ตำหนักหงส์เพลิง
แสงไฟสายหนึ่งพุ่งมาจากฟ้า ทิ้งตัวลงหน้ากลุ่มตำหนักอย่างมั่นคง
แสงไฟกลายเป็นบุรุษรูปงามสวมเสื้อคลุมสีแดง ในมือถือเกาทัณฑ์โบราณหยาบยาวสีขาวเล่มหนึ่ง
สายลมอ่อนไร้รูปร่างห่อหุ้มร่างเขา มาถึงโลกใบนี้ได้นานพอประมาณแล้ว จึงสามารถใช้ความสามารถระดับสูงส่วนหนึ่งจากโลกเทพนอกรีตได้บ้าง การอาศัยลมอำพรางตัวเองเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายดายยิ่ง
ลู่เซิ่งที่ถือเกาทัณฑ์โฮ่วอี้เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในลานตำหนัก โดยสายลมอ่อนประหลาดอำพรางร่างกายเขา ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายหรือเสียง คนรอบข้างก็ไม่อาจสัมผัสได้
ในลานมีหญิงสาวสวมกระโปรงเขียวนั่งอ่านหนังสืออยู่ แม้จะอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่กลับไม่สังเกตเห็นเลยว่าลู่เซิ่งเดินเข้ามาแล้ว
ลู่เซิ่งเดินตัดผ่านทะลุลานมาถึงห้องตัวเอง สะบัดมือเล็กน้อย พลังไร้รูปร่างหลายสายพลันกระจา ตัดขาดทั้งห้องจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
เขานั่งขัดสมาธิ สองมือกำสายเกาทัณฑ์แน่น บนผิวที่คนทั่วไปมองไม่เห็น พลังอาวรณ์จำนวนเหลือคณานับจากเกาทัณฑ์เทพโฮ่วอี้ไหลทะลักเข้าร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง
เขาดูดซับอยู่กว่าครึ่งชั่วยาม เกาทัณฑ์เทพเริ่มแตกเป็นผุยผง
ลู่เซิ่งคลายมือ พลังงานกับความแค้นผืนดินนับไม่ถ้วนบนเกาทัณฑ์เทพกระจายตัวออก แต่เป็นเพราะการกลืนกินของเขา พลังงานและความแค้นที่เหลืออยู่จึงมีไม่มากแล้ว เพียงกระจายออกไปเช่นนี้ ไม่นานก็กลับสู่ผืนดินด้วยเส้นทางลี้ลับ
“ดีปบลู” ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนทันที
มองดูจำนวนพลังอาวรณ์ที่แสดงบนดีปบลูอยู่ที่ 246,000,000
“ไม่เลวๆ!” ลู่เซิ่งผ่อนคลาย ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“ไม่เสียทีที่ลำบากลำบน”
เขายืดตัวตรง หวนนึกถึงตอนลงมือ ใบหน้าฉายแววใคร่ครวญ
“หากเป็นแบบนี้ ในตำนานเทพนิยายพวกนี้ ถ้าเราชิงสมบัติมาได้สักสองสามอย่าง เกรงว่าจะได้อะไรๆ เยอะกว่าของวิเศษอย่างอื่นอีก ในยุคบรรพกาล ยิ่งเป็นของวิเศษเลื่องชื่อ พลังอาวรณ์ที่มีอยู่ก็น่าจะยิ่งมีมาก บางทีอาจจะลงมือจากทางนี้ได้”
เขานั่งอยู่สักพัก ก็สลายการป้องกันห้อง ก่อนจะเดินออกไป
หญิงสาวในตัวลานลุกขึ้นเตรียมจะกลับห้อง เจอกับเขาตรงปากระเบียงพอดี
ทั้งสองไม่ได้รู้จักกัน หญิงสาวมีใบหน้าเย็นชาสง่างาม บุคลิกเหมือนน้ำแข็ง รูปร่างบอบบางสะโอดสะอง เปลือกตาสีเขียวเหมือนกับทาอายแชโดว์
ลู่เซิ่งเดินเฉียดผ่านนาง รู้สึกได้เบาบางถึงความรู้สึกร้อนแรงแตกต่างไปจากคนเผ่าหงส์เพลิงคนอื่น แต่เขาเพียงเฉลียวใจเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนัก ในฐานะทายาทหงส์เพลิง บางทีอาจเกิดการกลายพันธุ์อะไรก็ไม่แน่
“ปี้ฟาง เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่ หัวหน้าเผ่าเชิญเจ้าไปรวมตัวที่ตำหนักหน้า เร็วสิ จะไม่ทันกาลแล้วนะ”
ทันใดนั้นก็มีไฟสายหนึ่งทิ้งตัวลงมา หญิงสาวคนหนึ่งจากหงส์เพลิงผลุนผลันเดินออกจากไฟ จับแขนหญิงสาวอย่างเย็นชา ก่อนจะวิ่งไปด้านนอก
ตอนที่วิ่งผ่านลู่เซิ่งไป หญิงสาวทักทายเขาอย่างรีบเร่ง ไม่ทันพูดอะไร ก็ฉุดดึงหญิงสาวอีกคนลอยขึ้นฟ้า กลายเป็นเปลวไฟสลายหายไปแล้ว
“ปี้ฟางหรือ” ลู่เซิ่งทวนอย่างแปลกใจ
นี่เป็นจอมเทพปีศาจที่มีชื่อเสียงหลังกำเนิด ได้ยินได้จากตำนานเทพนิยายมากมาย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาไม่สะดุดตาคนหนึ่ง
เขาไม่คิดสนใจ ในเมื่ออวี่ซวนไม่ตามตัวเขา อย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องของเขา
เดินตามทางระเบียงออกจากตำหนัก ลู่เซิ่งเล็งทิศทาง ก่อนจะลอยตัวขึ้นบินออกไปทางตำหนักเทพปีศาจอวิ๋นเหมิง
…
อุทยานปีศาจ ตำหนักร้อยทิวทัศน์
เทพปีศาจไป๋จิ่งเป็นยักษ์อ้วนสูงใหญ่ตาหกข้าง เวลานี้เพิ่งจับหญิงสาวเผ่ามนุษย์มาสองคน นั่งบนบัลลังก์ศิลาขาวสูงร้อยหมี่ ก้มมองสหายสนิทอวิ๋นเหมิงเดินเข้ามา
“น้องอวิ๋นเหมิง เหตุใดวันนี้ถึงมาเป็นแขกที่ตำหนักไป๋จิ่งได้เล่า มาๆๆ รีบมานั่งสิ เด็กๆ รีบยกสุรากับอาหารมาเร็ว!” ยักษ์ไป๋จิ่งดูเหมือนมีอัธยาศัยดี แต่ชอบกินหญิงสาวชาวมนุษย์เป็นที่สุด
อวิ๋นเหมิงยิ้มพลางส่ายหน้า เดินไปนั่งลงบนที่นั่งศิลาที่ถูกยกมา
“ขอไม่ปิดบัง ผู้น้องมาขอความช่วยเหลือ”
“โอ้ว? ช่วยเหลือหรือ” ไป๋จิ่งขยำหญิงสาวมนุษย์ในมือ จิ้มกับน้ำจิ้มบนโต๊ะ ก่อนจะยัดเข้าปาก
“น้องชายเจ้าเชี่ยวชาญพิษ แม้แต่ข้าก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ ยังมีปัญหาอะไรได้อีก” ไป๋จิ่งพ่นผมหย่อมหนึ่งออกมา จากนั้นก็หยิบหญิงสาวอีกคนออกมาจากในตะกร้า
“คือเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้น้องได้ของล้ำค่าอย่างหนึ่งมา” อวิ๋นเหมิงทำสีหน้ามีเลศนัย
“เพียงแต่หลายวันมานี้ ก็ยังไม่อาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ท่านผู้น้องถนัดทะลวงของวิเศษ คว้าจุดอ่อน ที่มาวันนี้ก็เพื่อให้เจ้าช่วยสักครา”
ไป๋จิ่งจับสองขาหญิงสาว กำลังจะยัดเข้าปาก พลันรู้สึกมือเปียก หญิงสาวตกใจหวาดกลัวจนปัสสาวะราด ดิ้นรนร้องไห้ในมือเขา
“ของล้ำค่าหรือ ของล้ำค่าอะไรที่ทำให้เจ้าให้ความสำคัญขนาดนี้” เขาสะบัดปัสสาวะบนมือ หยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งจากผู้รับใช้ด้านข้างมาเช็ดอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“เป็นโอสถวิเศษที่เมื่อกินแล้วจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมวารีได้” อวิ๋นหมิงกดเสียงกล่าว
“หือ? โอสถหรือ” ไป๋จิ่งพลันตาลุกวาว เริ่มสนใจขึ้นมา
ช่วงนี้เขาฝึกฝนอิทธิฤทธิ์หนึ่ง จำเป็นต้องยกระดับความสามารถควบคุมน้ำพอดี ไม่นึกมาก่อนเลยว่าอวิ่นเหมิงจะได้โอสถที่เพิ่มความสามารถในการควบคุมน้ำมา
“ก็ได้ พวกเราสนิทสนมกัน ลองเอามาดูสิ” เขาเหลียวมองรอบข้างแล้วก็โยนหญิงสาวในมือกลับไปในตะกร้า
อวิ๋นเหมิงพยักหน้า ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เล็กน้อย แล้วหยิบกล่องแพรสีดำใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ
“จะปล่อยให้ปราณโอสถไหลออกมาด้านนอกมากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นผลของโอสถจะอ่อนลง…” อวิ๋นเหมิงกล่าวเสียงแผ่ว
ไป๋จิ่งเข้าใจ สองฝ่ายยื่นศีรษะเข้าใกล้กันมากขึ้น สายตาจับจ้องกล่องแพรสีดำ
อวิ๋นเหมิงยื่นมือไปกดขอบกล่องแพรช้าๆ ค่อยๆ เปิดแง้มออก แสงสีม่วงเล็กสายหนึ่งสาดออกมาจากในกล่อง ก่อนตามมาด้วยกลิ่นโอสถเจือจาง
“ดูให้ดีเล่า” อวิ๋นเหมิงเปิดฝาออกทันที
ฟู่!
ชั่วพริบตานั้นหนวดสีดำอมม่วงมากมายทะลักออกมาจากตา หู จมูก ปากของอวิ๋นเหมิง หนวดนับไม่ถ้วนมุดเข้าปากและจมูกของไป๋จิ่งอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากอยู่ใกล้กันเกินไป ไป๋จิ่งจึงรับมือไม่ทัน ถูกหนวดมากมายมุดเข้าไป
ร่างยักษ์ชนบัลลังก์เบื้องหลังอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เจ้า!?”
ไป๋จิ่งกำลังจะลงมือ แต่ว่าแขนขวาที่เพิ่งยกขึ้นกลับตกลง
“อวิ๋นเหมิง! เจ้าทำร้ายข้า!” เขาอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา กดเสียงกล่าว หนวดกาฝากที่มุดเข้าไปทำให้เขาเข้าใจทันทีว่า จิตปฐมกายปีศาจของตนได้ถูกพลังงานชั่วร้ายบางอย่างควบคุมแล้ว แม้แต่ความคิดต่อต้านก็ถูกทำให้อ่อนแอลง
การเคลื่อนไหวที่เพิ่งจะยกมือขึ้นจึงเป็นเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดจะร่ายอาคมกำจัดอวิ๋นเหมิง แต่หนวดกาฝากกลับควบคุมพลังทั้งหมดของเขา พริบตาเดียวก็ดึงพลังปีศาจกลับไป
อวิ๋นเหมิงเผยสีหน้าจนปัญญาเช่นกัน
“ขออภัย ข้าก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน”
…
การเคลื่อนไหวของอวิ๋นเหมิงรวดเร็วมาก หลังจากใช้ประโยชน์จากหนวดแพร่พันธุ์ในร่างตัวเองฝังกาฝากบนตัวสหายสนิทสองคน สหายสนิทสองคนนี้ก็ฝังกาฝากใส่เทพปีศาจอีกสามคนแบบขยายพันธุ์ในสังคมของตัวเอง
เทพปีศาจที่ถูกฝังกาฝากก็มีเส้นสายแวดวงของตัวเองอีก ดังนั้นพอเป็นแบบนี้ซ้ำๆ กัน หนวดเทพนอกรีตก็ฝังบนตัวเทพปีศาจจำนวนมากกว่าเดิม ขยายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
แต่ว่าตามคำแนะนำของลู่เซิ่งเทพปีศาจพวกนี้ส่วนใหญ่ต่างเป็นเทพปีศาจขั้นต่ำที่ไม่มีความสามารถพิเศษอย่างลางสังหรณ์
และเป็นระดับเซียนทองคำขั้นกลางที่แข็งแกร่งกว่าหัวหน้าเผ่าหงส์เพลิงอวี่ซวนหนึ่งขั้น
ระดับเซียนทองคำขั้นสูงถึงเทพปีศาจขอบเขตเซียนทองขั้นสมบูรณ์ พวกอวิ๋นเหมิงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม
ขอบเขตเซียนทองคำ หนึ่งขั้นเท่ากับสวรรค์หนึ่งชั้น พลังแตกต่างกันมหาศาล อย่าว่าแต่เซียนทองคำขั้นสูงยังหลอมสร้างเกราะเปลือกหรือร่างกายบางส่วนของตัวเองเป็นของวิเศษคุ้มกัน ของวิเศษคุ้มกันเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถเตือนภัยและคุ้มกันได้ จึงลอบเล่นงานได้ยาก
ในเวลากว่าสามเดือนกว่า เทพปีศาจมากกว่าร้อยของอุทยานปีศาจ ครึ่งหนึ่งถูกลู่เซิ่งฝังกาฝากสำเร็จแล้ว
พวกเทพปีศาจที่เหลือลงมือไม่ง่ายนัก
ลู่เซิ่งผลาญพลังเทพนอกรีตมหาศาล ทำให้ไม่สะดวกแก่การลงมือ จึงควบคุมไม่ให้ร่างกาฝากหรือพวกเทพปีศาจลงมืออีก
ในเวลาเดียวกันเขาก็ลอบให้ร่างกาฝากมากมาย นำของวิเศษอาวุธเวทที่ตนเองเก็บรวบรวมออกมา เพื่อให้เขาดูดกลืนพลังอาวรณ์
ทั้งยังแต่งตั้งเทพปีศาจสามตนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด เป็นผู้นำในการนำเทพปีศาจตนอื่นๆ ชั่วคราว
ในเวลาเดียวกัน เผ่าเวทกับเผ่าปีศาจก็เข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง เขาปู้โจวซานเอียงล้ม จมลงทุกวันๆ ช่องว่างระหว่างฟ้าดินต่ำลงเรื่อยๆ
ถ้าหากฟ้าดินสมานตัว โลกจะเข้าสู่กาลโกลาหล ทุกอย่างกลับคืนสู่ความขมุกขมัว วายุสวรรค์กับแสงพิษจากสามสิบสามชั้นฟ้าทำลายสิ่งมีชีวิตบนผืนดินได้แทบทั้งหมดภายในพริบตาเดียว
ภัยพิบัติฟ้าดินเช่นนี้ ผู้วิเศษคนอื่นไม่นำพา แต่ว่าหนี่ว์วาซึ่งเป็นมารดาแห่งเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจไม่อาจนั่งดูดายได้
…
ณ ตำหนักเทพปีศาจอวิ๋นเหมิง
ลู่เซิ่งหลับตานั่งนิ่งบนบัลลังก์ด้านข้าง
ไม่นานนัก อวิ๋นเหมิงกับเทพปีศาจอีกสองตนก็มาถึง ยืนอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้านอบน้อม
“นายท่าน”
เทพปีศาจสามตนทักทายลู่เซิ่งอย่างกริ่งเกรง
ลู่เซิ่งลืมตาขึ้น
“เอาของวิเศษมาหรือยัง”
“เอามาแล้วขอรับ!” พวกอวิ่นเหมิงพยักหน้า
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้ที่เรียกพวกเจ้ามา นอกจากเรื่องของวิเศษแล้ว ก็คือการตัดสินใจแผนการขั้นต่อไป”
“นายท่านโปรดชี้แนะ!” เทพปีศาจเฝยอี๋ที่อยู่ทางขวาของอวิ๋นเหมิงกล่าวอย่างระมัดระวัง
เฝยอี๋เป็นนกชนิดหนึ่ง ร่างกายไม่ใหญ่โตอะไร สามารถบำเพ็ญถึงขอบเขตเทพปีศาจได้ เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาแล้ว แต่เป็นเพราะสายเลือดของเผ่าพันธุ์ไม่แข็งแกร่ง ทำให้อิทธิฤทธิ์อ่อนแอ จึงถูกฝังกาฝากอย่างง่ายดาย
แต่ว่าเฝยอี๋เป็นผู้ที่มีพลังฝึกปรือล้ำลึกที่สุดในหมู่เทพปีศาจสามตน อีกนิดเดียวก็จะทะลวงสู่ขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้ ฝึกฝนมาหลายแสนปี ดังนั้นแม้สายเลือดจะอ่อนแอ แต่ก็เป็นผู้นำในหมู่เทพปีศาจทั้งสาม
“เอาของวิเศษมาก่อน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
สามเทพปีศาจไม่กล้าชักช้า รีบเอาของวิเศษที่รวบรวมมาจากเทพปีศาจตนอื่นออกมาวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าลู่เซิ่ง
รอจนวางหมดแล้ว ลู่เซิ่งก็เอื้อมมือหยิบของวิเศษขึ้นมาตรวจสอบแตะต้องแผ่วเบา ราวกับพิเคราะห์ เปลือกนอกเหมือนตรวจดู แต่แท้จริงแล้วกำลังดูดซับพลังอาวรณ์อยู่
ของวิเศษทั้งหมดแปดชิ้น ทุกชิ้นต่างเหนือกว่าอาวุธเวทที่เขาได้มาตอนแรกทั้งสิ้น บรรจุพลังอาวรณ์ไว้อย่างน้อยมากกว่าสิบล้านหน่วย
แม้จะสู้เกาทัณฑ์เทพโฮ่วอี้ไม่ได้ แต่ค่อนข้างยอดเยี่ยมแล้ว
เพียงแต่จำนวนนี้ ออกจะน้อยไปหน่อย…
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วกวาดตามองของวิเศษบนโต๊ะ เขาฝังกาฝากใส่เทพปีศาจอย่างน้อยยี่สิบกว่าตน แต่ของวิเศษที่รวบรวมมาได้กลับมีแค่แปดชิ้นเท่านั้น
……………………………………….