คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 789 หุบเขาชั่วร้าย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 789 หุบเขาชั่วร้าย

……….

ฉินหลิวซีมองพระภิกษุเฒ่าที่นั่งอยู่หน้าตะเกียงน้ำมันด้วยความประหลาดใจ รูปร่างหน้าตาของเขาแทบจะเหมือนกับจื้อเฉิงที่กำลังดื่มสุรากินเนื้ออยู่ข้างนอกทุกประการ

เพียงแต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้ดูแก่ชรามากแล้วอย่างเห็นได้ชัด อีกฝ่ายนั่งอยู่บนหญ้าแห้ง โดยมีผ้าห่มบางๆ คลุมอยู่ข้างหลัง เขาหลังค่อม ไออยู่บ่อยๆ ซ้ำบนร่างกายยังมีบุญกุศลแล้วก็มีบาปกรรม ขัดแย้งกันเป็นอย่างมาก

ถัดจากพระภิกษุเฒ่า ยังมีพระภิกษุอีกสามสี่รูป ซึ่งมีเวรกรรมติดตัวเช่นกัน ไม่ใช่บาปชีวิต แต่เป็นผลกรรมที่แฝงไว้ด้วยบาปชีวิต

ทุกคนล้วนมีสีหน้าห่อเหี่ยว เสื้อผ้าเก่ายับเยิน มือทั้งสองข้างแห้งแตก เล็บดำ เต็มไปด้วยดินโคลนสกปรก

ฉินหลิวซีมองดูตะกร้าไม้ไผ่ขนาดใหญ่หน้ากระท่อม ซึ่งมีโคลนที่มีกลิ่นคาวดินอยู่บ้าง และถัดจากกระท่อมก็เป็นบ้านดินหลังหนึ่ง แต่ละชั้นวางที่อยู่ในนั้นมีพระพุทธรูปมารที่ถูกปั้นและทาสีเรียบร้อยแล้ววางอยู่

ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ดังนั้นพระพุทธรูปเหล่านี้ถูกปั้นขึ้นโดยพระภิกษุทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้างั้นหรือ

นี่คือที่มาของบาปกรรมของพวกเขาหรือ

พระภิกษุเฒ่าผู้นั้นดูเหมือนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของฉินหลิวซี เอ่ยว่า “มีผู้มีบุญมาแล้วหรือ”

ดวงตาขุ่นมัวของเขามองขึ้นพลางอธิษฐาน หรือว่าการชี้นำของพระพุทธเจ้าจะเป็นเวลานี้ มีผู้ที่มีเมตตาอันใหญ่หลวงมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน ก็คือผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเช่นนั้นหรือ

พระภิกษุทั้งหลายรู้สึกมึนงงเล็กน้อย มองไปตามสายตาของเขา แต่กลับไม่เห็นสิ่งใดเลย รู้สึกหนักใจเล็กน้อย หรือว่าท่านเจ้าอาวาสจะป่วยจนเห็นภาพหลอนแล้ว

พระภิกษุเฒ่ากลับรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก มือทั้งสองข้างยันพื้นแล้วเคลื่อนตัวเล็กน้อย

ใช่แล้ว เคลื่อนตัว

รูม่านตาของฉินหลิวซีหดลง ถอดยันต์พลางตัวออก เผยให้เห็นร่างของนาง

นอกจากพระภิกษุเฒ่าแล้ว คนอื่นๆ ต่างพากันอ้าปากค้าง

นี่เป็นคนหรือผี?

“ท่านผู้มีบุญ” พระภิกษุเฒ่าเห็นรูปร่างหน้าตาและร่างกายที่เต็มไปด้วยแสงสีทองแห่งบุญกุศลของฉินหลิวซีอย่างชัดเจน ความตึงเครียดที่มีมาตลอดก็ได้ผ่อนคลายลงโดยสิ้นเชิง น้ำตาไหลออกมา เป็นผู้มีเมตตาอันใหญ่หลวงมาช่วยให้พ้นทุกข์อย่างแน่นอน

“ท่านเจ้าอาวาสผู้เฒ่า” พระภิกษุข้างกายพากันเอ่ยเกลี้ยกล่อม เพียงแต่พวกเขาไม่ได้ลุกขึ้น เคลื่อนตัวไปมาอยู่บนพื้นเช่นกัน

ฉินหลิวซีดวงตาเฉียบคม ก้าวไปข้างหน้า ร่างผอมสูงเข้าไปในกระท่อม เงายาวสะท้อนภายใต้แสงตะเกียงน้ำมัน นางเหลือบมองเสื้อคลุมของพระภิกษุเฒ่า นั่งยองๆ “ท่านต่างหากที่เป็นท่านอาจารย์จื้อเฉิงใช่หรือไม่”

พระภิกษุเฒ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้า “อาตมามีนามพุทธว่าจื้อเฉิง ยินดีที่ได้พบผู้มีบุญ”

“หยุดเรียกว่าผู้มีบุญอะไรนั่นได้แล้ว ข้าเป็นศิษย์อารามชิงผิง มีนามเต๋าว่าปู้ฉิว” ฉินหลิวซีมองไปยังตำแหน่งขาทั้งสองข้างของเขา “ขาของท่าน?”

อาจารย์จื้อเฉิงมือสั่น ยกจีวรขึ้น เผยให้เห็นขาทั้งสองข้าง ภายใต้กางเกงที่สวมอยู่ตั้งแต่เข่าลงไปนั้นว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีแล้ว

ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก มองไปยังพระภิกษุทั้งหลาย ทุกคนพากันยกจีวรขึ้น ขากางเกงทั้งสั้นทั้งยาว ล้วนถูกตัดทั้งหมด

พรึ่บ

มีกลุ่มไฟลุกขึ้นในดวงตาของนาง นั่นคือความโกรธ

ฉินหลิวซีพยายามระงับความโกรธในใจ เอ่ยว่า “เป็นฝีมือของจื้อเฉิงที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นหรือ”

จื้อเฉิงเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว”

“บอกได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

พระภิกษุรูปหนึ่งออกไปข้างนอกแล้วเอาหม้อดินแตกๆ มา หยิบชามเครื่องปั้นดินเผาสองใบ เทน้ำสองชาม ชามหนึ่งให้ฉินหลิวซี อีกชามหนึ่งให้พระภิกษุเฒ่า

คนนอกเล่ากันว่าวัดหนาหมัวนั้นเป็นการสร้างขึ้นโดยจื้อเฉิงกับฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลพ่อค้าผู้นั้น ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นเขาที่ดูแลการก่อสร้าง สร้างวัดหนาหมัวขึ้นมาในหมู่บ้าน เริ่มต้อนรับผู้ศรัทธามาบูชาพระพุทธเจ้า รับลูกศิษย์

น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ อยู่ได้ไม่นาน ก็มีลูกศิษย์ผู้ชั่วร้ายมาประจำอยู่ที่วัดหนาหมัวแห่งนี้ มีนามพุทธว่าฮุ่ยเฉวียน เขารูปร่างหน้าตาคล้ายกับจื้อเฉิงแปดส่วน ฉลาดเป็นอย่างมาก มีพรสวรรค์ในการเข้าใจในพระธรรมที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกัน จื้อเฉิงจึงได้รับเขาเป็นลูกศิษย์คนโตสายตรง

จื้อเฉิงมาที่นี่เดิมทีก็เพื่อเผยแผ่พระธรรมเทศนา เมื่อรับลูกศิษย์สายตรง ทั้งอีกฝ่ายก็ยังขยันขันแข็งและฉลาดหลักแหลม เขาจึงได้มีจิตใจตั้งมั่นที่จะอุทิศตนเพื่อบรรยายธรรมะ เรื่องเล็กใหญ่ในวัดจึงมอบให้ฮุ่ยเฉวียนเป็นคนจัดการ หลายปีมานี้มีลูกศิษย์อีกหลายคนมาเลื่อมใสศรัทธา และบรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ล้วนเชื่อฟังฮุ่ยเฉวียนเพียงผู้เดียว

ปีนี้ก็ไม่รู้ว่าฮุยเฉวียนไปเอาพระพุทธรูปมาจากไหน เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องการประดิษฐานไว้ที่วิหารรอง รับควันธูปและการกราบไหว้บูชาจากผู้ศรัทธา

แต่จื้อเฉิงกลับไม่เคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้ามีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้ ซ้ำยังเห็นว่าพระพุทธรูปองค์นั้นมีพลังชั่วร้ายที่ยากจะบอกได้ ย่อมไม่ยินยอม แต่ฮุ่ยเฉวียนกลับไม่ฟัง ในเดือนหก ไม่เพียงแต่ยืนกรานที่จะประดิษฐานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นไว้ที่วิหารรอง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้ผู้ศรัทธาสรรเสริญความศักดิ์สิทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้ ซ้ำยังปั้นพระพุทธรูปองค์เล็กวางไว้ที่นั่นไม่น้อย ให้ผู้ศรัทธาอัญเชิญกลับไปบูชา

จื้อเฉิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เขายังไม่ทันได้จัดการกับฮุ่ยเฉวียน อีกฝ่ายกลับวางยาเขาและบรรดาพระภิกษุที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง จากนั้นก็ย้ายไปขังไว้ที่หุบเขาแห่งนี้

เมื่อมาถึงที่นี่ จื้อเฉิงจึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายควบคุมวัด แอบทำอย่างลับๆ มานานแล้ว อ้างว่าเพื่อซ่อมแซมวิหารรอง จากนั้นจึงได้มีการสร้างเส้นทางลับขึ้นที่นั่นเชื่อมต่อไปยังหุบเขา

และหลังจากที่กักขังพวกเขา ฮุ่ยเฉวียนก็แปลงร่างกลายเป็นเขา

“กักขังพวกท่านไว้ที่นี่ ก็เพื่อปั้นพระพุทธรูปมารหรือ” ฉินหลิวซีมองไปที่ตะกร้าดินด้วยความรังเกียจ “ใช้ดินจากที่ไหน”

จื้อเฉิงเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้ว่าตอนที่ท่านมาได้เห็นหลุมศพหรือไม่ ดินที่ใช้ก็คือดินที่นั่น แฝงไว้ด้วยพลังหยินอันชั่วร้าย พระพุทธรูปที่ปั้นออกมาด้วยดินเช่นนี้ เมื่อผู้ศรัทธาบูชาเป็นเวลานานก็จะได้รับพลังหยินและมีความอารมณ์ร้าย หากถูกส่งสัญญาณยั่วยุ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ รวมถึงสละตนด้วย”

เขาเอ่ยพลางมองดูมือทั้งสองข้างที่สกปรกของตัวเอง เอ่ยว่า “และบาปกรรมเหล่านี้ อาตมาก็ได้ทำด้วยมือของตัวเอง ตายไปก็ชดใช้ไม่หมด”

พระภิกษุหนุ่มเอ่ยอย่างเกลียดชังว่า “ท่านเจ้าอาวาส หากไม่ใช่เพราะฮุ่ยเฉวียนเอาคนเหล่านั้นมาข่มขู่ ท่านก็ไม่มีทางเต็มใจที่จะร่วมทำบาป”

เขามองไปยังบ้านไม้ที่อยู่ไกลออกไป สายตาทั้งสงสารและโศกเศร้า

“ใช่แล้ว ฮุ่ยเฉวียนโจรชั่วผู้นั้นกลัวว่าพวกเราจะหนี จึงได้ให้คนตัดขาของพวกเรา” อีกคนหนึ่งลูบขาอันว่างเปล่าของตัวเอง กัดฟันพลางเอ่ยว่า “เขาจะต้องตกนรก”

“ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นว่าบนร่างกายของพวกเขาสะอาดสะอ้าน ไม่มีบาปกรรม ที่แท้ก็ล้วนเป็นพวกท่านที่แบกรับ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียดสี

“พระพุทธรูปเหล่านี้เป็นสิ่งชั่วร้าย ล่อลวงจิตใจคน หากผู้ศรัทธาเกิดเรื่องขึ้นเพราะมัน ย่อมเป็นพวกเราที่แบกรับ ล้วนปั้นขึ้นมาด้วยมือของพวกเราเอง พวกเขากลับไม่ได้แตะต้องอะไรเลย เพียงแต่บูชาพระพุทธรูปที่อยู่ด้านนอก ย่อมสะอาดอยู่แล้ว”

ฉินหลิวซีถามอีกว่า “แล้วศพในหลุมศพข้างหน้านั่นมาจากไหน”

“บางคนก็เป็นคนขุดอุโมงค์ลับ บางคนก็เป็นสตรีที่ถูกลักพาตัวมาแล้วเสียชีวิต บางคนก็ได้มาจากหมู่บ้านหรือไปเอามาจากหลุมศพหมู่มาโยนทิ้งไว้”

ฉินหลิวซีถามด้วยความตกใจ “เหตุใดจึงต้องนำศพจากที่อื่นมาเติมหลุมศพ”

“ประการแรกเพื่อหล่อเลี้ยงดินหยินและแมลงศพ ประการที่สองเพื่อหล่อหลอมพื้นที่ชั่วร้าย แม้แต่พระพุทธรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น เพื่อให้มีพลังหยินที่รุนแรง ล้วนนำไปวางไว้ที่นั่นสักระยะหนึ่ง” จื้อเฉิงหลับตาลงเล็กน้อย ใบหน้าแก่ชราเหลืออดและหมดปัญญา

ฉินหลิวซีหน้าเขียว นี่มันหุบเขาชั่วร้ายอะไรกัน ผู้บำเพ็ญสายมารที่อยู่เบื้องหลังคิดจะทำอะไร

“สตรีที่ถูกลักพาตัวมาเอาไปทำอะไร และเป็นฝีมือของพวกจื้อเฉิงด้วยหรือ”

ขณะที่จื้อเฉิงกำลังจะตอบ ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือดังมาจากทางด้านบ้านไม้บนเขา

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท