บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1465 ภัยพิบัติมาถึงแล้ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1465 ภัยพิบัติมาถึงแล้ว

……………………………………………………………………..

บทที่ 1465 ภัยพิบัติมาถึงแล้ว

หลังจากที่มันดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังของเนตรทัณฑ์สวรรค์ก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพลังของเต๋าสวรรค์ที่มันปลดปล่อยออกมา เสมือนกับจุดจบของโลกกำลังมาถึง

ท้องฟ้าพังทลายลง กลายเป็นเศษเสี้ยวของกระแสความโกลาหลที่ปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเวลา มิติ และกฎที่อยู่ภายในนั้น ล้วนอยู่ในสภาพล่มสลายครั้งใหญ่

ทั้งหมดนี้เกิดจากเนตรทัณฑ์สวรรค์

เมื่อมองขึ้นไปจากผืนดิน ดวงตาที่ลึกล้ำ เย็นชาและไร้อารมณ์ ผันกลายเป็นเจ้าผู้ครองหนึ่งเดียวเหนือท้องฟ้าที่กำลังพังทลายลง!

นอกเหนือจากกลุ่มของเฉินซี ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ในฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้!

”ไม่อาจหันหลังกลับไปได้แล้วหรือ?” หลียางกล่าวอย่างหนักใจ คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกเขาต่างเผยสีหน้าอันเคร่งเครียดที่เห็นได้ยาก เพราะล้วนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของภัยพิบัติที่เกิดจากเนตรทัณฑ์สวรรค์

“ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวไว้ว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไข ซึ่งถูกเตรียมการโดยนิกายอำนาจเทวะและมันถูกกำหนดไว้นานแล้ว ไม่มีผู้ใดในสามภพที่สามารถแก้ไขมันได้” เที่ยอวิ๋นไห่กล่าวเสียงดัง ร่างกายที่เปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ปกป้องทุกคนอย่างแน่นหนา ทำให้หลีกเลี่ยงจากการถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันจากเนตรทัณฑ์สวรรค์ได้

“มหาเต๋ามักจะทิ้งร่องรอยของโอกาสที่จะมีชีวิตรอดอยู่ในฟ้าดินเสมอ และสรรพสิ่งภายในสามภพก็เป็นเช่นกัน แล้วจะถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้อย่างไร?” หลียางขมวดคิ้ว สับสนอย่างยิ่ง

“ศิษย์น้อง เจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ร่องรอยที่หลงเหลือนั้น หมายถึงความโกลาหลในช่วงเริ่มต้นของโลก ความโกลาหลทำให้เกิดเต๋าแห่งสวรรค์ เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม และสามให้กำเนิดสรรพสิ่ง”

เป็นปราชญ์เฒ่าที่กล่าว สีหน้าของเขามืดมนและซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง แต่กลับเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณเมื่อกล่าวถึงหลักการและความลับของจักรวาล “สรรพสิ่งล้วนมีชีวิตและดับไป เป็นชะตากรรมของพวกมัน สัตว์ทั้งหลายในโลกต้องทนทุกข์จากความโลภ การฆ่าฟัน ความโศกเศร้าหรือความสุข และมันทำให้ต้องพัวพันกับกรรม ในขณะที่ชะตากรรมของพวกมันมาบรรจบกัน ดังนั้นภัยพิบัติจึงเกิดในเวลาอันสมควร มันไม่มีที่สิ้นสุด และยังถือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเป็นดั่งมด…”

หลียางหมดความอดทนในขณะที่ฟังสิ่งนี้ และนางก็ขัดจังหวะก่อนที่ชายชราจะทันได้กล่าวจบ “ศิษย์พี่สี่ ช่วยสรุปด้วย”

ใบหน้าของปราชญ์เฒ่าแข็งทื่อ และเม้มริมฝีปากพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กระอักกระอ่วน “กล่าวอีกนัยหนึ่ง ร่องรอยของโอกาสในการเอาชีวิตรอดนั่นถูกทิ้งไว้สำหรับสิ่งมีชีวิตมากมายในโลก และไม่ใช่สำหรับพวกเราผู้บ่มเพาะ”

