ตอนที่ 343 ปล่อยเหยื่อล่อ
……….
พวกฮว่าไต้จ้าวมีความสุขมากจริง ๆ
อย่าว่าแต่พวกเขาตำแหน่งเล็กๆ ที่ว่างงานจนแทบราขึ้น ต่างรู้สึกได้หน้าไม่น้อย เพราะปกติบรรดาใต้เท้าพวกนั้นอาศัยแค่เบี้ยหวัดไปหอเฟิงเว่ย ก็คงได้กินแค่ลม
“ล้วนกล่าวกันว่าอาหารขึ้นชื่อของหอเฟิงเว่ยก็คือซาลาเปาไข่ปู พวกเราก็คิดว่าจะอร่อยเพียงใดกัน ฮือ ฮือ ฮือ อร่อยมากจริงๆ!” ฮว่าไต้จ้าวสะอื้น
ซาลาเปาไข่ปูอร่อยเช่นนี้ น่าเสียดายบุตรชายไม่มีโอกาสได้กิน
ฉือไต้จ้าวกินจนปากมัน ความรู้สึกว่าร่วมทำงานกับสตรีไม่เหมาะสมนั้นก็พลันมลายหายไปหมดสิ้น
หากหญิงสาวอื่นเหมือนซินไต้จ้าวเช่นนี้ เขายินดีอยู่ในหมู่สตรี!
“จะไม่กินได้หรือ ซาลาเปาไข่ปูเข่งหนึ่งหนึ่งตำลึง” ฉีไต้จ้าวเอ่ยขึ้น เห็นชัดว่าเขาไม่ต้องออกเงิน ก็ยังรู้สึกปวดใจ
นี่คือแค่กินซาลาเปาไข่ปูหรือ นี่คือกินเงินทองชัดๆ!
“พี่ชายทั้งสี่ชอบกิน อีกสักครู่ก็นำกลับไปสองเข่ง” ซินโย่วจิบสุราไปเล็กน้อย สีหน้าผ่อนคลาย อมยิ้มมุมปาก
แม้ว่าไต้จ้าวโถงตะวันตกทั้งสี่ดูประหลาดอยู่บ้างในสายตาผู้คน แต่ซินโย่วกลับคิดว่าอยู่ร่วมกันแล้วสบายใจมาก
“ไหนเลยจะกล้า”
ทั้งสี่ปฏิเสธ แต่ตอนออกจากหอเฟิงเว่ย ซินโย่วยังคงยืนยัน ในมือแต่ละคนจึงมีซาลาเปาไข่ปูสองเข่ง
วันรุ่งขึ้นมาทำงาน ‘ซาลาเปาไข่ปู’ ก็เป็นประเด็นร้องของทั้งสี่ในโถงตะวันตก
“เจ้าลูกชายข้ากินซาลาเปาไข่ปูเข้าไปน้ำตาร่วงเลย ข้าเป็นบิดาไร้สามารถจริง หากมิใช่ซินไต้จ้าว ชีวิตนี้คงไม่มีความสามารถให้เจ้าลูกหมาของข้าได้กินซาลาเปาไข่ปูหอเฟิงเว่ย” ฮว่าไต้จ้าวทอดถอนใจ
ฉือไต้จ้าวเห็นว่าโถงตะวันออกมีคนออกมา ก็จงใจส่งเสียงดังขึ้น “พี่ฮว่า คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง พี่ดีกับซินไต้จ้าว บุตรชายได้กินซาลาเปาไข่ปูเข่งละหนึ่งตำลึง ก็เพราะบุตรชายพี่อาศัยบิดาเช่นพี่จึงได้กินได้ไงเล่า”
ไต้จ้าวโถงตะวันออกผ่านทางมากเกือบลื่นล้ม
เท่าไรนะ เข่งละหนึ่งตำลึง?
พอเขากลับไปโถงตะวันออก ก็รอเล่าแทบไม่ไหว
ในห้องโถงตะวันออกพลันเงียบกริบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนลุกขึ้นยืน “แค็กๆ ข้าออกไปเดินข้างนอกสักหน่อย”
อันใดศักดิ์ศรีไม่ศักดิ์ศรี หัวหน้าเซี่ยยังจัดห้องทำงานส่วนตัวให้ซินไต้จ้าว หรือว่าหัวหน้าเซี่ยก็ไร้ศักดิ์ศรี?
เมื่อวานเงาดำในใจทุกคนจากโทษโบยยังไม่ทันจางหาย เดิมซินโย่วก็เป็นจุดสนใจของทุกคนอยู่แล้ว พอเป็นเช่นนี้ เรื่องที่เมื่อวานนางเลี้ยงพวกฮว่าไต้จ้าวก็แพร่ไปทั่วสำนักฮั่นหลินย่วนเงียบๆ
พริบตา ห้องโถงทำงานไต้จ้าวก็มีคนมาเดินเล่นกันมากยิ่งขึ้น
คนเหล่านี้มิได้คิดจะเอาเรื่องอันใด ก็เหมือนกับยามมีเรื่องสดใหม่เกิดขึ้น ดังเช่นคนเก็บก้อนทองคำได้ก้อนหนึ่ง แม้รู้อยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บได้อีกก้อน แต่ก็ยังมาเดินวนดูรอบๆ
แสงแดดฤดูใบไม้ร่วงอบอุ่นสาดลอดหน้าต่างห้องทำงานที่เปิดอยู่ กระดาษเซวียนจื่อคลี่กางอยู่บนโต๊ะ สาวน้อยในชุดเขียวกำลังตั้งใจเขียนอันใดสักอย่าง
“ทุกท่านอย่าไปรบกวนความสงบของซินไต้จ้าว ซินไต้จ้าวกำลังเขียนหนังสืออยู่” ฉือไต้จ้าวกระซิบบอก
“เขียนหนังสือ? ซินไต้จ้าวเขียนหนังสืออันใด”
“ไม่รู้เช่นกัน วันนี้ซินไต้จ้าวเพิ่งลงมือเขียน”
“น่าจะเป็นจำพวกนิยายแบบ ‘บันทึกตะวันตก’ กระมัง”
“ไม่ใช่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่…” คนที่พูดได้สติคืนมาก็รีบหุบปากทันที
ซินโย่วเดินเข้ามา สีหน้าจริงจัง “ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนจากมารดามามากมาย ระยะนี้คิดว่าจะนำความคิดของมารดามาจัดระเบียบเป็นเล่ม ตีพิมพ์เผยแพร่”
มารดา? มารดาซินไต้จ้าวมิใช่ฮองเฮาผู้จากไปหรือ!
คนที่พูดเริ่มอยากรู้ขึ้นมาแล้ว “ได้ยินว่าซินไต้จ้าวช่วยองค์ชายสามไว้ ก็คือเคล็ดลับที่อดีตฮองเฮาสอนหรือ ซินไต้จ้าวจะเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาเป็นเล่มหรือ”
ผู้อื่นตื่นเต้นกันแล้ว
ว่ากันว่าฮองเฮาซินรู้เรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย หากตีพิมพ์เป็นหนังสือจริง จะต้องขายดีอย่างแน่นอน
ฉือไต้จ้าวได้ยินก็เริ่มคิดเอ่ยเตือน
ฮองเฮาซินไม่อยู่แล้ว นั่นเป็นความสามารถติดตัวซินไต้จ้าว จะเขียนออกมาให้คนอื่นอ่านกันง่ายๆ ได้อย่างไร
“ไม่ใช่เรื่องพวกนั้น” ซินโย่วส่ายหน้าปฏิเสธ “แต่เป็นความคิดหนึ่งที่เกี่ยวกับการทำให้สังคมรุ่งเรือง ราษฎรสุขสบาย”
ทำให้สังคมรุ่งเรือง ราษฎรสุขสบาย?
คนจำนวนหนึ่งได้ฟังคำพูดนี้ก็หมดความสนใจ สายตาหลายคนเริ่มเปลี่ยนไป
“ข้าไปจัดระเบียบความคิดต่อละ” ซินโย่วเอ่ยตามมารยาท ก่อนหันหลังเข้าห้อง
ตอนนี้ปล่อยเหยื่อล่อแล้ว คงต้องรอปลาใหญ่ปลาเล็กได้กลิ่นอีกสักระยะ ไม่รู้ถึงตอนนั้นจะล่อปลาใดมาได้บ้าง
เป็นเช่นนี้ต่อมาอีกหลายวัน สาวน้อยที่ยึดครองห้องคนเดียว เขียนไปพักไป กองกระดาษที่เขียนไว้แล้วคิดทิ้งก็กองพะเนิน กองสุมทั้งบนโต๊ะและบนพื้นอยู่ไม่น้อย
ในวันนี้ตอนซินโย่วผลักประตูเข้ามา ทำท่าทางกวาดตามองไปอย่างนี้ แต่แววตาพลันไหววูบหนึ่ง
กองกระดาษที่ทิ้งไว้ข้างฉากกำบังลมหายไปกองหนึ่ง
นางแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัว เดินไปที่โต๊ะลากเก้าอี้ออกมาลงนั่ง เริ่มฝนหมึกอย่างไม่รีบร้อน
พอถึงเวลาเลิกงาน ฮว่าไต้จ้าวก็เป็นตัวแทนทั้งสี่คนถามขึ้นว่า “ซินไต้จ้าว วันนี้มีธุระหรือไม่ หากไม่มีอันใด พวกเราเลี้ยงน้ำชาเจ้าสักหน่อย”
กินของคนเขามาหลายมื้อแล้ว แม้ว่าเลี้ยงหอเฟิงเว่ยไม่ไหว แต่ก็ควรเชื้อเชิญสักครา
“วันนี้ข้าต้องไปร้านหนังสือ”
“ร้านหนังสือชิงซงหรือ” ฉือไต้จ้าวเขยิบเข้ามาถาม
คนมีความสามารถเช่นเขา เขียนอันใดไม่ค่อยได้ แต่ชื่นชอบนิยายและบันทึกการเดินทางมาก ชื่อเสียงร้านหนังสือชิงซงได้มาเพราะอาศัยนิยาย
“ข้ากำลังเขียนหนังสือมิใช่หรือ หลายวันนี้ร่างความคิดได้พอสมควรแล้ว ลงมือเขียนก็น่าจะเร็วอยู่สักหน่อย ไปร้านหนังสือชิงซงคุยกับผู้ดูแลร้านก่อน วันจำหน่าย ‘บันทึกตะวันตก’ เล่มหกก็จะแจกให้คนซื้อหนึ่งเล่ม”
“แจก?” ฮว่าไต้จ้าวตกตะลึง
ฉือไต้จ้าวเอ่ยเตือน “‘บันทึกตะวันตก’ โด่งดังทั่วเมืองหลวง ถึงกับมีคนนอกเมืองหลวงฝากคนมาซื้อหา ไม่รู้ผู้คนมากมายเพียงใดรอเล่มหกอยู่ หาก ‘บันทึกตะวันตก’ หนึ่งเล่ม แจกหนังสือซินไต้จ้าวหนึ่งเล่ม เช่นนั้นต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากมายเพียงใดกัน!”
“ดังนั้นจึงต้องไปหารือกับผู้ดูแลร้านหนังสือสักหน่อย ดูว่าถึงตอนนั้นต้องลงเงินเท่าไรจึงจะเหมาะสม” ซินโย่วน้ำเสียงเข้มเล็กน้อย “มารดาผู้ล่วงลับของข้าถูกคนสังหาร ความคิดมากมายไม่มีผู้ใดรู้ ข้าเป็นบุตรสาว หากนำความคิดมารดาออกมาให้ผู้คนได้ทำความเข้าใจกันได้ ก็นับว่าได้แสดงความกตัญญูแล้ว”
ความจริงนางไม่ได้มีความคิดเช่นนี้
ผู้ที่มาซื้อหนังสือล้วนเป็นบัณฑิต แต่คนที่อ่านหนังสือออกส่วนใหญ่ก็มีฐานะ อย่างน้อยก็ต้องพอมีเงินทอง
พวกเขาไม่ใช่ผู้ได้รับประโยชน์จากความคิดท่านแม่ ถึงกับกล่าวได้ว่าการปฏิรูปนี้ควรต้องผลักดันจากบนลงล่าง แพร่จากหมู่ประชาไม่ค่อยช่วยได้เท่าไร
ราษฎรยากลำบากที่ไม่รู้หนังสือทำความเข้าใจความหมายก็ยากแล้ว แม้ว่าเข้าใจ แต่ก็ก่อแรงกระเพื่อมไม่ได้
แต่การอาศัยเรื่องนี้บีบให้ฝ่ายตรงข้ามร้อนใจลงมือก็ได้อยู่ กองกระดาษทิ้งแล้วในห้องทำงานที่หายไปแสดงให้เห็นว่าความคิดนางถูกต้อง
“เช่นนั้นซินไต้จ้าวไปทำงานเถอะ วันหน้าค่อยมาสนทนากันใหม่”
เพราะซินโย่วไม่อยู่ที่โถงตะวันตก แต่นางพูดไปพลางก้าวออกไปด้านนอก ดังนั้นนอกจากทั้งสี่คนในโถงตะวันตกได้ยินกันแล้ว ยังมีคนอีกมากมายเท่าไรได้ยินกันไปก็ไม่อาจทราบได้
ซินโย่วออกจากสำนักฮั่นหลินย่วนก็ตรงไปร้านหนังสือชิงซง
ตอนนี้การค้าร้านหนังสือไม่เลว มักจะพบเจอคนสองจำพวกบ่อยที่สุด ก็คือนักเรียนสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนกับ เจ้าหน้าที่ขุนนางที่เลิกงาน
ซินโย่วลงจากรถม้าเดินไปทางร้านหนังสือ ก็ถูกคนเรียกไว้
“คุณ…คุณหนูซิน?”
น้ำเสียงคุ้นหู ซินโย่วหยุดหันไปมองก็จดจำชายหนุ่มที่ส่งเสียงเรียกนางได้ “คุณชายเมิ่ง”
เมิ่งเฝ่ยเดินเข้ามา “เป็นคุณหนูซินจริง ยังกังวลว่าจะจำคนผิด”
ซินโย่วเลิกคิ้วเล็กน้อย
นางกับเมิ่งเฝ่ยไม่เคยคบหาพูดคุยกัน เมิ่งเฝ่ยน้ำเสียงเหินห่าง ดูท่าสาเหตุเพราะต้วนอวิ๋นหลางสหายร่วมชั้นเรียน
นึกถึงต้วนอวิ๋นหลาง ซินโย่วก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดไม่เห็น…คุณชายรองต้วน?”
“คุณหนูซินไม่รู้?” เมิ่งเฝ่ยเผยแววตาประหลาดใจ