บทที่ 1534 ปะทะฝีปาก
“ตั้งแต่โบราณกาลมา ฮ่องเต้คิดว่าทุกอย่างในอาณาจักรเป็นของประชาชน ทุกอย่างมีขึ้นมีลง เมื่อดินแดนเจริญรุ่งเรืองจึงปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนลูก กู้เสี่ยวหวานเป็นเพียงหญิงสาวจากหมู่บ้านในชนบท แต่กลับปลูกมันเทศเพื่อช่วยชาวเมืองจากภัยพิบัติ ฮ่องเต้จึงมีการแต่งตั้งข้าซึ่งเป็นเพียงเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านจากชนบทให้เป็นเสี้ยนจู่อันผิงระดับห้า พวกท่านรู้เหตุผลไหม นั่นเป็นเพราะว่าฝ่าบาทคำนึงถึงผลประโยชน์ของอาณาจักร แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือประชาชน ถึงข้าจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ก็มีความสำคัญในใจของฮ่องเต้ไม่ต่างจากทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ จากสถานะเสี้ยนจู่อันผิงของข้าก็เห็นได้ว่าฝ่าบาทมีเราซึ่งเป็นสามัญชนที่ต่ำต้อยอยู่ในใจ ข้าต้องการถามหมิงตูจวิ้นจู่สักนิดว่า พวกเราชาวบ้านที่มีความสำคัญในใจของฮ่องเต้ พวกข้ายังน่ารังเกียจอยู่อีกหรือ?”
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานทรงพลังและมากไปด้วยความหมายมากมาย ทำให้ไม่มีผู้ใดหักล้างคำพูดของนางได้ และนี่ยังเป็นการตบหน้าซูหมิ่นอีกด้วย
ใช่แล้ว มีสามัญชนที่ต่ำต้อยที่สุดเหล่านี้อยู่ในหัวใจของฝ่าบาท ไม่เช่นนั้นเหตุใดฝ่าบาทจึงทรงแต่งตั้งหญิงสาวจากชนบทคนนี้เป็นเสี้ยนจู่อันผิง เป็นเพราะมีประชาชนอยู่เต็มหัวใจ พวกเขาเป็นเพียงผู้รับใช้ของฝ่าบาท แล้วจะไม่มีประชาชนอยู่ในใจได้อย่างไร
หากยังมีคนที่บอกว่าสถานะของกู้เสี่ยวหวานต่ำต้อยและไม่คู่ควรที่จะเป็นเสี้ยนจู่อันผิง เกรงว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะไม่ปล่อยคนเหล่านั้นไป
คำพูดของกู้เสี่ยวหวานถูกเอ่ยออกมาในที่สาธารณะ จะมีผู้ใดกล้าดูถูกนางอีก?
ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจและคำพูดที่ทรงพลัง
ซูจือเยว่ก็ประทับใจเช่นกัน เขาจ้องมองผู้หญิงที่นิ่งสงบคนนี้ เมื่อซูหมิ่นเอาแต่เยาะเย้ยนาง แต่ก็ไม่เห็นอาการตกใจและความขุ่นเคืองใด ๆ ในตอนที่นางกล่าวออกมาก็ไม่มีอาการประหม่าที่ทำให้รู้สึกว่านางมาจากชนบท แต่ถูกกำหนดให้เป็นดาวที่สว่างเจิดจ้า
ไม่เพียงแต่ซูจือเยว่เท่านั้น แม้กระทั่งฮูหยินซูผู้ซึ่งได้เห็นการลับฝีปากมาหลายครั้งก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือให้กับผู้หญิงคนนี้
เมื่อถูกใส่ร้ายก็ไม่ถ่อมตน เมื่อโต้กลับก็มีโทษถึงตาย คนเช่นนี้…
ฮูหยินซูอดไม่ได้ที่จะมองดูนางอีกสองสามครั้ง แต่ยิ่งมองนางก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นราวกับว่าได้กินน้ำผึ้ง
“เสี้ยนจู่อันผิง ฝีปากของเจ้าช่างเก่งกาจ แม้แต่ข้าก็ขอชื่นชม” ซูหมิ่นกัดฟันฝืนยิ้ม มองดูแล้วน่าเกลียดไม่น้อย
“ขอบคุณสำหรับคำชมของจวิ้นจู่ เสี่ยวหวานยังรู้สึกว่าปากของข้ากินได้เฉพาะของอ่อนเท่านั้น ไม่สามารถกินของแข็งได้ ไม่เพียงแต่จะอาเจียนเท่านั้น แต่ยังอาจอาเจียนพุ่งอีกด้วย” กู้เสี่ยวหวานค้อมร่างพร้อมรอยยิ้มซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น แต่ความเย็นชาในดวงตาของนางทำให้ผู้คนรู้สึกว่าราวกับถูกมีดทิ่มแทง แม้แต่หมิงตูจวิ้นจู่ก็ยังไม่อาจรอดพ้น
ซูหมิ่นหัวเราะอย่างเย็นชาจนทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุก กู้เสี่ยวหวานไม่แสดงอาการอ่อนแอ และมองนางด้วยสายตาไม่ยอมแพ้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูจือเยว่จคงทนไม่ได้และรีบดึงแขนเสื้อของฮูหยินซูให้ดำเนินการต่อ
ฮูหยินซูได้สติขึ้นมาโดยพลัน จึงมองไปที่ซูจื่อเยว่ และทันใดนั้นก็เข้าใจในทันทีจึงกล่าวว่า “ทุกท่าน งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เชิญทุกท่านนั่งลงเถอะ”
ซูหมิ่นแสยะยิ้มเย็นชาและมองกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตามุ่งร้าย จากนั้นนางก็เดินไปด้านหน้าสุดด้วยการประคองของซูเฉี่ยนเยว่
ซูจือเยว่อยู่ข้างหลังและแอบชำเลืองมองกู้เสี่ยวหวานตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยไม่แยแสของนาง มันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุข
เมื่อซูจือเยว่หยุดลงตรงที่นั่งประตำแหน่งของเขา สายตาของเขามักจะหยุดลงอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยด้านหน้าตนเอง ความจริงแล้วเขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น ราวกับว่ากู้เสี่ยวหวานสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา กู้เสี่ยวหวานจึงเงยหน้าขึ้นและสบเข้ากับสายตาของซูจือเยว่ที่แอบมองตนเองอยู่
ซูจือเยว่ไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจึงผงะไปเล็กน้อย และทั้งสองก็จ้องตากันอยู่อย่างนั้นด้วยความตกตะลึง
ซูจือเยว่ตกตะลึงไปแล้ว
นางมีดวงตากลมโตและดำขลับราวกับไข่มุกดำ ส่องแสงเจิดจ้าเหมือนดวงดาวเจิดจรัสบนท้องฟ้าที่ส่องแสงแพรวพราวระยิบระยับ
กู้เสี่ยวหวานเป็นคนแรกที่ตอบสนอง นางขมวดคิ้วและจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ในที่สุดซูจือเยว่ก็เข้าใจว่าตัวเองจ้องมองนางอย่างเปิดเผยเกินไป จึงรีบเสมองไปทางอื่นด้วยรอยยิ้ม หากแต่ในใจกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาคลี่ยิ้มจางให้กู้เสี่ยวหวาน แล้วรุดขึ้นหน้าเล็กน้อย ซูหมิ่นยืนที่เอาแต่พิงเขาตลอดเวลาจึงทำให้ไม่เห็นรอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของซูจือเยว่ในขณะนี้
เนื่องจากงานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ตระกูลซู ตำแหน่งของฮูหยินซูจึงถูกจัดให้อยู่ด้านบนสุด และจวิ้นจู่ทั้งสองถูกจัดไว้ที่ด้านซ้ายและขวาของฮูหยินซูตามลำดับ จากนั้นเป็นซูจือเยว่ ซูเฉี่ยนเยว่ และคุณหนูทุกคน สถานะของกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ระดับห้า ดังนั้นที่นั่งของจางจึงอยู่ท้ายสุดตามลำดับ
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นเมื่อฮูหยินซูกล่าวเปิดงาน
แต่งานเลี้ยงนี้มันน่าเบื่อเกินไปจริง ๆ มีเพียงการแสดงร้องเล่นเต้นรำ ไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ
กู้เสี่ยวหวานคือคนที่เคยเห็นทักษะพิเศษบนเวทีที่ทั้งโดดเด่นและงดงามกว่านี้
ด้วยเหตุนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงมีท่าทีดูเฉยเมย ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ และทำเพียงแค่ปรบมือพร้อมกับทุกคน นางคิดว่าเมื่องานเลี้ยงจบลงจะรีบกลับบ้านทันที แต่กลับถูกบางคนรั้งให้อยู่ต่ออย่างลำบากใจ
“เสี้ยนจู่อันผิง เป็นครั้งแรกที่เจ้ามีส่วนร่วมในงานเลี้ยง เหตุใดวันนี้ไม่แสดงทักษะของเจ้าออกมาให้ทุกคนดูล่ะ” ซูเฉี่ยนเยว่เอ่ยขึ้นพลางมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ด้วยสมองที่โง่เหมือนหมูของนาง กู้เสี่ยวหวานไม่รู้เลยว่านางโง่เขลาจริง ๆ หรือกำลังแสแสร้งกันแน่
…………….