บทที่ 847 สัตว์ประหลาด

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 847 สัตว์ประหลาด

……….

สวี่ชีอันโบกมือ แล้วร่างของมนุษย์เงือกหญิงที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในเกลียวคลื่นสีขาวก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ไปหยุดตรงหน้าคนทั้งสอง

“ไม่มีรอยฟันชัดเจน ร่างกายของผู้โจมตีน่าจะมีขนาดมหึมา กัดขาดในคราเดียว…”

สวี่ชีอันตรวจสอบบริเวณบาดแผลของมนุษย์เงือกที่ ‘ขาดครึ่ง’ และทำการวิเคราะห์

“เป็นการเผชิญหน้ากับนักล่าขนาดยักษ์”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรอจนเขาเอ่ยจบ จึงเข้าประเด็นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ

“เท่าที่ข้ารู้ อาณาเขตทะเลแถบนี้ไม่มีนักล่าขนาดใหญ่ยึดครองหรืออาศัยอยู่ หากมนุษย์เงือกผู้นี้มิใช่องครักษ์ประจำกายของราชินีเงือก หากเป็นมนุษย์เงือกธรรมดา ก็อาจเป็นไปได้ว่าบังเอิญไปเจอนักล่าที่หลงเข้ามาในอาณาเขตของมนุษย์เงือก

“สำหรับตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเกาะมนุษย์เงือกแล้ว เพราะองครักษ์ประจำกายราชินีไม่มีทางอยู่ห่างกายราชินีเงือกแน่”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“ดังนั้นเมื่อองครักษ์ประจำกายเผชิญหน้ากับนักล่า ก็เท่ากับว่าราชินีต้องเจอนักล่าด้วย และราชินีเงือกซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ แต่องครักษ์ประจำกายกลับถูกสังหาร…”

เหตุผลนั้นชัดเจนในตัวเอง ว่าศัตรูก็เป็นขั้นเหนือมนุษย์เช่นกัน

“ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ในโพ้นทะเลเยอะเพียงนี้เลยรึ ออกทะเลมาก็เจอสองคนแล้ว” ใบหน้าของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

สถานที่ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มเผ่าพันธุ์หลายชั่วอายุเช่นเกาะเงือกนี้ ก็เหมือนกับกลุ่มอำนาจเล็กๆ ที่รวบรวมอิทธิพลโดยทายาทเทพมาร การจะมีผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์นั่งรักษาการณ์ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือเกาะหนอนไหมซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของไหมอเวจี

แต่การพบขั้นเหนือมนุษย์ได้สุ่มสี่สุ่มห้าทุกที่เช่นนี้ ก็ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย

นางปีศาจผมขาวเบ้ปาก

“ครั้งก่อนที่ข้าออกทะเล นอกจากผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เหล่านั้นซึ่งมีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว ก็แทบไม่เจอเทพมารสภาวะเหนือมนุษย์ระหว่างทางเลย”

ความหมายก็คือ สถานการณ์เช่นนี้นับเป็นเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ต่ำ

อาจเป็นได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เงือกไปยั่วยุอะไรศัตรูผู้แข็งแกร่ง หรือทายาทเทพมารจากที่อื่นเตร็ดเตร่มาที่นี่พอดี

สวี่ชีอันสำรวจศพต่อไป แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้วและเอ่ยว่า

“หรือบางที คนเดือดร้อนจะเป็นพวกเรา!”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางมองเขาพลางส่งเสียง ‘หืม’ ด้วยเสียงงุนงง

“ศพของมนุษย์เงือกผู้นี้แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานกว่าสิบชั่วยาม แต่พวกมนุษย์เงือกกลับไม่มานำร่างของสหายกลับไป และไม่มีร่องรอยของการถูกกุ้งปลาในทะเลกัดกินด้วย” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“นี่หมายความว่าอย่างไร”

นางปีศาจผมขาวฉลาดเป็นกรด ชั่วเวลาเพียงดีดนิ้ว นางก็เข้าใจได้ทันที

นางขมวดคิ้วพลางว่า

“นักล่าทรงพลังนั่นยังคงว่ายวนอยู่ในเขตน่านน้ำใกล้ๆ!”

ดังนั้นมนุษย์เงือกจึงไม่กล้าออกจากเกาะ สิ่งมีชีวิตในเขตน่านน้ำใกล้เคียงบ้างก็ถูกกิน บ้างหนีไปด้วยความตกใจ ร่างนี้จึงรักษาสภาพไว้ได้ค่อนข้างดี ไม่ถูกปลาถูกกุ้งในทะเลกัดกิน

ระลอกคลื่นสีฟ้าคราม เรือเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ โดยกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ ตามแรงคลื่น

สวี่ชีอันและจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกำลังเฝ้ารอบางอย่างเงียบๆ ในระหว่างการเดินทางนับจากนี้

แสงอาทิตย์เจิดจ้า ท้องฟ้าสีครามสดใส ไอเค็มของลมทะเลพัดเส้นผมและชายผ้า ทันใดนั้น ใบหูของสวี่ชีอันก็พลันขยับ เขาได้ยินเสียงคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างกะทันหันอยู่ไม่ไกล และมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ

และเวลาเดียวกันนั้น สัญชาตญาณอันตรายของจอมยุทธ์ก็เริ่มเตือน

ไอสังหารและแรงอาฆาตโจ่งแจ้งไม่มีปิดบัง…สวี่ชีอันเหลือบมองนางปีศาจผมขาว จิ้งจอกจำแลงเดินไปยังกราบเรือด้วยสองขาเรียวยาวมีพลัง

นางบิดเอวเล็กน้อย แล้วหางจิ้งจอกขนฟูฟ่องหางหนึ่งก็พลันชูขึ้นและทิ่มลงไปยังผิวน้ำ

ส่วนอีกแปดหางนั้นยกขึ้นอย่างช้าๆ ประหนึ่งนกยูงรำแพนเตรียมพร้อมการโจมตี

สวี่ชีอันนิ่งตั้งใจฟัง เสียงคำราม ‘ครั่นครืน’ ที่ข้างหูและกระแสคลื่นใต้น้ำพลันรุนแรงขึ้นหลายเท่าในพริบตา

กินเหยื่อแล้ว…เขาเอ่ยในใจเงียบๆ

เวลานี้เอง ขาเรียวยาวแน่นกระชับของจิ้งจอกเก้าหางก็ตึงขึ้นอย่างกะทันหัน เข่าสองข้างทรุดลงเล็กน้อย หางทั้งแปดที่อยู่ด้านหลังยืดตรงในพริบตา

เอวเล็กๆ บิดดึง ราวกับชาวประมงกำลังออกแรง

เวลาต่อมา ผิวน้ำก็ผุดขึ้น พร้อมละอองน้ำพวยพุ่ง

‘ครืน!’

คลื่นสีฟ้าครามและฟองสีขาวพุ่งสูงสิบกว่าจั้ง ท่ามกลาง ‘หยาดฝนที่ตกหนัก’ เงาขนาดมหึมาทะยานขึ้นจากผิวน้ำทะเล สะท้อนเข้าในแววตาของสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหาง

นี่คือมังกรน้ำ ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดดำสนิท ส่วนหัวดุร้ายอัปลักษณ์ มีเดือยกระดูกงอกเป็นแถวที่หลัง ตรงหน้าผากมีเขางอกหนึ่งเขาคล้ายกับหอกยาว

แขนขาของมันหนามากต่างจากมังกรน้ำทั่วไป ระหว่างกรงเล็บมีเนื้อเป็นพังผืดหนา

ภาพลักษณ์โดยรวมดูคล้ายตะกวดมากกว่า

นอกจากนี้ ร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยรอยย่นบิดเบี้ยวยุ่งเหยิง เพียงได้มองก็ทำให้คนเวียนหัวตาลาย แน่นหน้าอกและอาเจียนแล้ว

ปราณโลหิตเข้มข้น พละกำลังแข็งแกร่งมาก เป็นลักษณะของขั้นสามช่วงกลาง…สวี่ชีอันเหลือบมองแวบหนึ่ง พลางประเมินตบะของอีกฝ่าย

นี่ไม่ใช่เพราะแววตาของเขามีความดุร้ายยิ่งนัก แต่เพราะมังกรน้ำไม่ได้เก็บงำกลิ่นอาย ทั้งยังแสดงความดุร้ายหยิ่งผยองอย่างถึงอกถึงใจ

ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์รุนแรงและขาดสติ

ลำตัวของมังกรน้ำถูกพันด้วยหางจิ้งจอกขนฟูฟ่อง เมื่อเห็นว่ามิอาจหลุดจากหางจิ้งจอกจึงคำรามเสียงเข้มแล้วเอาหัวชนเข้ามา

“โฮก!”

นางปีศาจผมขาวยกริมฝีปากแดงสด แปดหางที่อยู่ด้านหลังรวบรวมกำลังตั้งท่า แล้วพุ่งออกมาราวกับโซ่เหล็กเพื่อเกี่ยวส่วนคอ แขนขา หาง รวมถึงเอวของมังกรน้ำตามลำดับ

‘ฟู่ ฟู่…’

ท่ามกลางเสียงชิ้นส่วนร่างกายแยกออกจากกันอันทำให้คนขนพองสยองเกล้า ร่างของมังกรน้ำถูกแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสีแดงเข้มสาดกระจาย

มังกรน้ำซึ่งถูกแบ่งเป็นส่วนๆ ยังไม่สิ้นชีพ เลือดเนื้อที่ถูกตัดขาดกำลังดิ้นพล่าน พยายามจะงอกใหม่อีกครั้ง

หากแต่มันล้มเหลว จิ้งจอกเก้าหางรอบรู้วิธีรับมือกับทายาทเทพมาร (จอมยุทธ์) ขั้นสาม นั่นคือการฟันเป็นชิ้นๆ ยิ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยยิ่งดี

จากนั้นจึงควบคุมรยางค์ที่ขาด ไม่ให้พวกมันรวมตัวกันได้อีก

เช่นนี้แล้ว แม้ขั้นเหนือมนุษย์จะไม่ตายในทันทีด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง ทว่าพลังชีวิตของแขนขาที่พิการนั้นก็ไม่เพียงพอจะสร้างร่างกายทั้งหมดขึ้นใหม่ได้

เฉกเช่นตอนนี้ ร่างกายแต่ละส่วนของมังกรน้ำต่างพยายามที่จะ ‘เกิดใหม่’ ทว่าแก่นโลหิตของพวกมันมีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นร่างใหม่ที่สมบูรณ์หนึ่งร่าง

“สติปัญญาของมันเหมือนจะมีปัญหาแล้ว ไม่สามารถสื่อสารได้…”

จิ้งจอกเก้าหางตรวจดูมังกรน้ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทำการวินิจฉัย

“อะไรทำให้สติปัญญาของมังกรน้ำขั้นเหนือมนุษย์ตัวหนึ่งเกิดปัญหารึ”

สวี่ชีอันพูดจบก็ดีดนิ้ว

ได้ยินเพียงเสียง ‘เป๊าะ’ กะโหลกของมังกรน้ำถูกยกขึ้น เศษกระดูกและเนื้อสมองกระเด็นกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

ขณะเดียวกัน ภาพมายาของมังกรน้ำก็แยกออกจากกายเนื้อ ซึ่งก็คือจิตเดิมของมัน

จิตเดิมของมังกรน้ำมิได้บุบสลาย ทว่าความดุร้ายและความเจ้าอารมณ์ของมันไม่ได้ดีขึ้นจากการเผชิญหน้ากับกายเนื้อเลย หลังวนกลางอากาศรอบหนึ่ง มันจึงโฉบลงมาหาคนทั้งสองซึ่งอยู่ที่หัวเรืออีกครั้ง

สูญเสียสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิงแล้วสินะ…หากเป็นเช่นนี้ แม้แต่การ ‘ไต่ถามวิญญาณ’ ในวิชาเต๋าก็ถามข้อมูลออกมาไม่ได้ อ้อ ลืมไป ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์หยาบๆ คนหนึ่ง ไม่รู้วิชาเต๋า…สวี่ชีอันอ้าปาก ออกแรงสูดหายใจ

ดูดจิตเดิมของมังกรน้ำเข้าปากไป ประหนึ่งปากเหวลึกขนาดใหญ่

เจ็ดยอดกู่นูนขึ้นบนผิวหนังบริเวณหลังคอของสวี่ชีอัน ปรากฏเป็นโครงร่างชัดเจน ศีรษะขยับดุกดิกราวกับกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่าง

ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันจึงเอ่ยว่า

“เอามันรวมกลับไป”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคลายการคุมขัง ก่อนรวมร่างกายและแขนขาเข้าด้วยกัน พวกมันดิ้นดุกดิกต่อเนื่อง และกลายร่างกลับไปเป็นมังกรน้ำที่ดุร้ายทรงพลังอย่างรวดเร็ว

มังกรน้ำลอยค้างอยู่กลางอากาศเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน

สวี่ชีอันอ้าปากและคายวิญญาณมังกรออกมา วิญญาณมังกรสูญสิ้นความดุร้าย ทว่าสติดูเฉื่อยชา รูปร่างหลอกตามากขึ้น และส่วนหัวก็ไม่ใช่หัวมังกรน้ำที่ดุร้ายอัปลักษณ์อีกต่อไป แต่เป็นหัวของแมลงสามเหลี่ยม

จิตสำนึกของมันถูกลบล้างไปแล้ว วิญญาณสวรรค์ในหมู่วิญญาณทั้งสามก็ถูกเจ็ดยอดกู่กลืนกินไปเช่นกัน

นี่เป็นความสามารถของ ‘ซือกู่’ หลังย่างเข้าสู่สภาวะเหนือมนุษย์ กลืนกินวิญญาณส่วนหนึ่งของหุ่นเชิด จากนั้นจึงหลอมวิญญาณที่เหลือเข้ากับจื่อกู่

กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิญญาณมังกรในยามนี้ก็คือจื่อกู่

วิญญาณมังกรกลับมายังกายเนื้อของมังกรน้ำ ดวงตาของมันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทว่าเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตปกติแล้ว ก็ยังคงเซื่องซึมอยู่บ้าง

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเห็นดังนั้นจึงเก็บหาง และปล่อยมังกรน้ำลงน้ำไป

มังกรน้ำแหวกว่ายไปรอบๆ เรืออย่างเชื่อฟัง ราวกับองครักษ์ผู้ภักดี

“จุ๊ๆ ไสยศาสตร์กู่มีประโยชน์จริงๆ! นี่เป็นการกำราบทายาทเทพมารซึ่งอยู่สภาวะเหนือมนุษย์ผู้หนึ่งเชียวนะ”

คำพูดของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเต็มไปด้วยความอิจฉา

อืม แม้จะเป็นเนื้อยุง แต่สำหรับข้าแล้วแก่นชีวิตของขั้นสามก็เป็นอาหารเสริมชั้นดีเช่นกัน การออกทะเลรอบนี้หากไม่ได้ล่าขั้นสองหรือกระทั่งทายาทเทพมารขั้นหนึ่ง การเก็บรวบรวมขั้นสามบางส่วนก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างไรเสียก็ดีกว่ากลับมือเปล่า…สวี่ชีอันยังนับว่าพอใจ

เมื่อมีสิ่งตอบแทน ในใจจึงสงบอยู่บ้าง

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถือโอกาสฉวยประโยชน์และเอ่ยเสียงสลวยว่า

“ฆ้องเงินสวี่ คนที่เห็นก็มีส่วนแบ่งนะ!”

เวลานี้เอง มังกรน้ำก็โผล่หัวขึ้นจากผิวน้ำทะเล แล้วเอ่ยบ่นด้วยภาษามนุษย์ว่า

“มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ นายท่าน ไก่แก่แม่ปลาช่อนเช่นนี้ยังเก็บไว้ข้างกาย นอนกับนาง แล้วถีบนางลงทะเลอีก ตัวซวย!”

นางปีศาจโฉมสะคราญผมขาวไม่พอใจยิ่งนัก นางมองสวี่ชีอันด้วยสายตาโกรธขึ้ง

คำพูดของมันแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า…สวี่ชีอันรอยยิ้มอาบหน้า

สวี่ชีอันมุ่งความสนใจไปที่การสัมผัสถึงพลังวิเศษฟ้าประทานของมังกรน้ำ โดยไม่สนใจความไม่พอใจของจิ้งจอกจำแลง ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วลืมตา เอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า

“มังกรน้ำตัวนี้มีปัญหา!”

นางปีศาจผมขาวยิ้มเย็นพลางว่า

“เป็นมันที่มีปัญหาหรือเจ้าที่มีปัญหาล่ะ”

สวี่ชีอันไม่ได้กำลังล้อเล่น พลังวิเศษฟ้าประทานของมังกรน้ำนั้นยุ่งเหยิงผิดปกติ มีพลังเหนือธรรมชาติของธาตุต่างๆ อาทิ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุสายฟ้า ธาตุดิน นอกจากนี้ ยังมีพลังเหนือธรรมชาติอื่นๆ ผสมปนเปไปหมด

ซึ่งผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

เขาจอดเรือพลางบอกสิ่งที่ตนค้นพบให้จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางรู้

ปีศาจโฉมสะคราญผมขาวได้ฟังก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า

“เป็นไปไม่ได้!”

นางเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงส่งหางจิ้งจอกสองหางออกสำรวจในน้ำ และ ‘จับ’ มังกรน้ำออกมาท่ามกลางคลื่นทะเลม้วนเป็นเกลียว ‘ครั่นครืน’ แล้วลอยอยู่กลางอากาศ

“พลังวิเศษฟ้าประทานของเผ่าพันธุ์ปีศาจมักจะควบแน่นอยู่ภายในแก่น หากเป็นทายาทเทพมารจะขึ้นอยู่กับความเบาบางของสายเลือด หากสายเลือดของเทพมารมีความบริสุทธิ์สูง จะตีตราอยู่บนเลือดเนื้อและร่างกาย หากสายเลือดบางเบาจะตีตราอยู่ภายในแก่น”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกล่าว

สวี่ชีอันเอ่ยว่า

“รอยยับย่นบนร่างของมังกรน้ำตัวนี้ก็คือพรสวรรค์ฟ้าประทานกระมัง”

ดวงตางดงามเปล่งประกายจับจ้องรอยย่นบิดเบี้ยวเหล่านั้น นางปีศาจผมขาวพยักหน้าพลางเอ่ยปากว่า

“ข้าน่าจะรู้สาเหตุแล้ว…รอยยับย่นพวกนี้ทำให้จิตเดิมสับสน ดังนั้นเมื่อครู่ข้าจึงไม่ได้สังเกตให้ดี เจ้าดูสิ พวกมันยุ่งเหยิงทีเดียว”

สวี่ชีอันพยักหน้า

จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยต่อว่า

“ไม่เพียงเท่านั้น รอยยับย่นซึ่งแสดงถึงพรสวรรค์ฟ้าประทานเหล่านี้ยังแตกต่างกันทั้งหมดด้วย อีกทั้ง รอยย่นแต่ละรอยก็ล้วนไม่สมบูรณ์ มันจึงเหมือนการรวมตัวของพรสวรรค์ฟ้าประทานที่บกพร่อง

“ข้าคิดว่า นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงสัมผัสได้ถึงพรสวรรค์ฟ้าประทานอันสับสนยุ่งเหยิง”

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนิ่งมองใบหน้าอันงดงามของนางปีศาจโฉมสะคราญแล้วเอ่ยว่า

“สถานการณ์นี้เป็นเช่นไร”

คำถามประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญขอคำแนะนำจากมืออาชีพ

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

นางกลอกตาขาวงามพริ้งเพริศ จากนั้นจึงทำสีหน้าเคร่งขรึม

“พลังวิเศษฟ้าประทานมีมาตั้งแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือด บ้างเป็นสายเดี่ยว บ้างเป็นสายคู่ ทว่ามิอาจอยู่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงพลังวิเศษฟ้าประทานที่ไม่สมบูรณ์ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาแล้ว”

สวี่ชีอันคิดอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยว่า

“มันตกสู่ห้วงความบ้าคลั่ง สูญเสียสติสัมปชัญญะ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเกี่ยวกับรอยยับย่นแปลกๆ บนตัว เพราะพลังเหนือธรรมชาติยุ่งเหยิงพวกนี้เพิ่มขึ้นมา จึงทำให้ขาดสติไป”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางส่งเสียง ‘อืม’ “ข้าก็สงสัยเช่นนั้น แต่สติปัญญาของมันก็ได้เสียไปแล้ว แต่ก่อนเคยไปที่ไหน พบเจออะไรมาบ้าง พวกเราไม่มีทางรู้ได้”

ใบหน้าของนางแสนเสียดาย!

สวี่ชีอันกลับยิ้มและเอ่ยว่า

“พวกเราไม่รู้ แต่ราชินีเงือกอาจจะรู้ ไปเยือนเกาะมนุษย์เงือกก่อนเพื่อสังเกตการณ์ เราช่วยนางจัดการศัตรูผู้แข็งแกร่งไปตัวหนึ่ง การสืบหาข้อมูลบางอย่างคงไม่มากไปกระมัง”

นอกจากนี้ ยังมีข่าวกรองเกี่ยวกับแต่ละสถานที่ตั้งถิ่นฐานของทายาทเทพมาร และสถานที่พักของสิ่งมีชีวิตทรงพลังต่างๆ

อืม ถือโอกาสเจอราชินีเงือกผู้ขึ้นชื่อด้านความงามด้วย

เวลานี้เอง ศีรษะคนผู้หนึ่งได้โผล่ขึ้นมาบนผืนน้ำทะเลไม่ไกลนัก เป็นความงดงามอันโดดเด่น เส้นผมสีเขียวเข้ม ม่านตาสีทองระยิบระยับ รวมถึงใบหูแหลม

นางมองประเมินสวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่หัวเรือด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนขลาดกลัว

มาพอดี…สวี่ชีอันพึมพำในใจ ก่อนเหยียดฝ่ามือออกไป นิ้วทั้งห้าออกแรงคว้า

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท