถูกพระพุทธรูปมารองค์นี้หลอกล่อให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างบ้าคลั่ง เช่นนั้นไม่แน่อาจจะมีผู้ถูกกระทำคนอื่นๆ อีก?

อย่างไรเสียนางสามารถอัญเชิญพระพุทธรูปสององค์ได้ คนอื่นก็อัญเชิญได้เช่นกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท