คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 792 ได้รู้ที่อยู่ของวังหลิงซวี ทำลายพระภิกษุมาร

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 792 ได้รู้ที่อยู่ของวังหลิงซวี ทำลายพระภิกษุมาร

……….

ฮุ่ยเฉวียนอยากจะแก้ตัวสักสองสามประโยคว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและวังหลิงซวี แต่ฉินหลิวซีตัวซวยผู้นั้นไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงได้มีไฟออกมาจากนิ้วมือ ซ้ำยังดีดไปที่ของสงวนของเขาอย่างแม่นยำ เขาตกใจกลัวจนแทบจะหดตัว

คราวนี้จนมุมจริงๆ แล้ว

ฮุ่ยเฉวียนรู้แจ้งอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงขั้นจริงใจเต็มใจที่จะสละตนให้แก่พระพุทธเจ้า ใช้ทั้งชีวิตของตัวเองไปรับใช้ ก่อนหน้านี้เขาสามารถละทิ้งเต๋าแล้วหันไปหาอ้อมกอดของพระพุทธเจ้าอย่างง่ายดาย ตอนนี้ก็สามารถกลับคืนมาเป็นคนธรรมดาได้ แต่งงานมีบุตรได้ตลอดเวลา

เขาไม่อยากเป็นคนพิการ!

“ข้า…”

“คิดให้ดีก่อนตอบ ข้าไม่ได้มีเวลามากนัก” มือของฉินหลิวซีกดลงไป สะเก็ดไฟเกือบจะตกลงบนจีวรของเขา

ฮุ่ยเฉวียนร้องโวยวายด้วยความตกใจ

คางคกที่เอาแต่ทำเป็นแกล้งตายอยู่ในถุงสัมภาระสะพายหลังของฉินหลิวซีถอนหายใจอย่างเวทนา ช่างโรคจิตจริงๆ แต่มันรู้สึกชอบมาก ในที่สุดก็มีคนเข้าใจในความเจ็บปวดของการที่ไม่มีสิ่งนั้นแล้ว

ช่างอนาถเหลือเกิน แต่ไม่สงสารเลยแม้แต่นิด!

ฮุ่ยเฉวียนชั่งน้ำหนัก รู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างคับขันกว่า จึงเอ่ยว่า “ข้า ข้าก็ไม่ได้รู้มากนัก ตอนที่วังหลิงซวีมาหาที่นี่เมื่อสองปีก่อน บอกว่าจะช่วยเหลือและมีผลประโยชน์ร่วมกันกับพวกเรา จึงได้ขุดอุโมงค์ลับนั่น แล้วลักพาตัวคนเหล่านั้นเข้าไป”

“หมายความว่าบรรดาสตรีเหล่านั้นเริ่มถูกพวกเจ้าทำร้ายตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้ว?”

ฮุ่ยเฉวียนรู้สึกผิด แต่กลับโต้แย้งว่า “มีพระภิกษุบางรูปในวัดไปที่นั่น แต่อาตมาไม่เคยไปเลยสักครั้ง ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นด้วยอย่างแน่นอน” เขายังรังเกียจที่จะร่วมทำเรื่องสกปรกกับคนเหล่านั้น

ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “เจ้าค่อนข้างถือตัวพอสมควร” นางคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง ถามอีกว่า “แล้วเรื่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นล่ะ”

“นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน เจ้าสำนักวังนั้นได้นำพระพุทธรูปที่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ให้พวกเราปั้นพระพุทธรูปตั้งไว้หน้าพระพุทธเจ้า ยกยอความศักดิ์สิทธิ์ของมันแก่ผู้ศรัทธาเพื่อดึงดูดสาวก เดิมทีข้าก็ไม่ได้สนใจ แต่ใครจะไปรู้ว่าคนเหล่านั้นราวกับบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ เทิดทูนไว้เหนือศีรษะ กระทั่งเผยแผ่ด้วยความสมัครใจ…”

“ทำอย่างกับว่าสิ่งนี้ไม่ได้รับการหว่านล้อมจากพวกเจ้า?” ฉินหลิวซีเอ่ยประชดประชันว่า “เดิมทีดินบนองค์พระพุทธรูปก็แฝงไว้ด้วยพลังหยินชั่วร้าย เมื่อบูชามากๆ ก็จะแปดเปื้อนพลังหยิน ในใจมีความหงุดหงิด หลังจากยืนยันด้วยตนเองแล้วก็หว่านล้อมจิตใจ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าพูดอะไร สาวกก็จะทำตามที่พวกเจ้าบอกหรอกหรือ”

ฮุ่ยเฉวียนลำบากใจ “เช่นนั้นก็ต้องให้พวกนางเชื่อก่อนจึงจะทำได้”

ฉินหลิวซีกลับเป็นกังวลเกี่ยวกับช่วงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้ปรากฏตัว เอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าเจ้าสำนักวังอะไรนั่นเอามาเมื่อหนึ่งปีก่อน”

“แน่นอน อาตมาอยู่ที่วัดหนาหมัวมาสามปี ระยะเวลาไม่นับว่ายาวนาน ก็ไม่ถึงขั้นจำไม่ได้”

“แล้ววังหลิงซวีอยู่ที่ไหน เหตุใดคนในฉีโจวจึงไม่ค่อยรู้เรื่องนี้”

ฮุ่ยเฉวียนจึงเอ่ยว่า “ที่ไม่รู้ นั่นเป็นเพราะวังหลิงซวีเมื่อก่อนเคยถูกเรียกว่าอารามไท่ซ่าง พึ่งถูกเปลี่ยนชื่ออารามเป็นวังหลิงซวีในช่วงไม่กี่เดินที่ผ่านมา และหลังจากที่เปลี่ยนชื่อ ก็ปิดประตูไม่ต้อนรับผู้ศรัทธาชั่วคราว”

“นี่ๆๆ ข้ารู้ นี่เป็นอารามไท่ซ่างที่ทรุดโทรมในภูเขาเสี่ยวหลินที่อยู่ทางด้านตะวันตกของภูเขาว่านฝอไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนหน้านี้เห็นว่าธูปของมันใกล้จะดับลงแล้ว พอเปลี่ยนชื่อก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้แล้วหรือ” คางคกกระโดดออกมา

ฮุ่ยเฉวียนตกใจ มองไปยังคางคกบนไหล่ของฉินหลิวซีด้วยสีหน้าแปลกๆ

คางคกก็พูดภาษาคนได้ด้วยหรือ

ฉินหลิวซีเอื้อมนิ้วไปดีดมันลงจากไหล่

อารามซวีอวิ๋น วังหลิงซวี ปรากฏว่าพอเปลี่ยนชื่อก็ปิดประตูเขา ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน

“เจ้าสำนักในอารามแห่งนี้นามว่าอะไร”

ฮุ่ยเฉวียนหดคอ “เรียกกันว่าปรมาจารย์ไท่ชิง”

“คงเป็นเขาที่ต้องการทารกเหล่านั้น เอาไปหล่อหลอมเป็นทารกผี?” ฉินหลิวซีจ้องเขา “เจ้าก็ไม่กลัวจะเป็นบาปหรือ”

ฮุ่ยเฉวียนก้มหน้าลง เขาไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างมากที่สุดก็ช่วยอุ้มไปให้ บางครั้งคนที่นั่นก็มาเอาไปด้วยตัวเอง เขาไม่ได้โง่ หากสามารถไม่แปดเปื้อนผลกรรมได้ก็จะไม่ให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน

ทันใดนั้นก็เจ็บคอ ฮุ่ยเฉวียนหน้ามืด ล้มลงบนพื้น

“โอ้โห พอได้ผลประโยชน์แล้วเจ้าก็ถีบหัวส่ง เมื่อถามได้ความแล้วก็จัดการทันที ใจร้ายเสียจริง!”

“หากยังพูดพล่ามไม่หยุด เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำให้เจ้าพิการขาอีกข้าง” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม เอ่ยว่า “เจ้าว่างมากเพียงนี้ก็ช่วยส่งจดหมายไปที่หมู่บ้านใกล้เคียง หลานซิ่งและคนอื่นๆ กำลังรออยู่ที่นั่น”

คางคก “แล้วข้าได้ประโยชน์อะไร”

“ก่อนหน้านี้เจ้าทำบาปมามากมาย ขโมยพลังชีวิตและอายุขัยไปมากขนาดนั้น เจ้าจะไม่ทำความดีชดใช้สักหน่อยหรือ ให้โอกาสเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะให้คนอื่นไปแทน” ฉินหลิวซีทำเป็นเดินออกไปข้างนอก

คางคก “นี่ ดูเจ้ารีบร้อนเข้าสิ เรื่องทำความดีเช่นนี้ ข้าจะทำเอง”

มันเอ่ยพลางใช้ขาสามขากระโดดออกไป

มันถูกฉินหลิวซีทำให้พิการ และร่างกายก็ได้รับความเสียหายเก้าส่วน แต่ก็มีพลังชีวิตและอายุขัยที่ดูดซับไว้เป็นรากฐาน และมีตบะอีกเล็กน้อย ซึ่งดีกว่าปีศาจธรรมดาทั่วไปอยู่บ้าง เรื่องเล็กๆอย่างการที่ให้คนมาทำเรื่องต่างๆ เช่นนี้ เป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก

ดังนั้นหลานซิ่งและคนอื่นๆ ที่รออย่างใจจดใจจ่อมาเป็นเวลานาน คิดมากว่าฉินหลิวซีจะให้ใครมารายงานข่าว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มารายงานข่าวคือคางคกตัวหนึ่งที่พูดภาษาคนได้

หลานซิ่งได้รู้ถึงความปากร้ายของคางคกตัวนี้แล้วจึงสงบนิ่ง เริ่นถิงกลับเดินออกไปดูสีฟ้า พระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ

แต่เมื่อได้รับข่าวสาร เริ่นถิงก็ใช้ตัวตนของตัวเองเพื่อความสะดวกในทันที หาเหล่าทหารทางการเดินทางยามกลางคืนไปจับกุมคนที่วัดหนาหมัวแห่งนั้น เมื่อมาถึงที่หุบเขาจึงได้รู้ว่ามีเรื่องสกปรกชั่วร้ายเช่นนี้ในโลกนี้อีกด้วย

พระภิกษุมารในวัดหนาหมัวถูกจับกุมทั้งหมด และพระภิกษุกับบรรดาสตรีที่ถูกกักขังอยู่ในหุบเขาได้กลับมาที่วัดหนาหมัวอีกครั้ง รู้สึกราวกับได้กลับมายังโลกมนุษย์หลังจากรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้

หลังจากที่รับคนออกมาแล้ว ฉินหลิวซีก็ได้ใช้ไฟทำลายหลุมศพและสถานที่ชั่วร้ายอื่นๆ ทั้งหมด เพื่อไม่ให้มีฮุ่ยเฉวียนคนที่สองมาสืบต่อ และได้ปรึกษากับจื้อเฉิงแล้วทำลายทางเข้าออกของอุโมงค์ลับ

เมื่อเห็นว่าร่างกายหุ้มกระดูกของจื้อเฉิงถูกทรมานจนเสื่อมโทรม และเหล่าพระภิกษุพิการเองก็ยังอยากรอดชีวิต ฉินหลิวซีจึงจับชีพจรให้พวกเขาทีละคนแล้วเขียนใบสั่งยา

“เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในวัดหนาหมัว ทางการจะต้องแจ้งให้ราษฎรรับรู้ อย่างไรเสียก็ได้มีพระภิกษุมารเกิดขึ้น และได้สมรู้ร่วมคิดกับผู้บำเพ็ญสายมารอื่นๆ จะต้องให้ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อรับรู้ ทำลายพระพุทธรูปมารที่ถูกเผยแผ่ออกไป” ฉินหลิวซีเอ่ยกับอาจารย์จื้อเฉิงว่า “เมื่อถูกเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงของวัดหนาหมัวย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควันธูปย่อมจางลง วันเวลาอาจจะยากลำบาก ท่านต้องเตรียมใจให้พร้อม”

“อมิตาภพุทธ อาตมาเดิมทีก็เป็นพระภิกษุผู้ยากไร้ มาถึงที่นี่มีวาสนาจึงได้สร้างวัด ควันธูปไม่เจริญรุ่งเรือง แต่วัดแห่งนี้ยังอยู่ มีพื้นที่สองหมู่[1] อย่างไรเสียก็สามารถเป็นที่พึ่งได้ บรรดาพระภิกษุไม่อดตาย ตราบใดที่บูชาพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ส่งเสริมพระพุทธศาสนาสุดหัวใจ เมื่อเวลาผ่านไปนาน ควันธูปก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งได้เสมอ” จื่อเฉิงประนมมือทั้งสองข้างแล้วโค้งให้กับฉินหลิวซี “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความเมตตาของสหายน้อย พวกข้าจึงได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง มีโอกาสชดใช้บาปกรรม ต่อไปนี้เงินค่าธูปในวัดจะนำไปบริจาคทำความดีสะสมบุญเพื่อชดใช้บาปกรรม อมิตาภพุทธ”

[1] หมู่ คือหน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 หมู่ เท่ากับ 0.416667 ไร่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท