ตอนที่ 629 ลูกท้ออร่อย ตอนที่ 630 คนติดบนต้นไม้
ตอนที่ 629 ลูกท้ออร่อย
ฟ้าเริ่มสว่างเล็กน้อย มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ออกกำลังกายกันอีกครั้ง
อย่าเข้าใจผิด ครั้งนี้ออกกำลังกายจริงๆ ฝึกกำลังภายในกับวิชาตัวเบา
เสร็จแล้วก็ไปอาบน้ำที่สระแล้วกลับมาเก็บของตรงปากถ้ำ
กินยาบำรุงคนละเม็ดแล้วเตรียมออกจากตรงนั้น
“ซาลาเปาน้อย พวกเราเข้าไปดูตรงรอยแยกหน้าผาที่น้ำตกหน่อยดีไหม”
“อืม”
เมื่อวานดูแล้ว ตรงรอยแยกเข้าได้ทีละคน
มู่เถาเยาอยากเห็นโลกในนั้นมาก
แต่น่าเสียดายที่ด้านในยาวมาก มองจากตรงนี้ไม่เห็นปลายทาง
พวกเขาเองก็ไม่อยากใช้วิชาตัวเบาเหาะไปแบบสบายๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้อารมณ์ตื่นเต้นแบบนักผจญภัย
ยังคงเป็นตี้อู๋เปียนอยู่ข้างหน้า มู่เถาเยาตามหลัง
รอยแยกนี้เหมือนดาบขนาดใหญ่ที่ผ่ากลางภูเขาถึงแม้เขาทั้งสองด้านจะไม่ได้ราบเรียบ แต่ก็ไม่ได้มีสิ่งกีดขวางอะไรมากมายที่ทำให้พวกเขาข้ามผ่านไม่ได้
ทั้งสองคนเดินอยู่เกือบชั่วโมงถึงสุดทาง
มู่เถาเยามองสีชมพูที่ละลานตาอยู่เบื้องหน้า “สวยมาก! แดนสวรรค์ที่ในหนังสือบอกก็ประมาณนี้หรือเปล่า”
“นั่นสิ นึกไม่ถึงเลย! พูดกันว่าหุบเขานรกคือนรก แต่พวกเราเห็นแต่วิวสวยๆ ไม่รู้ว่าพื้นที่อันตรายอยู่ตรงไหน”
“ช่างมันเถอะ พวกเราไม่ได้มาผจญภัยโดยเฉพาะเสียหน่อย ชมวิวต่างหากที่สำคัญ”
“อืม พวกเราเข้าไปดูในป่าดอกท้อกันหน่อย” ตี้อู๋เปียนจูงมือมู่เถาเยา
“อืม”
เสียงนกร้องไพเราะ หมอกจางๆ คละคลุ้ง ไม่ใช่แดนสวรรค์ก็ยิ่งกว่าแดนสวรรค์
ทั้งสองคนเดินเข้าไปกลางป่าดอกท้อแล้วมองไปรอบๆ ยังคงเหมือนเป็นหลุมขนาดใหญ่
ในหลุมเต็มไปด้วยดอกท้อ คล้ายทิวทัศน์ที่มนุษย์สร้างขึ้น มหัศจรรย์มาก
“ตี้อู๋เปียน พวกเราเก็บน้ำตาดอกท้อที่ออกมาตามธรรมชาติกลับไปต้มรังนกกินกันเถอะ”
ผลึกสีเหลืองอ่อน แทบจะไม่มีสิ่งเจือปนเลย คล้ายอำพัน ดึงดูดสายตามาก มู่เถาเยาอดใจไม่ไหว
“ได้ ฉันจะเหาะไปเอาเชือกมา เก็บน้ำตาดอกท้อใส่กระเป๋าเป้”
“อืมๆ”
มู่เถาเยาเริ่มเก็บแล้ว กำลังมองหาผลึกใหญ่ๆ
ทั้งสองคนช่วยกัน ไม่นานก็เก็บได้กว่าครึ่งกระเป๋า
“ซาลาเปาน้อย ภูเขาดอกท้อที่น้าสะใภ้เล็กทำให้เธอน่าจะออกดอกแล้วนะ”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “นั่นสิ”
“เธอชอบดอกท้อขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็ลูกท้อมันอร่อยนี่นา” อันที่จริงเสด็จแม่ของเธอต่างหากที่ชอบดอกท้อกับลูกท้อ เธอเป็นคนไม่เรื่องมาก
ตี้อู๋เปียนมองบางจุดบนเรือนร่างของมู่เถาเยา พยักหน้าเห็นด้วย “อืม ลูกท้ออวบๆ อร่อย”
“…”
ลามกได้ตลอดเวลาจริงๆ !
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ลองลิ้มรสกันและกันอย่างลึกซึ้ง เขาก็มักเตลิดไปไกล
ต่อหน้าคนอื่นสุขุมจริงจัง พอลับหลังก็ลามกได้โล่
“ซาลาเปาน้อย ตอนเย็นฉันอยากกินลูกท้อที่นี่” มันจะอร่อยขนาดไหนนะ!
“งั้นคุณก็ค่อยๆ รออยู่ที่นี่ อีกสามสี่เดือนก็ได้กินแล้ว” มู่เถาเยาถือกล้องส่องทางไกลมองไปรอบตัว “ไม่เห็นมีเส้นทางตรงไหนเลย พวกเราเดินตามลำธารนี้ไปดูหน่อยแล้วกัน”
ตี้อู๋เปียนถือของ จูงมือมู่เถาเยาเดินตามลำธารไป
ผ่านป่าดอกท้อไปตรงหน้าก็เป็นอีกหนึ่งรอยแยกหน้าผา
แต่ไม่เหมือนกับรอยแยกหน้าผาตอนเข้ามา รอยนี้ไม่ใหญ่แบบนั้น คนเข้าไปไม่ได้ ด้านล่างก็เป็นน้ำ เหยียบลงไปไม่ได้
“ดูท่าจะต้องใช้วิชาตัวเบาอย่างเดียว”
“ก็ดี ที่นี่เป็นที่ที่เหมาะแก่การฝึกวิชาตัวเบา”
มู่เถาเยา “…คุณคงไม่ได้คิดจะเอาชนะฉันใช่ไหม”
“แน่นอน”
“แพ้ให้ฉันมันทำลายเกียรติลูกผู้ชายของคุณเหรอ”
“อยู่กับเธอฉันไม่ต้องการเกียรติ ฉันอยากเก่งกว่าเธอเพื่อจะได้ปกป้องเธอกับลูกๆ”
“…โลกนี้ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น คุณไม่ต้องเครียด”
“แต่หน้าที่ความรับผิดชอบของสามีกับคนรัก เธอไม่มีทางเข้าใจหรอก”
“…”
เอาเถอะ ชาตินี้เธอไม่มีโอกาสได้เข้าใจหน้าที่ของสามีกับคนรักอยู่แล้ว รอชาติหน้าไปเกิดเป็นผู้ชายค่อยทำความเข้าใจแล้วกัน
มู่เถาเยาไม่พูดอะไรอีก วิเคราะห์ตำแหน่งสายน้ำไหลด้านนอกแล้วเหาะขึ้นต้นไม้ จากนั้นก็เหาะขึ้นไปโดยไม่หยุด
ตี้อู๋เปียนตามหลังไปติดๆ มีแซงบ้างเป็นบางครั้ง
มู่เถาเยาก็ไม่แข่งกับเขา รักษาความเร็วเฉลี่ยคงที่
เมื่อไปถึงยอดเขา ร่างกายของทั้งสองคนก็หยุดชะงักพร้อมกัน จากนั้นก็มองหน้ากัน
พวกเขามาเที่ยวสวนสัตว์เหรอ
ทำไมหุบเขานรกประหลาดขนาดนี้ สิ่งมีชีวิตสารพัดชนิดมารวมอยู่ด้วยกันงั้นเหรอ
ก่อนหน้านี้ก็งูเขียวไผ่ พรรณไม้หายาก ดอกท้อ สัตว์…อืม ตอนนี้มีแต่สัตว์กินพืช!
ตี้อู๋เปียนเรียกยีราฟตัวหนึ่งมาถามหน่อย
ยีราฟฉลาด ตี้อู๋เปียนถามอะไรมันก็แทบจะตอบได้หมด
ก็แค่มันไม่เคยเจอสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์ มันจึงอยากรู้อยากเห็นในตัวตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยาเป็นพิเศษ
ตี้อู๋เปียนไม่ได้อธิบายให้มันฟัง จะให้บอกว่าพวกเขาวิวัฒนาการมาจากลิงดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์พวกนี้ก็ไม่เคยเห็นลิงดึกดำบรรพ์ จะไปรู้อะไร
“ซาลาเปาน้อย พวกเราเดินผิดทางแล้ว ถึงแม้ที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งโซนของหุบเขานรก แต่ไม่ใช่ส่วนที่เป็นอันตรายที่โด่งดัง” เพราะทางนี้มันปีนไม่ได้ เลยไม่มีใครตั้งใจเอาชีวิตมาทิ้งตรงนี้
ถ้ามีคนกล้าปีนหน้าผาที่อันตรายแบบนี้ แบบนั้นก็ต้องลงนรกเหมือนกัน อย่างไรเสียคนที่สามารถขึ้นลงหน้าผาสูงขนาดนี้ได้อย่างอิสระ นอกจากคนที่ฝึกวรยุทธ์แต่เด็กจนเก่งกาจแล้ว ต่อให้เป็นนักปีนเขาที่เก่งที่สุดก็ยังทำไม่ได้
ตอนที่ 630 คนติดบนต้นไม้
ตี้อู๋เปียนพามู่เถาเยาเหาะไปโซนที่โด่งดังของ ‘หุบเขานรก’
ตรงนั้นห่างจากจุดนี้ค่อนข้างไกล
พวกนักผจญภัยไม่มีทางเข้าไปจากทางป่าทึบ เพราะป่าทึบก็คือป่างู แถมยังเป็นป่างูพิษที่มีงูเขียวไผ่เป็นหลัก งูทับทาง งูเห่า งูแมวเซาอะไรพวกนี้ก็มีบ้าง แต่เมื่อเทียบกับประชากรงูเขียวไผ่ที่มหาศาลแล้วก็เพียงพอให้พวกเขามองข้ามไปได้
คนท้องถิ่นก็ไม่เดินมาทางนี้กัน
ครอบครัวเจียงรู้ว่าพวกเขาจะไปเที่ยวในหุบเขา แต่ก็แค่คิดว่าพวกเขาคงเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวยอดนิยม จึงไม่ได้คิดหรือถามเยอะ
ตี้อู๋เปียนเหาะไปยังทิศทางหนึ่ง
มู่เถาเยาตามหลังไปติดๆ
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสองคนก็หยุดบนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหุบเหวลึก
เปร๊าะ ทั้งสองคนเหาะออกอย่างไว แยกไปยืนคนละต้น
“ซาลาเปาน้อย ทางนี้อันตรายจริง ขนาดต้นไม้ต้นใหญ่ที่ดูแข็งแรงยังรับน้ำหนักพวกเราไม่ไหว”
“อืม ระวังหน่อย พวกเรามองหาจุดที่ยืนได้ค่อยสำรวจรอบๆ”
“ได้ ระวังพวกชั้นหน้าผาด้วย อาจจะแค่แตะก็ละเอียดเป็นผุยผงได้”
ก็เหมือนต้นไม้ต้นเมื่อกี้ที่พวกเขายืน ดูแข็งแรงเติบโตดี ปรากฏว่าเริ่มยืนต้นตายก็เลยกรอบ แตะนิดเดียวก็หัก
“ฉันรู้” มู่เถาเยามองน้ำในแม่น้ำที่ไหลแรงแล้วเหาะขึ้นข้างบน
ตี้อู๋เปียนมุ่งไปข้างหน้า
ทั้งสองคนแยกกันหาสถานที่เหมาะๆ
ต้นไม้ที่อยู่ทางหน้าผาอันตรายนี้ไม่ได้ขึ้นหนาแน่นแบบทางด้านนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นชั้นหินสีน้ำตาลเข้มจนดำ ต้นไม้ที่ยื่นออกมามีไม่มาก
มู่เถาเยาเหาะขึ้นไปจนสุดแล้วก็ไม่เจอจุดที่จะให้ยืนกันได้สองคน
มองจากด้านบนลงมาได้ยินเพียงเสียงกระแสน้ำอย่างรุนแรง แต่กลับมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ใช้กล้องส่องทางไกลสังเกตรอบๆ เห็นตี้อู๋เปียนกำลังมาทางนี้ เธอจึงไม่ขยับไปไหนอีก
“ซาลาเปาน้อย เจออะไรบ้างไหม”
“นอกจากวิวที่แปลก ประหลาด ลึกลับ ก็ไม่เห็นความพิเศษอย่างอื่นอีก…เดี๋ยวนะ…ดูเหมือนตรงข้ามแม่น้ำจะมีอะไร ตี้อู๋เปียน ลองไปดูบนต้นไม้ต้นนั้นหน่อยว่ามีคนติดอยู่หรือเปล่า”
