ตอนที่ 341 โทษโบยออกโรงอีกครั้ง
……….
ซินโย่วกล่าวออกมาเช่นนี้ ไต้จ้าวทั้งสี่ก็พากันอึ้งไปทันที
“คุณหนูซิน ท่านบอกว่า…วันหน้าจะยังมาทำงานที่สำนักฮั่นหลินย่วน” ฉือไต้จ้าวไม่อยากเชื่อ
“อืม เหมือนเมื่อก่อน”
“ไม่ใช่ว่า…” ฉือไต้จ้าวปาดใบหน้า ในใจคิดว่าจะเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร!
ฮว่าไต้จ้าวถามขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “แล้วหัวหน้าเซี่ยรู้ไหม”
“เพิ่งไปคำนับหัวหน้าเซี่ยมา”
ฮว่าไต้จ้าววางใจเอ่ยขึ้น “ข้าวาดภาพสาวงามภาพหนึ่ง ซินไต้จ้าวเชิญให้ความเห็นสักหน่อย”
ซินโย่วตามฮว่าไต้จ้าวไปที่นั่งของเขา ชื่นชมภาพวาดที่กางอยู่บนโต๊ะ
“ฝีพู่กันฮว่าไต้จ้าวลุ่มลึกยิ่ง…”
ฉือไต้จ้าวมองซินโย่ว ก่อนมองฮว่าไต้จ้าว ยังคิดว่าฝันไป
“แค็กๆ คุณหนูซิน…”
ซินโย่วมองไปทางฉือไต้จ้าว ยิ้มบางเอ่ยขึ้นว่า “สหายร่วมงานกันทั้งนั้น ทุกท่านเรียกข้าว่าซินไต้จ้าวดังเดิมเถอะ”
โถงไต้จ้าวฝั่งตะวันตกกว้างขวาง แม้วางโต๊ะเก้าอี้ห้าชุดก็ไม่เบียดเสียด ที่นั่งซินโย่วอยู่ในมุมหนึ่ง ห่างจากอีกสี่คนออกไปค่อนข้างไกลอยู่ไม่น้อย
แต่จะไกลอย่างไรก็อยู่ร่วมห้องโถงเดียวกัน วันหน้าพวกเขาจะต้องอยู่ร่วมโถงกับคุณหนูน้อยผู้นี้หรือ
รอถึงตอนเลิกงาน พอซินโย่วก้าวออกไป ฉือไต้จ้าวก็เอ่ยถามออกมาทันที
ฮว่าไต้จ้าวเหล่มองเขาทีหนึ่ง น้ำเสียงงุนงง “ทุกวันพวกเราเองก็ไม่มีงานอันใด”
ฉือไต้จ้าวสะอึก สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง “มีหรือไม่มีไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือซินไต้จ้าวเป็นหญิงสาว วันๆ มาอยู่ร่วมกับพวกเรา อาจทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้”
ฮว่าไต้จ้าวส่ายหน้า
“ไม่ใช่กล่าวกันว่าหนุ่มสาวมิกลัวเกรงวาจานินทาหรือ พี่ฉือยังกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์?”
“คือ…” ฉือไต้จ้าวใกล้จะหายใจไม่ออกแล้ว ก่อนหันไปมองฉีไต้จ้าวกับจานปู่ไต้จ้าว ถึงกับมีท่าทางเหมือนไม่เห็นจะมีเรื่องอันใด
หรือว่าเขาผิดปกติ
“ความหมายของข้าก็คือซินไต้จ้าวจะถูกคนนินทา”
ฉีไต้จ้าวเอ่ยว่า “หากซินไต้จ้าวกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็คงไม่มาแล้ว ก็มิได้มีคนบังคับให้นางมา”
ฉือไต้จ้าวพยักหน้างุนงง จนกระทั่งทั้งสี่ออกจากโถงตะวันตกถูกคนรุมล้อมถามเรื่องซินโย่ว ได้ยินว่าวันหน้านางจะทำงานที่นี่ต่อ แต่ละคนแสดงท่าทางยอมรับไม่ได้ ความมั่นใจที่พอมีอยู่บ้างกลับคืนมาอีกครา
ดังคาด คนไม่ปกติมิใช่มีเพียงเขา!
ข่าวซินโย่วมาสำนักฮั่นหลินย่วนแพร่ไปยังบรรดาขุนนางอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ไม่รู้ผู้คนมากมายเพียงใดเลิกงานแล้วไม่กลับบ้าน แต่คิดจะไปร่วมวงรับประทานอาหารเพื่อพูดคุยเรื่องนี้กัน
“ยังคิดว่ากลับคืนสถานะบุตรสาวแล้ว จากนี้ไปจะอยู่อย่างสงบ”
“ข้าว่านะ คุณหนูซินเกิดมาก็เป็นบุคคลในกระแสผู้คน จากคุณหนูโค่วเป็นคุณชายซิน จนมาเป็นคุณหนูซิน เรื่องใดไม่เป็นเรื่องน่าตกใจ นักเล่าเรื่องในร้านน้ำชาร้านอาหารในเมืองหลวงมากมายไม่รู้เท่าใดคิดเล่าเรื่องราวของคุณหนูซินให้โด่งดังกัน”
“ตอนคุณหนูซินเข้าวังร่วมงานเลี้ยงยังได้ช่วยองค์ชายสามไว้ วันหน้าแพร่ไปยังหมู่ประชาก็คงเป็นเรื่องเล่าสนุกสนานน่าสนใจกันอีกสักพัก”
“แต่วันหน้าคุณหนูซินไปสำนักฮั่นหลินย่วนทุกวัน เกรงว่าคนที่ร่วมงานกับนางจะอึดอัดกระมัง”
“ทุกท่านคิดจริงหรือว่าคุณหนูซินเป็นผู้หญิงแท้ๆ จะอยู่ทำงานที่สำนักฮั่นหลินย่วนได้นาน ดูกันต่อไปเถอะ พรุ่งนี้จะต้องมีคนออกมาคัดค้านแน่”
ความจริงก็เป็นดังคาด การประชุมเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีขุนนางสองคนก้าวออกมาแสดงท่าทีคัดค้านเรื่องนี้
“สำนักฮั่นหลินย่วนล้วนเป็นผู้มีความสามารถมาจากตำแหน่งจิ้นซื่อ คุณหนูซินเป็นหญิงสาวมาร่วมอยู่ด้วย ไร้ธรรมเนียมโดยแท้ ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาเคร่งครัด อย่าได้ให้บัณฑิตใต้หล้าสูญสิ้นความหวัง…” ขุนนางที่ปรึกษาหลิวคร่ำครวญสีหน้าจริงจัง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรคนผู้นี้แล้วก็หงุดหงิดพระทัย
เขาจำได้ว่าเจ้าคนนี้พูดจายากรับฟังจึงถูกขุนพลไป๋ต่อย ยังมาหาเรื่องถึงตรงหน้าเขาตอนนี้อีก เรื่องปรับเบี้ยหวัดยังไม่ทันผ่านพ้น ก็ออกมาหาเรื่องอีกแล้วหรือ
“ไร้ธรรมเนียม?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รอขุนนางที่ปรึกษาหลิวเหลวไหลจบ ก็ตรัสถามทีละคำ
ผู้ที่คุ้นเคยกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ล้วนรู้ว่าฮ่องเต้ทรงกริ้วแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กริ้วมากจริงๆ
เอ่ยถึงผู้อื่นก็แล้วไป ถึงกับกล้าเอ่ยว่าบุตรสาวเขาไร้ธรรมเนียม?
จะต้องสั่งสอนให้ขุนนางเหลวไหลผู้นี้รู้จักดำรงตนสักหน่อยแล้ว
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวกำลังมั่นอกมั่นใจ คิดว่าตนเองกำลังออกเสียงแทนบัณฑิตใต้หล้า “แน่นอนว่าไร้ธรรมเนียม มีหญิงสาวที่ใดร่วมโถงเดียวกับชาย ยังเป็นบัณฑิตสำนักฮั่นหลินย่วนที่เปี่ยมไปด้วยธรรมเนียมคำสอนปราชญ์เมธี นี่คือการลบหลู่นักเรียนที่อดทนตรากตรำร่ำเรียนมาโดยแท้…”
“ฮึ” เสียงแค่นเยาะดังขึ้น
ขุนนางที่ปรึกษาหลิวที่กำลังคร่ำครวญก็สะอึกกึก ค้นหาที่มาของเสียงเยาะด้วยสัญชาตญาณทันที จากนั้นก็สบเข้ากับสายพระเนตรเยียบเย็นของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
“ตอนนั้นเรายกทัพขึ้นเหนือลงใต้ ขุนพลหญิงทหารหญิงก็ร่วมกระโจมกับชาย ร่วมออกศึกสนามรบเข่นฆ่าศัตรูกับชาย มาถึงตอนนี้ไม่ถึงยี่สิบปี ร่วมเป็นขุนนางก็คือการลบหลู่บัณฑิตใต้หล้าหรือ”
ไม่เอ่ยถึงบัณฑิตยังดี ยิ่งเอ่ยถึงก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อารมณ์ขึ้น
ตอนเขาเพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างตัว คนที่ติดตามเขาไม่มีบัณฑิตสักคน!
ตอนก่อตั้งแผ่นดิน ยึดครองดินแดง ปกครองแผ่นดิน ระยะเริ่มแรกความรู้ย่อมสำคัญกว่ากำลังต่อสู้ เขาจึงได้ยอมรับผู้มีความรู้ที่มาขอสวามิภักดิ์ เพราะยังขาดความมั่นใจ
แต่ทว่าพออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น เขาก็ค่อยๆ เข้าใจแล้วเขาให้ความสำคัญกับบัณฑิตมากเกินไป การที่ยอมรับบัณฑิตไว้ เพื่อให้พวกเขาช่วยจัดการแผ่นดินให้ยิ่งดีขึ้น มิใช่ให้พวกเขามาชี้มือชี้ไม้สั่ง ดูแคลนบรรดาคนที่เคยร่วมหลั่งโลหิตมากับเขา
“บัณฑิตใดคิดว่าถูกลบหลู่กัน” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดสายพระเนตรวาววับไปยังบรรดาขุนนาง
ที่อยู่ใกล้ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูง เหลือบมองข้างๆ ไร้การเคลื่อนไหว
แต่ตำแหน่งแถวหลัง มีหลายคนทยอยออกมาเห็นด้วยกับขุนนางที่ปรึกษาหลิว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังจบ ก็มีสีพระพักตร์เรียบเฉยเย็นชา “ในเมื่อคิดว่าร่วมเป็นขุนนางกับซินไต้จ้าวเป็นการลบหลู่ เช่นนั้นพวกท่านก็ลาออกกลับไปอยู่บ้านเถอะ”
พอตรัสเช่นนี้ บรรดาขุนนางต่างตกตะลึง
ที่ทั้งสามก้าวออกมาสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เข่าอ่อนยวบลงกับพื้นทันที
“ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นเสาหลักของแผ่นดิน สอบผ่านระบบคัดเลือกเข้ามา ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางที่ปรึกษาหลิวสีหน้าเจ็บปวดใจ
อีกสองคนที่ก้าวออกมาก็เติมเชื้อโทสะเข้าไปอีก “ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ราชวงศ์ต้าซย่า วิกฤตแล้ว…”
“หุบปาก!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบพนักเท้าแขนที่ประทับมังกร “พวกท่านคิดว่าถูกลบหลู่ เราก็อนุญาตให้พวกท่านลาออกกลับบ้านไป หรือว่ายังไม่พอให้ทุกท่านสมประสงค์ ถึงกับพูดจาร้ายกาจเยี่ยงนี้ในท้องพระโรง เพื่อชาติเพื่อประชาหรือ เห็นชัดว่าไม่อาจสละชื่อเสียงตนเองได้! ทหาร นำตัวพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคนไปนอกประตูอู่เหมิน โบยห้าสิบไม้!”
ไม่นานกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินก็เข้ามาลากทั้งสามคนออกไป
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยๆ กวาดสายพระเนตรมายังกลุ่มขุนนาง ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “ขุนนางทุกท่านไปชมการลงทัณฑ์ด้วยกัน”
เมื่อครู่ท้องพระโรงยังมีเสียงเอะอะดัง ยามนี้พลันสงบลงไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย บรรดาขุนนางพากันเดินไปยังนอกประตูอู่เหมินเงียบกริบ มองดูพวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคนถูกโบย
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป ผู้คุมการโบยจะเป็นผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝิงเหนียนกับมหาขันทีซุนเหยียน วันนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มาคุมด้วยพระองค์เอง
นอกประตูอู่เหมิน พวกขุนนางที่ปรึกษาหลิวทั้งสามคนถูกถลกกางเกงลง เผยบั้นท้ายขาวผ่อง
หัวหน้ากองลงอาญายกไม้กระบองขึ้นสูงก่อนฟาดลงมาอย่างไม่ออมแรง
ไม้กระบองเหล็กหุ้มด้วยหนังฟาดลงบนผิวหนังเต็มแรง ก่อให้เกิดเสียงดังที่ทำให้คนพากันหวาดเสียว
หนึ่งที สองที สามที…
เสียงฟาดกับเสียงร้องเจ็บปวดผสมผสาน ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรเยียบเย็น สีพระพักตร์ไร้ความรู้สึก
บรรดาขุนนางที่ชมการลงทัณฑ์พากันเงียบกริบ