บทที่ 842 โหราจารย์คนใหม่
……….
สุนทรพจน์ของซุนเสวียนจีเป็นเหมือนคำปราศรัยของผู้นำที่ว่างเปล่าและหลอกลวง นอกจากพวกเด็กโง่ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและยังขาดประสบการณ์ ก็ไม่มีใครฟังและยิ่งไม่มีใครให้ความสนใจ
จงหลีสละสิทธิ์ ยิ่งไม่ต้องพูดอะไรมาก นางมีคะแนนเสียงถึงสามสิบเสียง ฝ่ายที่โชคร้ายมีความจงรักภักดีมากอยู่แล้ว
หยางเชียนฮ่วนก็มุ่งแต่จะโอ้อวดภาพลักษณ์ เขาคิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถพิชิตศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหมดได้โดยอาศัยสมองส่วนหลัง
ซ่งชิงโน้มน้าววาดฝันและให้สัญญาแล้ว แต่เขามุ่งเป้าเพียงแค่กลุ่มของตนเองเท่านั้น นั่นก็คือ นักเล่นแร่แปรธาตุ
เคล็ดวิชาเล่นแร่แปรธาตุเป็นเพียงแขนงหนึ่งของขอบเขตโหร และไม่ใช่โหรทุกคนที่จะหมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งการใช้เงินทั้งหมดไปกับการสนับสนุนการทดลองเล่นแร่แปรธาตุ คนอื่นก็ต้องกังวลเกี่ยวกับการที่พวกเจ้าทำให้เงินในคลังของสำนักโหราจารย์หมดไป
เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับการกลั่นยาอายุวัฒนะ จะทำอย่างไรกับการซื้อยา ค่าอาหารและเครื่องนุ่งห่มเล่า?
มีเพียงคำสัญญาของฉู่ไฉ่เวยเท่านั้นที่ผิวเผินฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกและไร้สาระ แต่ในความเป็นจริงกลับครอบคลุมกว้างที่สุดและมีพลังจูงใจมากที่สุด
เป็นมนุษย์ก็ต้องกิน อาหารเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า มนุษย์ไม่มีทางต่อต้านอาหารอันเลิศรส แม้แต่ซ่งชิงที่หมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุก็ยังบ่นทุกวันว่าอาหารที่ครัวของสำนักโหราจารย์ปรุงยังอร่อยไม่พอไม่ใช่รึ?
ดังนั้นต่อหน้าเหล่าโหรจึงหัวเราะเยาะศิษย์น้องไฉ่เวย แต่ตัวส่วนก็ลงคะแนนเสียงให้นาง
“เจ้าโกง!”
หยางเชียนฮ่วนไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ จึงตะโกนเสียงดังว่า “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าต้องร่วมมือกันโกงกับฝ่าบาทแน่นอน จะมีคนเลือกศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวยได้อย่างไร?! ให้ศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวยเป็นโหราจารย์ สำนักโหราจารย์ของข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แม้แต่แบกรับชีวิตของสรรพสัตว์นางก็ยังทำไม่ได้”
“ข้าเสนอให้มีการลงคะแนนเลือกใหม่อีกครั้ง!”
สวี่ชีอันกล่าวเสียงเบาว่า “ข้อเสนอไม่มีผล กระบวนการลงคะแนนยุติธรรมและเปิดเผย ไม่มีการโกง ทุกคนเป็นผู้ลงคะแนนเอง พวกเจ้าเลือกใครย่อมรู้แจ้งแก่ใจดี”
เหล่าโหรชุดขาวมองหน้ากันและไม่พูดอะไร
“หรือว่าคำสัญญาของข้าไม่ดีเท่าศิษย์น้องไฉ่เวยอย่างนั้นรึ? หรือว่าพวกเจ้าไม่อยากใช้เงินเป็นกอบเป็นกำ? ตกลงพวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ต้องการอะไร? ข้าคิดว่าหากเมื่อครู่เจ้าพูดว่า “ถ้าทุกคนเลือกข้า ข้าจะมอบภรรยาให้พวกเจ้าทุกคน” เช่นนั้นตำแหน่งโหราจารย์ถ้าไม่ใช่ของเจ้าจะเป็นของใครไปได้…สวี่ชีอันตำหนิเงียบๆ
หยางเชียนฮ่วนที่สวมหมวกคลุมหันมาเผชิญหน้ากับ ‘พรรคสมองส่วนหลัง’ แล้วกล่าวตวาดด้วยความโกรธว่า “ไอ้พวกคนทรยศ สรุปแล้วใครกันแน่ที่เลือกศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวย”
เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดหกสิบหกคน แต่เขาได้รับคะแนนเสียงเพียงสี่สิบเสียงเท่านั้น ย่อมมีคนทรยศยี่สิบสองคนอยู่ในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“จริงด้วย ใครกันที่ทรยศศิษย์พี่หยาง น่าละอายจริงๆ”
“ใช่ ใช่ รู้ตัวเองก็ยืนขึ้นมา”
หกสิบหกคนพูดพร้อมกัน
หยางเชียนฮ่วน “…”
ฮว๋ายชิ่งกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่รอบๆ เสียงอันเย็นยะเยือกกล่าวเสียงดังชัดเจนว่า “ข้าจะร่างกฤษฎีกาเร็วๆ นี้เพื่อแต่งตั้งฉู่ไฉ่เวยเป็นโหราจารย์คนใหม่เป็นระยะเวลาสามปี การประชุมเลือกตั้งสิ้นสุดแล้ว หากใครไม่พอใจแล้วก่อเรื่องขึ้นอีก ข้าจะจับขังคุกใต้ดินเป็นเวลาสามปี อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ซุนเสวียนจีหันหลังจากไปเงียบๆ
ผู้พิทักษ์หยวนมองตามด้านหลังเขาพลางอ่านใจช้าๆ
“ข้าเหนื่อยแล้ว ตามแต่พวกเจ้าเถอะ…”
ซ่งชิงและหยางเชียนฮ่วนเดินจากไปทีละคน
จงหลีชายตามองสวี่ชีอัน ฝ่ายหลังพยักหน้า
“ช่วงนี้ข้าจะพาเจ้ากลับไปพักที่จวนสักสองสามวัน”
ขับไล่เคราะห์ร้ายออกไปสักหน่อย
วันต่อมา สวี่ชีอันกลับมามีชีวิตที่น่าเบื่ออีกครั้งด้วยการปักดอกไม้ สอนหลินอัน และแอบกลิ้งเกลือกอยู่บนผ้าปูเตียงกับฝูเซียง
เขาทำงานอย่างหนักเพื่อเสริมสร้างพลังปราณ ส่งเสริมการบำเพ็ญ บางครั้งเขาก็ไปเยี่ยมเทพบุตรที่อารามรัตนะพร้อมกับเอายาวิเศษเสริมสร้างพลังหยางและบำรุงไต
เทพบุตรซีดเซียวขึ้นทุกวัน…ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘ไม่มีความปรารถนาทางโลกอีกต่อไป’ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาทีละน้อย สวี่ชีอันรู้สึกว่าคำอธิบายที่ถูกต้องกว่าคือ ไม่หลงเหลือเลยสักนิด!
อย่างไรก็ตาม สวี่ชีอันได้เช่าจวนหลังใหญ่ที่มีทางเข้าสองทางให้กับเทพบุตร มีเพื่อนสนิทต่างเพศอาศัยอยู่ในจวนมากกว่าสามสิบคน ปากหวานก้นเปรี้ยว ทะเลาะกันอึกทึกทุกวันและยังต้องผลัดกันรีดไถพลังชีวิตของเทพบุตรอีกด้วย
เหมียวโหย่วฟางมักจะพาโม่ซางพี่ชายของลี่น่าไปเยี่ยมที่จวนของเทพบุตร (ชมการแสดง) ด้วยความเพลิดเพลิน
เวลาล่วงมาถึงปลายเดือนสี่ หลี่เมี่ยวเจินที่ออกไปสะสมบุญกุศลก็กลับมาเมืองหลวง ถือโถสุราไปหาศิษย์พี่เพื่อรำลึกถึงความหลัง
บนชายคา หลี่เมี่ยวเจินมองไปยังที่พำนักแผนสังหาร พลางกล่าวด้วยความปลื้มปีติยินดีว่า “ศิษย์พี่ ช่วงนี้คงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากกระมัง ดูรอยคล้ำรอบดวงตาของท่านสิ ใกล้เคียงกับซ่งชิงนัก”
หลี่หลิงซู่กล่าวเสียงเย็น “เจ้าคิดว่าชีวิตของสวี่หนิงเยี่ยนราบรื่นดีหรือไม่? เขาแสร้งทำเป็นอิ่มเอมใจ เพลิดเพลินกับสตรีน้อยใหญ่ตลอดทั้งวัน แต่ความเป็นจริงความขัดแย้งในครอบครัวของเขามีไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้ข้าจะเจ็บเอว แต่ข้านั้นเรียบง่าย ตราบใดที่ข้าเกลี้ยกล่อมสตรีทุกนางเป็นอย่างดีและปฏิบัติต่อพวกนางอย่างเท่าเทียมกัน ถึงแม้พวกนางจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเสียการควบคุม ทางด้านสวี่หนิงเยี่ยนช่างน่าสนใจ อันดับแรกคือองค์หญิงหลินอัน จึ๊จึ๊ นั่นคือตัวปัญหาหลัก วันนี้ขัดขวางเย่จี พรุ่งนี้ต่อยพระมเหสี วันมะรืนต่อสู้กับสวี่หลิงเยวี่ยสามร้อยกระบวนท่า องค์หญิงท่านนี้ก่อความวุ่นวายไม่หยุดหย่อน แต่ระดับของนางเละเทะมาก จนไม่สามารถเอาชนะใครได้ พลังในการรบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าได้ยินก็รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ”
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียงฮึดฮัด “ไม่แปลก ฮว๋ายชิ่งเคยพูดแล้วไม่ใช่รึ หลินอันเป็นแค่นกกระจอกตัวหนึ่งที่ส่งเสียงร้องจ้อกแจ้กไม่มีที่สิ้นสุด เห็นขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือคงทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่สนใจ นางก็บินขึ้นมาจิกหน้าเจ้า ไม่รู้จริงๆ ว่าสวี่หนิงเยี่ยนชอบอะไรในตัวนาง”
หลี่หลิงซู่กล่าวว่า “นี่เจ้าไม่เข้าใจรึ เสือกระดาษที่น่ารักและน่าทะนุถนอมอย่างหลินอันมาทุ่มเทให้เจ้า ผู้หญิงที่ยามเสียใจก็หลั่งน้ำตาต่อหน้า แสดงท่าทีน่าสงสารให้เจ้าออกหน้ารับผิดชอบ ผู้ชายชอบแบบนี้ที่สุด”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ตนเองไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง นางกล่าวด้วยความเย็นชาว่า “แสร้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสาร น่าขยะแขยง!”
“เจ้าคิดผิดแล้ว คนที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอและน่าสงสารคือสวี่หลิงเยวี่ย แต่ผู้ชายก็ไม่หลงกลเช่นกัน ใครจะไม่ชอบให้น้องสาวที่งดงามและน่ารื่นรมย์มาพึ่งพาเจ้าล่ะ พูดถึงสวี่หลิงเยวี่ย หลังจากงานแต่งงาน นางก็ไม่แสแสร้งแล้ว ตอนนี้นางกำลังต่อสู้กับมารดาของสวี่หนิงเยี่ยนอย่างดุเดือดมาก”
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว “นางมีความขัดแย้งอะไรกับมารดาของสวี่หนิงเยี่ยน?”
ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เชิง ‘ผลประโยชน์’ โดยสิ้นเชิง
หลี่หลิงซู่พูดอย่างฉะฉาน “เพราะความสัมพันธ์ระหว่างอาสะใภ้ตระกูลสวี่และมารดาของสวี่หนิงเยี่ยนค่อนข้างละเอียดอ่อน แม้ว่าต่อหน้าทั้งสองจะสุภาพและถ่อมตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาสะใภ้ตระกูลสวี่ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้กลับมาแล้ว เด็กที่ข้าเลี้ยงมาอย่างตรากตรำก็ไม่ใช่ของข้าแล้ว เห็นนางไถ่ถามสุขทุกข์กับสวี่หนิงเยี่ยนก็รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงเพราะสถานะของเจ้า ก็เลยปล้นเด็กที่ข้าเลี้ยงดูมาอย่างเหน็ดเหนื่อยไป จากมุมมองของป้าสะใภ้ ข้าเพียงแค่อยากชดเชยหนี้กว่ายี่สิบปีนี้ ราชครูก็มิใช่ย่อย นางมักจะไปที่จวนตระกูลสวี่อยู่เป็นประจำ ไปดื่มชาและพูดคุยกับสวี่หนิงเยี่ยนต่อหน้าหลินอัน โอ้ จริงสิ จิ้งจอกนั่นก็เจ้าเล่ห์ไม่น้อย ตอนนี้นางกลายเป็นกุนซือของหลินอันแล้ว และยังคอยออกความเห็นแทนนางโดยเฉพาะ…”
หลี่เมี่ยวเจินมองศิษย์พี่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไมเจ้าถึงรู้รายละเอียดมากมายเช่นนี้?”
“เหมียวโหย่วฟางเป็นคนบอกข้าทั้งหมด” หลี่หลิงซู่เลิกคิ้วกล่าว
‘ยอดเยี่ยม เหมียวโหย่วฟางเปลี่ยนอาชีพมาเป็นสายลับที่สะสมข่าวสารแล้วรึ? รวบรวมข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้ของสตรีในจวนตระกูลสวี่โดยเฉพาะ? ครั้งล่าสุดที่เจ้าทั้งสองถูกสวี่หนิงเยี่ยนแขวนอยู่นอกจวนตระกูลสวี่ยังไม่พอ อยากถูกแขวนอยู่หน้าประตูเมืองหลวงกระมัง’…สมองของหลี่เมี่ยวเจินเต็มไปด้วยคำตำหนิ
หลี่หลิงซู่ไอกระแอมแล้วกล่าวว่า “เรื่องไร้สาระพวกนี้อย่าไปพูดถึงมันดีกว่า เมี่ยวเจิน เจ้าบำเพ็ญกุศลเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เมี่ยวเจินตอบรับ “อืม” และกล่าวว่า “ก็ไม่เลว”
หลังจากเปลี่ยนมาบำเพ็ญพลังภายในของนิกายปฐพี นางก็รู้สึกว่าตนเองค้นพบเส้นทางที่แท้จริงแล้ว การทำความดีและบำเพ็ญควบคู่กันเหมือนเคยเหมาะสมกับนางที่สุดแล้ว
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แม้ว่าการฝึกพลังของนิกายปฐพีจะเหมาะสมกับเจ้า แต่อันตรายของการตกสู่วิถีมารจะต้องเฝ้าระวัง ดังนั้น พี่จะคิดหาวิธีแก้ไขให้เจ้าเอง”
หลี่เมี่ยวเจินมองมังกรหมอบด้วยความประหลาดใจ กล่าวในใจว่า ‘เจ้าไม่ใช่คนที่ดูแลเอาใจใส่ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะมาไม้ไหนกันแน่’
หลี่หลิงซู่หยิบหนังสือปกสีน้ำตาลที่มีประมาณสิบกว่าหน้าออกมาและยัดเข้าไปในอ้อมแขนของหลี่เมี่ยวเจินเงียบๆ พลางกล่าวกระซิบว่า “พี่ขโมยออกมาจากอารามรัตนะ การฝึกพลังภายในของนิกายมนุษย์ เจ้าเก็บไว้ให้ดีล่ะ”
การฝึกพลังภายในของนิกายมนุษย์…หลี่เมี่ยวเจินชายตามองเขา ‘เจ้าคิดจะทำอะไร?’
“การตกสู่วิถีมารของนิกายปฐพีไม่มีวิธีแก้ไข แต่นิกายมนุษย์มีไฟแห่งกรรมรัดตัว เจ้าสามารถไปบำเพ็ญคู่กับสวี่หนิงเยี่ยนได้ นอนกับเขาอย่างบริสุทธิ์เปิดเผย พี่ทำได้เพียงช่วยเจ้าถึงตรงนี้” หลี่หลิงซู่ขยิบตา
ถึงแม้จะเกลียดไอ้หัวสุนัขสวี่หนิงเยี่ยนมาก แต่ในเมื่อศิษย์น้องมีความรู้สึกดีๆ กับสวี่หนิงเยี่ยน เขาก็ไม่อาจถือไม้ไล่ตียวนยางได้
นอกจากนี้ ศิษย์น้องยังแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี จัดการได้ยากกว่าลั่วอวี้เหิงและพระมเหสีมากนัก
หากสวี่หนิงเยี่ยนไม่อาจต้านทานสิ่งล่อใจได้…วันข้างหน้าก็น่าสนใจไม่น้อย
“บ้าไปแล้ว!”
หลี่เมี่ยวเจินโยนหนังสือการฝึกพลังภายในของนิกายมนุษย์เข้าไปในสวนดอกไม้ในลานบ้านอย่างไม่แยแส
“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเจ้าแล้ว ไปล่ะ”
หลี่เมี่ยวเจินหยิบดาบแล้วจากไป
เทพบุตรนั่งอยู่ลำพังบนหลังคา ดื่มไวน์กระดูกเสืออย่างโดดเดี่ยว เมื่อนึกถึงการต่อสู้อันดุเดือดด้วยการพบกันในที่คับขันหลังพลบค่ำ ในใจก็รู้สึกกลัวอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากดื่มไวน์กระดูกเสือหมดแล้ว เทพบุตรก็รู้สึกว่าตนเองสามารถทำได้อีกครั้ง เขาลงจากหลังคาช้าๆ และเริ่มค้นหาในสวนดอกไม้ ก่อนจะพบว่าไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของหนังสือฝึกพลังภายในของนิกายมนุษย์เล่มนั้นแม้แต่น้อย
“นี่ เห็นอยู่กับตาว่านางโยนมาที่นี่…”
…
พระราชวัง
ห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะที่ปูด้วยผ้าไหมสีทอง นางกล่าวเสียงเบาว่า “วันนี้สมุหราชเลขาธิการเฉียนส่งสมุดพับมาแล้ว จัดเรียงรายชื่อชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์และความสามารถมาให้ข้าจำนวนไม่น้อย หวังว่าข้าจะสามารถเลือกออกมาแต่งตั้งให้เป็นราชินีได้สักคน”
“ฆ้องเงินสวี่มีความเห็นอย่างไร?”
ข้าคิดว่าการใช้ถ้อยคำว่า แต่งตั้งให้เป็นราชินีนั้นมีปัญหาเล็กน้อย…สวี่ชีอันกล่าวว่า “ให้ข้าดูหน่อย”
เมื่อเห็นว่าเขาต้องการดูจริงๆ ฮว๋ายชิ่งก็แสดงสีหน้าเย็นชา
‘เจ้าจะดูอะไร?’
‘ดูเสร็จแล้วจะเลือกแทนข้ารึ?’
ฮว๋ายชิ่งมองไปที่ขันทีผู้กุมอำนาจทางการเมืองแล้วกล่าวกระซิบว่า “นำภาพวาดออกมาให้ฆ้องเงินสวี่ดูที”
ขันทีผู้กุมอำนาจทางการเมืองนำม้วนรูปภาพหลายสิบม้วนออกมาและคลี่ออกทีละม้วนภายใต้ความช่วยเหลือจากขันทีหนุ่ม
สวี่ชีอันค่อยๆ กวาดสายตามองเหล่าคุณชายที่มีฐานะเหนือกว่าและตำแหน่งที่ห่างเหินกัน ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกนี้ล้วนแต่เป็นของน่าเกลียด จะเหมาะสมกับฝ่าบาทของพวกเราได้อย่างไร สมองของสมุหราชเลขาธิการเฉียนพังแล้วรึ เจ้าเหนื่อยกับการเป็นสมุหราชเลขาธิการแล้วรึ?”
ฮว๋ายชิ่งจงใจแสดงความเห็นตรงกันข้ามด้วยการกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าคิดว่าดีมากทุกคน แต่ละคนล้วนมีความสามารถ อายุก็ยังน้อย ชายหนุ่มที่โดดเด่นในต้าฟ่งคงไม่ได้มีเพียงฆ้องเงินสวี่คนเดียวกระมัง ใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าคนใดเข้าตามากที่สุดก็เลือกแทนข้ามาสักคน”
อันที่จริง คนที่เฉียนชิงซูเลือกมาเหล่านี้ไม่ได้แย่อะไรนัก เรียกได้ว่าเป็นรุ่นสองที่โดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง
พรสวรรค์และความสามารถก็น่าประทับใจ
อย่างเช่น คุณชายท่านนี้ที่มีนามว่า ‘เฉียนจวิ้น’ ตอนสิบขวบเขาท่องจำคัมภีร์ซือจิงได้เหมือนกับน้ำไหลไม่ขาดสาย ตอนอายุยี่สิบก็สอบผ่านถงเซิงแล้ว
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “คนธรรมดาเหล่านี้จะคู่ควรกับฝ่าบาทได้อย่างไร”
ฮว๋ายชิ่งอุทาน “โอ้” และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าก็เป็นผู้หญิงธรรมดาๆ เหมือนกัน ท้ายที่สุดก็ต้องแต่งงานมีลูก คนเหล่านี้ล้วนเป็นเสาหลักในอนาคตของต้าฟ่ง แล้วจะไม่คู่ควรกับข้าได้อย่างไร!”
สวี่ชีอันกล่าวโดยไม่คิดว่า “คนที่คู่ควรกับฝ่าบาทย่อมต้องเป็นวีรบุรุษที่มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่!”
ฮว๋ายชิ่งวางสองมือลงบนสมุดพับ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ดวงตาอันเป็นประกายของนางราวกับกำลังรอคำพูดนี้ของเขา นางบีบบังคับให้ตอบด้วยการถามว่า “เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่คิดว่าใครคือวีรบุรุษผู้มีจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่”