มือข้างหนึ่งของมู่เถาเยาชี้ไปยังต้นไม้เขียวชอุ่มที่อยู่ตรงข้ามแม่น้ำ มืออีกข้างยื่นกล้องส่องทางไกลให้เขา
“ขอดูหน่อย” ตี้อู๋เปียนรับกล้องส่องทางไกลไปดูทิศทางที่มู่เถาเยาชี้
บนหน้าผาด้านนั้นมีต้นไม้ที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ด้วยความที่ใบไม้ขึ้นหนาแน่นมาก ก็เลยเห็นไม่ชัดว่าบนนั้นมีคนติดอยู่หรือเปล่า
ถ้ามีคนติดจริง คนคนนั้นก็คงไม่กล้าขยับ กลัวจะเผลอทำกิ่งไม้หักแล้วตกลงไปในแม่น้ำ สายน้ำเชี่ยวกรากขนาดนั้นคงตั้งตัวไม่ทันแน่
ถ้าตกลงไปในแม่น้ำจริง ต่อให้เป็นคนที่ว่ายน้ำเก่งแค่ไหน โอกาสรอดก็ยังจะมีเพียงน้อยนิด ถึงขั้นที่แม้แต่มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนยังไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองจะเอาตัวรอดจากกระแสน้ำที่ไหลเร็วแบบนั้นได้หรือเปล่า
“ซาลาเปาน้อย ดูเหมือนจะมีคนติดอยู่บนนั้นจริง พวกเราหาทางไปดูหน่อย แม่น้ำสายนี้ก็กว้างเหลือเกิน พวกเราเหาะไปไม่ได้…”
แม่น้ำไหลเชี่ยวมาก ให้พวกเขาแตะผิวน้ำเพื่อส่งแรงเหาะไปก็ยังอันตราย
อยากอาศัยขอนไม้ที่ลอยอยู่ก็ดูจะคิดง่ายไปนิด แค่โยนลงน้ำก็ถูกพัดไปไหนถึงไหนแล้ว หรือไม่ก็หายไปในน้ำวน
สถานที่แบบนี้แค่ใช้เรือก็ยังเป็นไปไม่ได้
“ตี้อู๋เปียน พวกเราลงไปด้านล่าง หาจุดที่น้ำไหลช้าหน่อยหรือแม่น้ำแคบหน่อยแล้วเหาะไป”
“อืม”
ทั้งสองคนเหาะตามกันไปทางปลายน้ำ พอเจอน้ำตกตรงหน้าผาที่สามไม่นานก็เห็นว่าแม่น้ำแคบลง ทั้งยังมีอ่าว
เนื่องจากอยู่ๆ แม่น้ำก็แคบลงและมีอ่าว กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากเจออุปสรรคจึงกระแทกกับหน้าผากระทบฝั่ง เสียงชวนสะพรึง
ปลายน้ำมีอ่าวจึงไหลช้าลง สามารถใช้วิชาตัวเบาแตะผิวน้ำเพื่อเหาะไปต่อได้
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนยืนอยู่บนหินผาที่ยื่นออกมาตรงโค้งอ่าว กำลังกะระยะ
“ตี้อู๋เปียน คุณข้ามไปได้หรือเปล่า”
“ได้”
ทั้งสองคนหาท่อนไม้แห้งที่หนาแน่นน้อยกว่าน้ำมา
มู่เถาเยา “ตี้อู๋เปียน เอากระเป๋ากับเชือกมาให้ฉัน”
“ไม่เป็นไร ฉันไหว”
“ก็ได้ ฉันไปก่อน คุณระวังตัวด้วย”
“อืม เธอก็ระวังด้วย”
“ฉันรู้”
มู่เถาเยาถือท่อนไม้ไว้สามท่อน โยนไปหนึ่งท่อน กระโดดลงไป โยนอีกท่อน เหาะไปแตะ พอโยนครบสามท่อนเธอก็เหาะไปยืนฝั่งตรงข้ามได้แล้ว
ตี้อู๋เปียนก็ทำตามเธอ
ทั้งสองคนไม่มีเวลาดื่มด่ำกับทิวทัศน์ตรงนี้ รีบเหาะขึ้นไปยังต้นไม้ที่เมื่อครู่เหมือนมีคนติดอยู่ตรงนั้น
พอไปถึงก็พบคนติดอยู่จริงด้วย!
แต่ลมหายใจรวยริน ก็ไม่รู้ว่าติดอยู่นานเท่าไรแล้ว
“คุณคะ ได้ยินฉันไหมคะ”
ดวงตาของคนที่ติดอยู่ตรงหน้าผาขยับเล็กน้อย แต่กลับตอบไม่ไหว เพราะเขาอ่อนแรงเหลือเกิน แม้แต่หายใจยังลำบาก
“ซาลาเปาน้อย ต้นไม้ต้นนั้นจะหักแล้ว ฉันลงไปช่วยเขากลับมาก่อนค่อยว่ากัน”
“อืม เอาของบนตัวคุณให้ฉัน เตรียมเชือกปีนให้ดี”
ตี้อู๋เปียนเอาพวกกล่องยากับกล้องถ่ายรูปให้มู่เถาเยา แต่กระเป๋ายังคงอยู่บนหลังของเขา
“ระวังด้วย”
“อืม”
ตี้อู๋เปียนพยักหน้าแล้วกระโดดลงไป
พอไปถึงตรงต้นไม้ก็ได้ยินเสียงหัก คนตกลงไปพร้อมต้นไม้
มือข้างหนึ่งของตี้อู๋เปียนรีบปล่อยเชือกไปยึดกับหน้าผา มืออีกข้างคว้าอกเสื้อคนที่ตกลงไปไว้ได้ อาศัยแรงจากเชือกกลับไปยังตำแหน่งเมื่อครู่