เมื่อสังเกตเห็นว่าทุกคนยังคงไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทั้งหมดนี้กับสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้ในปัจจุบัน เที่ยอวิ๋นไห่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาทันที “ศิษย์น้องหญิง ลองดูภัยพิบัติของวันนี้สิ ไม่ว่าพวกเจ้าจะถูกกักขังและถูกสังหารอยู่ภายในค่ายกล หรือขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดจะถูกทำลายล้าง ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าจะโลหิตเทพ ดวงวิญญาณ หรือลมหายใจ ทุกสิ่งล้วนถูกเนตรทัณฑ์สวรรค์กลืนกิน เพื่อที่มันจะกลายเป็นชนวนที่ทำให้ภัยพิบัติปะทุขึ้น”

เที่ยอวิ๋นไห่หยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งเจ้านิกายอำนาจเทวะได้จัดเตรียมไว้ และเป้าหมายสุดท้ายของเขาคือการชักนำภัยพิบัติลงมาล่วงหน้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกมันจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากภัยพิบัตินี้ สำหรับชะตากรรมของขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดนั้น ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเจตจำนงของเจ้านิกายอำนาจเทวะได้เลย”

ในที่สุด ทุกคนก็เข้าใจอย่างฉับพลัน และจากนั้นความหนาวเย็นก็กัดกินหัวใจทันที ราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็งอันเยือกเย็น!

เจ้านิกายอำนาจเทวะผู้นี้ ไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ!?

แม้แต่ขุนพลสังหารเทพทั้งเจ็ดที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มานานจนไม่อาจนับ ก็ยังถูกใช้เป็นหมากในแผนการของเขา แผนการนี้ช่างน่าสะพรึงจริง ๆ!

ในขณะนี้ ร่องรอยความสุขที่เหลืออยู่ในใจได้มลายหายไปหมดสิ้น และพวกเขาก็รู้สึกถูกกดดันแทน

เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ และรอดมาได้อย่างปลอดภัย แต่ท้ายที่สุด พวกเขายังตกอยู่ในแผนการของเจ้านิกายอำนาจเทวะ ทั้งยังไม่มีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้เลย!

ถึงขนาดที่กลายเป็นหมากในแผนการของเจ้านิกายอำนาจเทวะเช่นกัน!

ความรู้สึกของการถูกบงการโดยผู้อื่นทั้งที่ไม่รู้ตัวนั้น เป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจของพวกเขารู้สึกหนาวเย็น

“ทุกคน ข้าตั้งใจจะเดินทางไปยังคุกเนตรเซียน” ในขณะที่คนอื่น ๆ รู้สึกหนักใจ เฉินซีกลับกล่าวขึ้นมา เมื่อมองไปจึงเห็นว่าสีหน้าของเฉินซีนั่นดูมืดมนอย่างยิ่ง ทั้งยังเต็มไปด้วยความกังวล

ใช่แล้ว เฉินซีที่เคยประสบกับภัยพิบัตินี้และรอดชีวิตจากมันได้ จู่ ๆ เขาก็ตระหนักถึงปัญหาหลังจากที่สงบใจ มารดาของเขา จั่วชิวเสวี่ย ยังคงถูกกักขังอยู่ในคุกเนตรเซียน!

ไม่ใช่ความผิดของเขาที่เพิ่งตระหนักได้ในเวลานี้ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป และทุกย่างก้าวอาจกล่าวได้ว่า เหมือนเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้าย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสงบใจได้เลย

แต่ในขณะนี้ สติของเฉินซีกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง และเขาตระหนักถึงปัญหานี้ ดังนั้นการแสดงออกจึงไม่น่าดูอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกผิด และตำหนิตนเอง

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าต้องขออภัยด้วย ภัยพิบัตินี้ร้ายแรงเกินไป จิตใจของข้าจึงอดไม่ได้ที่จะมองข้ามบางสิ่งไป” หลียางก็เข้าใจเช่นกัน และนางมีสีหน้ารู้สึกผิด ซึ่งขณะที่กล่าวเช่นนี้ นางก็คว้ามือของเฉินซีไว้ “มาเถอะ ไปด้วยกันเลย”

“ช้าก่อน!” เที่ยอวิ๋นไห่รีบหยุดพวกเขาทันที

หลียางและเฉินซี แล้วหันกลับมามองเจ้าของเสียง

สีหน้าของเที่ยอวิ๋นไห่แปลกพิลึก และครุ่นคิดลึกซึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ใครบางคนทำลายคุกเนตรเซียนไปแล้ว ก่อนที่ศิษย์พี่และข้าจะมาถึงเสียอีก แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไปศิษย์น้องเล็ก มารดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างในไม่ช้า”

คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น และนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนที่จะตอบตกลงในท้ายที่สุด

ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ถึงต้องการหยุดเขา แต่เนื่องจากศิษย์พี่สามกล่าวเช่นนั้น มันย่อมมีความหมายอย่างแน่นอน และเขาสามารถเชื่อใจศิษย์พี่สามได้

อย่างไรก็ตาม ลางร้ายก็ผุดขึ้นในใจอย่างไม่มีสาเหตุ ดูเหมือนว่าท่านแแม่จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าคงไม่อาจพบกับนางได้ในตอนนี้…

นี่เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

หลียางเงยหน้าขึ้นมองเที่ยอวิ๋นไห่ และหันไปกล่าวกับเฉินซีด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่ศิษย์พี่สามบอกว่ามารดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เขาย่อมไม่โป้ปดอย่างแน่นอน”

เฉินซีพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเข้าใจ ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก”

“ศิษย์น้องเล็ก ดื่ม!”

ทันใดนั้นน้ำเต้าก็ถูกยัดใส่มือ แท้จริงแล้วคือปราชญ์เฒ่า ชายชรายิ้มพลางจ้องมองเฉินซี พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ในที่สุด เขาเทพพยากรณ์ของเราก็มีศิษย์คนใหม่แล้ว แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน แต่ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถซื่อสัตย์ต่อหัวใจ และบรรลุความเข้าใจในเต๋าสวรรค์ นอกจากนี้ เจ้าควรอ่านตำราปราชญ์บางเล่มเมื่อมีเวลา ความลึกซึ้งภายในนั้นจะฝังลึกอยู่ในหัวใจและมิอาจอธิบายเป็นถ้อยคำได้ หากเจ้าเต็มใจ ก็สามารถหยิบยืมเพื่อศึกษาตำราที่ข้าได้รวบรวมและแสดงความคิดเห็นในตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ หรือแม้แต่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลอย่างประกาศิตกระบี่ขงจื๊อก็สามารถอ่านได้…”

ชายชราพูดพล่ามอยู่นาน และทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับน้ำเต้าสุรามาจากเขา จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ ศิษย์พี่สี่!”

ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นและกระดกสุราลงคอไป

สุรานั้นเข้มข้นและมีรสหวาน ทำให้เกิดความร้อนแล่นไปทั่วร่างกาย จิตใจของเฉินซีได้รับการฟื้นฟูจากสิ่งนี้ และความเศร้าโศกในอกพลันถูกชะล้างออกไปเล็กน้อย

ในขณะที่พวกเขาสนทนากัน เนตรทัณฑ์สวรรค์บนท้องฟ้าก็หยุดลง และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน!

จู่ ๆ ร่างที่ไร้ตัวตนและพร่ามัวก็ปรากฏภายในเนตรทัณฑ์สวรรค์ ร่างนั้นมีรูปร่างสูงเพรียว เส้นผมสีแดงเข้มที่ปล่อยลงมาบนไหล่ และมีรูปลักษณ์หล่อเหลา ทั้งยังถือประกาศิตสีม่วงไว้ในมือ แท้จริงแล้วมันคือซุ่ยเหรินถิง!

“คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?” ม่านตาของทุกคนหดตัวเมื่อสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้

“คนผู้นี้ได้ตายไปแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด เขาอาจถูกยึดครองร่างโดยเจตจำนงของเจ้านิกายอำนาจเทวะ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่เรากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ คือเจ้านิกายอำนาจเทวะ!” เที่ยอวิ๋นไห่เผยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก

เจ้านิกายอำนาจเทวะ!

ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนก็รู้สึกตกตะลึงในใจ และรู้สึกว่าหนังศีรษะตื้อชาไปหมด

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย เมื่อมองดูอย่างระมัดระวัง เขาก็สังเกตเห็นว่า อันที่จริง แม้ร่างที่อยู่ภายในเนตรทัณฑ์สวรรค์จะเป็นของซุ่ยเหรินถิง แต่กลิ่นอายแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ซุ่ยเหรินถิงเป็นคนหยิ่งยโส มิอาจควบคุมและอหังการราวกับราชาแห่งเปลวเพลิง แต่ในขณะนี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกมา กลับกลายเป็นความว่างเปล่า!

มันเป็นกลิ่นอายน่าเกรงขามที่ว่างเปล่า พร่ามัว ไร้รูปร่าง และไม่มีสีสัน เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีรู้สึกราวกับกำลังมองอำนาจสูงสุดแห่งสวรรค์!

เพียงมองแวบเดียว หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้านอย่างไม่มีเหตุผล เส้นขนบนร่างตั้งชูชัน

ทันใดนั้น ก็พลันจำได้ว่า ตอนที่อยู่ในภูมิภาคบรรลุเทพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากและพิชิตเนตรทัณฑ์สวรรค์ ครั้งนั้นเขาได้เห็นร่างที่พร่ามัวเช่นกัน

ในเวลานั้น ร่างนั้นก็จ้องมองกลับมาเช่นนี้ ทำให้กลิ่นอายของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ห่อหุ้มร่างกาย ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และพังทลายลงทันที!

ในขณะนี้ เมื่อเขาเห็นกลิ่นอายที่เปิดเผยโดย ‘ซุ่ยเหรินถิง’ และเมื่อเปรียบเทียบกับร่างที่พร่ามัวในวันนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นทันทีว่า กลิ่นอายของทั้งสองดูละม้ายคล้ายเป็นคนเดียวกัน!

หรือว่าร่างที่พร่ามัวในวันนั้น จะเป็นเจ้านิกายอำนาจเทวะ?

เฉินซีตัดสินใจบางอย่างได้คร่าว ๆ จากนั้นคลื่นพายุก็พลุ่งพล่านในใจอย่างมิอาจห้ามได้ ทั้งยังจำได้อย่างชัดเจนว่าเคยเห็นพื้นที่วุ่นวายภายในเนตรทัณฑ์สวรรค์ ภายในที่อัดแน่นไปด้วยกรงขังหนาแน่นอย่างไร้ขอบเขต

ในแต่ละกรงจะมีผู้ที่ถูกกักขังซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อันท่วมท้น บางคนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวจนสั่นสะเทือนสวรรค์ บางคนยืนอยู่เงียบ ๆ บางคนนั่งคร่ำครวญอยู่บนพื้น บางคนเสียสติจนเป็นบ้า… บังเกิดเป็นฉากที่ทำหัวใจสั่นไหว

กรง ทวยเทพ เจ้านิกายอำนาจเทวะ เนตรทัณฑ์สวรรค์… มีความลับที่น่าตกใจอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้?

ดูเหมือนเฉินซีจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้เล็กน้อย แต่ไม่อาจตัดสินใด ๆ ได้

“ระวัง! ภัยพิบัติกำลังจะเริ่มต้นขึ้น!” จู่ ๆ เสียงของศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ก็ดังก้องข้างหูของเฉินซี ทำให้ชายหนุ่มกลับมามีสติอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูอย่างระมัดระวังอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่า ‘ซุ่ยเหรินถิง’ ที่ยืนอยู่ในเนตรทัณฑ์สวรรค์ได้สำแดงพลังของประกาศิตสีม่วงในมืออย่างกะทันหัน มันปะทุด้วยลำแสงอันลึกลับและคลุมเครือ ซึ่งกวาดเข้าไปในส่วนลึกของเนตรทัณฑ์สวรรค์

หลังจากนั้น ประกาศิตสีม่วงก็ถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง แม้แต่ร่างกายของ ‘ซุ่ยเหรินถิง’ ก็ดูเหมือนจะถูกกลืนกินด้วยพลังที่ไร้รูปร่างและหายไป…

“การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย คือชะตากรรมของเต๋าแห่งสวรรค์ สวรรค์เป็นเหมือนกรงขัง และภัยพิบัติควรจะลงมา!”

ตู้ม!

ทันใดนั้น เสียงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สง่างาม ไม่แยแส และไร้อารมณ์ก็ดังขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งภพมนุษย์ ยมโลก ภพเซียน ภพมังกร ภพวิหคอมตะ และแม้แต่ดินแดนเร้นลับหรือมิติมากมายในสามภพ

ในเวลานี้ เหล่าสรรพสิ่งที่อยู่ในสามภพ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ผู้บ่มเพาะ วิญญาณ เซียน ปีศาจ ทวยเทพ… ทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

“ภัยพิบัติมาถึงแล้ว!”

ทันใดนั้น คำพูดที่คล้ายกันก็ดังก้องไปทั่วดินแดนต่าง ๆ ของสามภพ บ้างก็ตกใจและโกรธเกรี้ยว บ้างก็สิ้นหวังและโศกเศร้า หรือบางพวกก็กลายเป็นบ้า….

ทั้งสามภพปั่นป่วน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในนั้นตกตะลึง ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในอดีต บัดนี้ได้มาถึงแล้ว!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท