บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1463 ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1463 ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ

ขณะที่พูด ค้อนเหล็กก็ปรากฏขึ้นในมือของเที่ยอวิ๋นไห่

ค้อนเหล็กมีความยาวเพียงสี่ฉื่อ สีดำสนิท และมีโครงร่างที่ค่อนข้างหยาบ ดูธรรมดา แต่กลับให้ความรู้สึกสง่างาม ราวกับการหวนคืนสู่ความเรียบง่ายอีกครั้ง

เมื่อมันถูกถือไว้ในมือของเที่ยอวิ๋นไห่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ราวกับพัดใบธูปฤๅษี รัศมีอันสง่างามพลันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผิวสีทองแดง เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หนาแน่น ควบคู่ไปกับร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเจดีย์เหล็ก ส่งให้ร่างของเขาเปล่งรัศมีสง่างามยิ่งออกมา

เมื่อถึงเวลาลงมือ เที่ยอวิ๋นไห่ก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เขาเคลื่อนที่ผ่านความว่างเปล่าก่อนที่จะทุบค้อนลงไปที่หัวของฉือเหลียน

โครม!

สวรรค์และปฐพีมืดลงทันทีที่เขาเหวี่ยงค้อน คุนเผิงคำรามลั่น มันถูกล้อมด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีเข้มจำนวนนับไม่ถ้วน มันคำรามและบดขยี้ความว่างเปล่าให้กลายเป็นผง สร้างเหตตุการณ์ที่น่าตกตะลึงอย่างมาก

“มันจะมากเกินไปแล้ว!” ใบหน้าของฉือเหลียนมืดลง นับตั้งแต่เที่ยอวิ๋นไห่และปราชญ์เฒ่าปรากฏตัวขึ้น ทั้งสองคนมักจะเพิกเฉยพวกเขาด้วยท่าทีสูงส่ง และตอนนี้เที่ยอวิ๋นไห่ยังโจมตีโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว สิ่งนี้ทำให้ฉือเหลียนโกรธมาก

ขณะที่พูด ร่างของเขาก็เปล่งประกาย ในขณะที่โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีแดงเข้มที่ห่อหุ้มร่างกายดิ้นสะบัดอย่างดุเดือด ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นขวานสีแดงเข้ม เข้าปะทะกับค้อนของเที่ยอวิ๋นไห่

โครม!

เสียงระเบิดของการปะทะกันดังก้องไปทั่ว พลังศักดิ์สิทธิ์พัดกระจายออกไปราวกับพายุ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น เช่นเสียงคร่ำครวญของเทพอสูร เลือดของทวยเทพหลั่งริน มหาเต๋าครวญคราง และความสับสนวุ่นวายอื่น ๆ อีกมากมาย

ร่างของฉือเหลียนซวนเซถอยกลับไปหลายสิบก้าว ในขณะที่ใบหน้าซีดขาวลงในพลัน

“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าเป็นคนกักขฬะที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ข้าเชื่อเพียงค้อนที่อยู่ในมือเท่านั้น ฉือเหลียน แค่เจ้าคนเดียวมันไม่พอหรอก พวกเจ้าทุกคนเข้ามาพร้อมกันเลย” หลังจากโจมตีสำเร็จ เที่ยอวิ๋นไห่ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างอาจหาญ ผิวหนังสีทองแดงที่ปกคลุมร่างกายพลุ่งพล่านด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เหวี่ยงค้อนอีกครั้งอย่างดุร้ายยิ่ง

“สู้ด้วยกัน! เราต้องไม่ปล่อยให้พวกมันทำลายค่ายกลได้โดยเด็ดขาด!” ฉือเหลียนกัดฟันขณะตะโกนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและปะทะกับเที่ยอวิ๋นไห่อีกครั้ง

ความแข็งแกร่งของเที่ยอวิ๋นไห่ผู้นี้น่ากลัวเกินไป เขาเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงยิ่งในเขาเทพพยากรณ์ เชี่ยวชาญทักษะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงมากมาย และฉือเหลียนก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะต่อกรกับคนผู้นี้เพียงลำพัง

ขุนพลสังหารเทพอีกหกคนได้สะสมพลังเตรียมพร้อมไว้แต่ต้นแล้ว พวกเขาจึงพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเล ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้

ชิงโม่ หวงจง และจินกวงเริ่มเคลื่อนไหว เพื่อเข้าร่วมผนึกกำลังกับฉือเหลียนจัดการเที่ยอวิ๋นไห่ ในขณะที่เฮยหลิง ไป๋คู และหลานฉ่ายพุ่งเข้าหานายท่านสี่ของเขาเทพพยากรณ์ ปราชญ์เฒ่า อย่างพร้อมเพรียง

“ฮึ่ม! คิดจะแยกโจมตีอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าทุกคนมานี้!” ทันใดนั้น เที่ยอวิ๋นไห่ก็เหวี่ยงค้อนเหล็กเพื่อบังคับให้ฉือเหลียนกลับมา จากนั้นร่างของเขาก็เปล่งประกายขึ้น ในขณะที่ค้อนขนาดมหึมาถูกทุบออกไปนับครั้งไม่ถ้วนในทันที ปิดล้อมขุนพลสังหารเทพที่เหลือทั้งหมดไว้ภายใต้การโจมตีของตน!

ความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากเพียงลำพังและการดูถูกผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วทั้งโลกนี้ ทำให้เขามีกลิ่นอายของอำนาจสูงสุดอันน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

“รนหาที่ตาย!”

“สารเลว! เจ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

การกระทำที่หยิ่งผยองอย่างยิ่งของเที่ยอวิ๋นไห่ ทำให้ขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดโกรธเคืองอย่างยิ่ง พวกเขาหันมาโจมตีอย่างไร้ความเมตตา และใช้ไพ่ตายอย่างไม่มีออมมือ

ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสวรรค์และโลกเต็มไปด้วยรูปปั้นเทพเรียงทอดยาวไปหลายพันลี้ การต่อสู้อย่างดุเดือดกวาดทั่วสวรรค์ทั้งเก้า จนสวรรค์ โลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จมลงในความมืดมิด

นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างเหล่าทวยเทพ ที่เกินกว่าขอบเขตของสามภพแล้ว ความสามารถทุกอย่างที่พวกเขาใช้นั้น ล้วนเป็นมรดกสืบทอดมาจากวิถีแห่งสวรรค์สูงสุดของเหล่าทวยเทพ ทำให้เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ท้าทายสวรรค์เพียงใด

ยามนี้ ทั่วทั้งทวีปเนตรสวรรค์ต่างได้รับผลกระทบ ท้องฟ้ามืดมิด แผ่นดินมืดมน ความว่างเปล่าถูกทำลาย ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หายลับฟ้า โลกเริ่มพังทลาย ฟ้าฝนร้องคำรามปรากฏสายฟ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง พลังศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลเข้ามาสร้างความปั่นป่วนสะเทือนโลก!

สิ่งมีชีวิตนับล้านบนทวีป ไม่ว่าจะมีระดับการฝึกฝนเท่าใด ต่างหวาดกลัวมากจนถึงจุดที่ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลง และเริ่มหลบหนีไปทีละคน ด้วยความหวังที่ว่าจะสามารถหนีไปจากสถานที่วุ่นวายและปั่นป่วนนี้ได้โดยเร็วที่สุด

สหายขี้ขลาดบางคนตกใจจนหมดสติ บ้างก็ปัสสาวะราดด้วยความหวาดกลัวก่อนที่จะเป็นลมไป เกิดเป็นเหตุการณ์วุ่นวายโกลาหลขึ้นทั่วทั้งทวีป

ทั้งหมดนี้เกิดจาก ‘สงครามทวยเทพ’!

……

“หยาบคาย กักขฬะ ไร้อารยธรรม…. ศีลธรรมโลกเสื่อมลงทุกวัน ศีลธรรมเสื่อมถอย พวกเขารู้เพียงวิธีต่อสู้และฆ่าฟันเท่านั้น ช่างไม่มีมนุษยธรรม!” แต่ก็ยังมีอยู่บางคน ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ตัวอย่างเช่น ชายชราผมขาวในชุดคลุมขงจื๊อผู้นี้ที่ยังถอนหายใจด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ

คนผู้นี้คือศิษย์คนที่สี่ของเขาเทพพยากรณ์ ผู้ได้รับฉายาว่า ปราชญ์เฒ่า ส่วนนามที่แท้จริงถูกหลงลืมไปนานแล้ว เพราะเขาคุ้นเคยกับตำราทุกเล่มตั้งแต่สมัยบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน และยังชอบบอกเล่าความหมายอันลึกซึ้งด้วยถ้อยคำสั้น ๆ จึงได้รับสมญานามว่า ปราชญ์เฒ่า

แต่หลังจากนั้น ชายชราก็ปิดปาก มือไพล่หลังก่อนจะลอยลงมาอย่างช้า ๆ นอกค่ายกลขจัดเทพ เขาเงยหน้าขึ้นมองเนตรทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้า และอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วสีขาวดุจหิมะ ก่อนจะพึมพำ “ถ้าข้าไม่ลงแรง คงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำลายค่ายกลนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าคงต้องหยาบคายสักครั้ง”

ขณะที่พูด เขาก็พับแขนเสื้อขึ้นแล้วเหน็บม้วนคัมภีร์ในมือไว้ที่เอว จากนั้น ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเริ่มท่องกวีเสียงดัง!

“คมดาบศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าไปที่ใด ความชั่วร้ายทั้งหมดล้วนพินาศสิ้น เมื่อกระบี่ถูกวาดออกไป วิญญาณชั่วร้ายต่างต้องหวาดกลัว เพียงนามของข้าเท่านั้นที่ดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก เซียนและเทพนั้นพินาศสิ้น” ท่ามกลางเสียงทุ้มต่ำ คำพูดที่วิจิตรงดงามมากมาย ได้กลายเป็นอักขระยันต์ทอประกายศักดิ์สิทธิ์ ก่อตัวเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีใครเทียบได้พุ่งใส่ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงจากแดนเทพโบราณก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง หลังจากรับโจมตีครั้งนี้! นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าบทสวดของปราชญ์เฒ่าผู้นี้น่าทึ่งมากเพียงใด!

เมื่อหลียางเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาและพูดด้วยความโกรธว่า “ทุกคน อย่าหัวเราะเยาะเขาเลยนะ พี่สี่ของข้าคนนี้เป็นหนอนหนังสือ ปกติเขาชอบอ่านหนังสือโบราณ คลั่งไคล้มันมากเกินไป”

พวกเขาทั้งหมดจะกล้าหัวเราะเยาะปราชญ์เฒ่าได้อย่างไร? เพียงบทกวีง่าย ๆ ยังครอบครองพลังทำลายล้างโลกตั้งขนาดนี้ ในสามภพจะมีสักกี่คนกันที่สามารถทำเช่นนี้ได้?

“ใช้คำพูดเพื่อสร้างยันต์ แล้วใช้ยันต์เพื่อบรรลุเต๋า ก่อนที่จะใช้เต๋าเชื่อมโยงเทพ คุณชายสี่คู่ควรกับชื่อเสียงของเขาจริง ๆ เราละอายใจที่ด้อยกว่าเขายิ่งนัก” หยวนเชอจากตำหนักเต๋าหนี่หวา ถอนหายใจด้วยความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ

คนอื่น ๆ ก็พยักหน้ารับเช่นกัน

เมื่อเฉินซีเห็นดังนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ นี่คือศิษย์พี่สี่ของเขา!

“อย่าได้ประมาท เราควรเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม และคอยหาโอกาสที่จะหลบหนี” หลียางร้องเตือน ในตอนนี้ พวกเขายังคงติดอยู่ภายในค่ายกล แต่พลังของเนตรทัณฑ์สวรรค์ที่ปราชญ์เฒ่าจัดการให้ ก็ช่วยลดแรงกดดันที่พวกเขาเผชิญได้อย่างมาก

หัวใจของทุกคนสั่นไหว พวกเขาไม่กล้าลังเลหรือหย่อนยานอีกต่อไป

“ไม่ บทกวีนี้ยังมีจิตสังหารไม่เพียงพอ รัศมีของมันก็ยังไม่แกร่งมากพอ” ภายนอกค่ายกล ปราชญ์เฒ่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อสังเกตเห็นว่าพลังโจมตีเมื่อครู่ไม่สามารถเปิดค่ายกลออกได้ ชายชราจึงเริ่มท่องบทกวีอีกครั้ง

“กำแพงม่านแสงปรากฏเบื้องหน้ากระบี่สีเขียวร่ายรำ กวาดล้างบริเวณทุกสารทิศให้ปราชัย อาจหาญฉายแสงข้ามท้องฟ้าดุจดาวตก ส่องโลกให้สว่างราวกับดวงจันทร์อันสุกใส” คลื่นแห่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวมากมายได้กลายมาเป็นแถวอักขระยันต์ เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า ให้กำเนิดนิมิตดาบที่ยิ่งใหญ่ทะยานขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า ส่องสว่างไปทั่วโลก

พวกมันทั้งหมดต่างพุ่งเป้าไปที่ค่ายกลขจัดเทพ!

โครม!

ค่ายกลส่งเสียงดังก้องอย่างรุนแรง ในขณะที่สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตัดออกเป็นสองส่วนและหายไป อย่างไรก็ตาม ค่ายกลยังคงไม่ถูกทำลายลง

ทันใดนั้น จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกมาจากเนตรทัณฑ์สวรรค์บนฟ้า โจมตีปราชญ์เฒ่าตรงหน้า

“ไอ้หยา! พลังสวรรค์ไม่อาจหยั่งรู้ได้! ทำไมมาทำให้ปราชญ์อย่างข้าต้องลำบากด้วย? ไป! ไปให้พ้น!” ปราชญ์เฒ่าผู้น่าสงสารกรีดร้อง ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเทียบเคียงพลังของโลกทั้งใบ ที่อัดแน่นในแขนเสื้อให้กวาดออก จัดการกับพลังทำลายล้างไปอย่างเงียบ ๆ ไร้สุ้มเสียง!

ปราชญ์เฒ่าคว้าโอกาสนี้ตะโกนเสียงดังทันที “กระบี่! จงมา!”

สิ้นสุดเสียงพูด กระบี่ไร้รูปร่างก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศ เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นสีสันของโลกก็เปลี่ยนไป ในขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังและไร้ขอบเขต พุ่งเข้าสู่กระบี่ไร้รูปร่าง

ในความว่างเปล่าที่มืดมนและคลุมเครือนี้ มีคำพูดปรากฏอยู่บนกระบี่มากมาย บ้างคำจารึกเป็นทองสัมฤทธิ์บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน บ้างเป็นคำจารึกโบราณและแปลกประหลาด บ้างเป็นคำของเทพอสูรที่มีความหมายคลุมเครือและลึกลับ บ้างเป็นเครื่องหมายปริศนาโกลาหลวุ่นวายที่มีความหมายอันไร้ขอบเขต…

คำโบราณต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของคำว่า ‘กระบี่’ ที่มีความหมายและช่วงเวลาที่ต่างกัน พวกมันถูกตรึงไว้ด้วยพลังแห่งประวัติศาสตร์และกาลเวลา ทันทีที่ปรากฏ พวกมันทั้งหมดก็ล้อมรอบกระบี่ไร้ลักษณ์เอาไว้

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา กระบี่ที่ไร้รูปร่างนี้ดูราวกับว่ามันได้รับจิตวิญญาณ มันระเบิดรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ขอบเขต ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขย่าดวงดาวนับพันล้านดวง!

ช่างเป็นแรงกดดันที่หาได้ยากยิ่ง!

แม้แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในภพเซียน ก็ยังสังเกตถึงพลังกระบี่ที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งนี้ กำลังแผ่ซ่านไปทั่วท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต!

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ทำให้ปราชญ์เฒ่าต้องทนทุกข์ทรมาน จากการสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเซียวจนน่ากลัวในขณะที่ดวงตาหรี่ลง ราวกับว่าพลังถูกดึงออกไปเกือบหมด

“ข้าไม่ได้ลงมาจากภูเขาหลายปีแล้ว ช่วงเวลาที่บ้าคลั่งและโง่เขลาช่างหาได้ยากนัก….” ชายชราไออย่างแรงในขณะที่ถือกระบี่ไร้รูปร่าง แต่ปราชญ์เฒ่าก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ไม่! ไอ้เฒ่านั่น ถึงกับกล้าสละอายุขัยหมื่นปี ใช้ประกาศิตกระบี่ขงจื๊อจริง ๆ ! หยุดเขาเร็วเข้า!” เสียงอันโกรธเกรี้ยวของฉือเหลียนดังก้อง มาจากบนท้องฟ้า

พริบตาต่อมา เงาสามร่างที่เต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ฉีกทะลุท้องฟ้า พุ่งตรงไปทางปราชญ์เฒ่า เป็นชิงโม่ หลานฉ่าย และไป๋คู

เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง เนตรทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้าก็ดูเหมือนจะโกรธเคืองเช่นกัน มันเรียกวงล้อสีดำที่น่าสะพรึงกลัว มืดสนิท และสะเทือนจิตวิญญาณ ให้ตรงเข้าหาปราชญ์เฒ่า

วงล้อชะตาวิถีสวรรค์!

ข้อจำกัดทำลายล้างขั้นสูงสุด ตัวแทนความยิ่งใหญ่แห่งเต๋าสวรรค์ของสามภพ!

“ศิษย์น้องสี่ เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” เสียงตะโกนของเที่ยอวิ๋นไห่ดังลงมาจากเหนือเมฆ ตามด้วยค้อนเหล็กที่ฉีกทะลุท้องฟ้า ด้วยความตั้งใจที่จะหยุดชิงโม่ หลานฉ่าย และไป๋คู

“ไม่เลย ไม่เลย ข้าไม่อาจคุมความตั้งใจที่จะจัดการเรื่องนี้ได้ แล้วข้าจะบ้าได้อย่างไร? คอยดูข้าสังหารปีศาจเหล่านี้และคืนความสงบสุขให้กับโลกเถิด!” ปราชญ์เฒ่าดูไม่ได้กังวลเลยสักนิด ชายชราส่ายหัวแล้วพูดอย่างพอใจ ขณะที่พูด มือก็ยกกระบี่ไร้ลักษณ์ขึ้น แล้วกวาดออกไป

แกรก!

ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ถล่ม แผ่นดินแยกออกจากกัน ทุกสิ่งพลันสูญสลาย!

ก่อนที่ขุนพลสังหารเทพทั้งสาม จะมีโอกาสขัดขวาง ก็ถูกดาบนี้ตัดผ่าครึ่ง สังหารลงอย่างเงียบเชียบและไร้เสียง!

โดยไม่มีแม้แต่การต่อต้าน!

โครม!

วงล้อชะตาวิถีสวรรค์แตกสลายกลายเป็นผง

โครม!

เสียงคำรามที่รุนแรงดังก้องขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลขจัดเทพถูกทำลายอย่างสมบูรณ์!

กระบี่เดียว ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท