ลู่เซิ่งนั่งลงในถ้ำใต้ดิน กำลังจะหยิบของที่เก็บรวบรวมในย่ามพระสุเมรุออกมา
ทันใดนั้นขนพลันลุกชัน สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเหมือนมีบางอย่างกำลังจ้องมองตนอยู่ เขาพุ่งออกจากถ้ำมองไปยังปีศาจงูด้วยสัญชาตญาณ
เห็นปีศาจงูมองมาทางนี้ด้วยรอยยิ้ม คล้ายกำลังบอกเจตนา
ไม่…นี่ไม่ใช่ยิ้มให้เขา ลู่เซิ่งหันหลังไป เห็นแสงเพลิงสีทองสายหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นบุรุษผมขาวรูปงามสวมเสื้อแพรคนหนึ่ง
บุรุษโค้งตัวคารวะปีศาจงู
“กุศลซ่อมฟ้า ผู้มีความสามารถได้ไปครอง ถ้าหากทุกท่านมีเจตนา สามารถลงมือช่วยเหลือได้” บุรุษเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับมีความหมายแฝงให้คนใคร่ครวญ
“ดีทีเดียว สามพิสุทธิ์ส่งตะพาบยักษ์เทียมสวรรค์มาให้ ส่วนฝูซีพี่ข้าส่งเตาแปดทิศหยินหยางมาให้ ศิลาเจ็ดสีเป็นสมบัติของข้า นอกจากนี้มีใครยินดีลงมืออีกหรือไม่” ปีศาจงูตนนั้นถามอย่างเรียบเฉย
“ข้าจะออกตามหาทั่วทั้งดินแดนเอง” แสงสีทองกลุ่มหนึ่งสว่างขึ้นกลางท้องฟ้า ด้านในมีนักพรตวัยกลางคนใบหน้าเหลืองดุจเทียนไขนั่งอยู่
ลู่เซิ่งตกใจ มีคนมากมายอยู่แถวนี้ แต่เมื่อครู่เขาไม่พบเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาสัมผัสความผิดปกติได้แล้ว เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ระดับสุดยอดในจอมอริยะ แต่เป็นผู้วิเศษที่แท้จริง
เหมือนกับบุรุษเสื้อคลุมสีทองที่อยู่ใกล้กับเขา มีกลิ่นหายคุกคามอย่างรุนแรงเหมือนเข็มทิ่มแทงเขา แม้แต่ร่างหลักของเขาก็ต้องขดตัวอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายค้นพบ
ลู่เซิ่งกลายร่างเป็นเปลวเพลิง บินออกห่างจากบุรุษโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากออกมาได้มากกว่าพันลี้ ก็หยุดลงบนซากเขาปู้โจวซานแห่งหนึ่ง
บุรุษเสื้อคลุมสีทองผู้นั้นสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายไม่สนใจว่าเขาจะจากไปหรือไม่ สายตายังคงจ้องมองปีศาจงู หรือหนี่ว์วา
พอห่างออกมาแล้ว ลู่เซิ่งพลันพึงพราบอย่างตื่นตระหนกว่า อากาศกับกระแสความเย็นหยินสุดขั้วด้านหลังบุรุษกำลังกลายเป็นรูหยินหยางขนาดยักษ์อัตโนมัติ
“ฝูซี!” สมองเขาปรากฏชื่อนี้ออกมาทันที
“เด็กน้อยจากที่ใด การช่วยเหลือโลกของผู้วิเศษไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะเข้าร่วมได้” ลู่เซิ่งไม่ทันได้ตอบสนอง ก็รู้สึกได้ว่าด้านหลังมีไอเย็นสายหนึ่งลอบโจมตี
ตูม!
เขากำลังจะเบี่ยงตัวหลบ ความเย็นนั้นกลับปรากฏขึ้นในท้องน้อย เกิดเสียงระเบิดตูม ร่างครึ่งหนึ่งของเขาละลายกลายเป็นก้อนเลือดมากมายอย่างไร้สุ้มเสียง
“เจ้า!” เขาพยายามหันกลับไปมอง ชายชราผมขาวคนหนึ่งถือไม้เท้า เหม่อมองตรงที่หนี่ว์วาอยู่อย่างราบเรียบ ไม่ได้มองมาทางเขาแม้แต่น้อย
“อะไร อยากแก้แค้นหรือ ข้าผู้เฒ่าหมิงเหอ” ชายชรากล่าวอย่างไม่นำพา เพียงแต่แปลกใจที่ลู่เซิ่งทนได้นานขนาดนี้เท่านั้น จึงกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค
“ข้า…” ลู่เซิ่งอ้าปากกระอักเลือดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ใบหน้าซีดขาว
“อะไรของเจ้า อยากร้องขอชีวิตหรือ หรือคิดจะอาศัยบารมีข่มขู่ข้าผู้เฒ่าหรือ” หมิงเหอหัวเราะ “เป็นตายถูกกำหนดไว้แล้ว ฟ้าดินสับเปลี่ยน อาทิตย์จันทราหมุนเวียน ข้าสังหาร เหล่านี้ล้วนเป็นชะตากรรม ข้าหมิงเหอคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติฟ้าดิน คือส่วนหนึ่งของชะตากรรม ขืดขืนข้า ก็เท่ากับขัดขืนชะตา!”
“ข้า…!” ลู่เซิ่งกระอักเลือดอีกครั้ง
“เด็กน้อยน่าสงสาร นี่คือธรรมชาติแห่งฟ้าดิน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” สายตาของหมิงเหอตกลงบนร่างผู้วิเศษหนี่ว์วาที่อยู่ไกลออกไปอย่างเมินเฉยอีกครั้ง
“การที่เจ้ามีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่นี้ ถือเป็นโชคที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว จงยินดีเถอะ การรวมตัวของเหล่าผู้วิเศษจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฟ้าดินที่ไม่เคยมีมาก่อน…เจ้าสามารถรับชมทุกสิ่งก่อนตาย ต่อให้ตาย ก็ถือว่าโชคดี…”
สวบ!
หมิงเหอตาเบิกโพลง ริมฝีปากสั่นไหว ค่อยๆ ก้มลงมองมือสีแดงเข้มที่ทะลวงอกตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ
“ข้า…ยังไม่ตายเว้ย!” ในที่สุดลู่เซิ่งก็เอ่ยปากพูดออกมาได้ จับคอหมิงเหอดุจสายฟ้าแลบ แล้วฉีกอย่างดุดัน อัคคีเทพหงส์เพลิงอันยิ่งใหญ่กับความร้อนที่เหนือจินตนาการ เผาไหม้ศีรษะหมิงเหอเป็นสีดำเกรียม ก่อนจะกระชากออกมา
ไฟสีขาวอมแดงราวกับยาพิษ เผาไหม้ร่างหมิงเหอที่เหลือให้เป็นจุณ
ร่างท่อนล่างที่ถูกระเบิดของลู่เซิ่งมีไฟสีขาวลุกไหม้ พริบตาเดียวก็สลายไป ร่างกายกลับมาเป็นดั่งเดิมอีกครั้ง
“หมิงเหอหรือ ประเสริฐนัก!” ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าพริบตาเมื่อครู่นี้ ร่างอริยะหงส์เพลิงเสียอัคคีเทพหงส์เพลิงไปหนึ่งในสิบส่วน ในสถานการณ์ปกติ อัคคีเทพหงส์เพลิงที่เกิดขึ้นจากการที่เขาไปถึงบันทึกทักษิณอายุวัฒนะวัฏจักรที่เจ็ดสิบเอ็ด ต่อให้ใช้สุดกำลังสิบวันสิบคืน ก็ไม่มีทางผลาญพลังมากมายขนาดนี้
การผลาญพลังที่มากมายอย่างแท้จริงคือการสร้างร่างขึ้นมาใหม่
จุดที่แข็งแกร่งที่สุดของบันทึกทักษิณอายุวัฒนะ นอกจากยืดอายุขัยแล้ว ก็คือการใช้เปลวไฟ ซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของตนเอง
ขอแค่อัคคีเทพหงส์เพลิงยังอยู่ เขาก็ไม่มีทางตาย
ในตอนนี้เอง มีแสงสีเลือดกลุ่มหนึ่งปรากฏบนผืนดินนอกถ้ำ บิดเบี้ยวเป็นรูปเป็นร่าง ไม่นานก็กลายเป็นลักษณะภายนอกของผู้เฒ่าหมิงเหอ
“ประมาทไป…ประเสริฐมาก...เด็กน้อย เจ้าถึงกับทะลวงพิษและการกัดกร่อนของค่ายกลธารโลหิต…ทำร้ายข้าได้…ควรค่าแก่การยกย่อง” สายตาของหมิงเหอฉายแววชั่วร้าย เขาฝึกฝนค่ายกลธารโลหิต อิทธิฤทธิ์ที่แกร่งที่สุดมีชื่อร่างว่าอมตะเทพโลหิต กอปรกับตัวเขาคือทะเลโลหิตอันยิ่งใหญ่ไพศาล หากทะเลโลหิตไม่เหือดแห้ง เขาก็ไม่มีทางตาย
สิ่งที่เสียไปเมื่อครู่เป็นเพียงร่างแปลงเท่านั้น
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาอับอายก็คือ ผู้เยาว์อย่างลู่เซิ่งทำลายร่างแปลงของเขาได้ง่ายดายนัก
เปรี้ยง!
ผืนดินระเบิดออกอย่างฉับพลัน ก้อนหินกับดินโคลนกระจัดกระจาย แสงไฟกลุ่มหนึ่งลอยออกมา กลายเป็นลู่เซิ่ง
เขามองหมิงเหอด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นกัน
“ประเสริฐมาก ข้าลู่เซิ่งมีชีวิตอยู่มาหลายปี เป็นครั้งแรกที่ถูกคนลอบโจมตีโดยไม่มีสาเหตุ…ไอ้ชนพื้นเมืองต่ำต้อย เจ้ายั่วยุข้าสำเร็จแล้ว…”
“หือ?” หมิงเหอผุดสีหน้าอึมครึม ในใต้หล้า นอกจากผู้วิเศษ เขาหมิงเหอไม่เคยกลัวใคร! เด็กน้อยนี่ถึงกับกล้ากล่าววาจาสามหาวหรือ!?
สายตาของลู่เซิ่งเฉียบขาด เขาบุกตะลุยไปทั่วทุกพิภพ สังหารสรรพสิ่ง กลืนดาวกินจันทร์ ไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ แต่ชนพื้นเมืองของโลกใบเล็กๆ กลับกล้าลอบโจมตีเขา ทั้งยังมาวางท่าตรงหน้าเขา เป็นเพราะช่วงนี้เขาอ่อนแอลง หรือว่าคนที่มันอยู่ในโลกใบนี้ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกันแน่
ทั้งสองสบตากัน ต่างก็เห็นจิตสังหารและความดูแคลนในสายตาของอีกฝ่าย
หมิงเหอหรือ จริงสิ เจ้านี่มันเรียกตัวเองว่าหมิงเหอ หมายความว่า
ลู่เซิ่งพลันนึกถึงคนคนหนึ่งในยุคบรรพกาล คนที่กล้าชมดูผู้วิเศษซ่อมฟ้าในเวลานี้อาจจะเป็นหมิงเหอนั่นจริงๆ ก็ได้
แต่ไม่เป็นไร จะไปสนใจทำไมว่ามันเป็นหมิงเหอนั่น บังอาจมาหาเรื่องเขาลู่เซิ่ง จุดจบมีเพียงหนึ่งเดียว
ลวดลายสีแดงเข้มบนใบหน้าลู่เซิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ
พรึ่บ!
เปลวไฟสีขาวร้อนแรงที่สูงหลายสิบหมี่ลุกโหมขึ้นเบื้องหลังเขา ในเปลวไฟเห็นสัตว์ยักษ์พร่ามัวคล้ายมีคล้ายไม่มี
หมิงเหอหัวเราะเสียงแหลม ร่างกายเริ่มกระเพื่อมและบิดเบี้ยวเหมือนน้ำ แสงสีแดงเลือดหลายกลุ่มปรากฏขึ้นรอบตัว กลิ่นคาวเลือดแผ่กระจาย
กระบี่ยาวเก่าแก่สีแดงเข้มทั้งเล่มประณีตรูปลักษณ์แปลกประหลาด ค่อยๆ ปรากฏออกมากลางอากาศข้างเขา ก่อนที่เขาจะคว้ามันไว้
“จงรู้สึกเป็นเกียรติเถอะ ที่จะกลายเป็นวิญญาณภายใต้คมกระบี่อเวจี ข้าจะเปลี่ยนจิตปฐมของเจ้าให้กลายเป็นอาหารของจอมอสูร...ไปผุดไปเกิดไม่ได้ชั่วนิรันดร์! ฮ่าๆๆๆ!”
“เจ้านึกว่าข้าทำอะไรทะเลโลหิตขยะของเจ้าไม่ได้หรือ” ผิวกายทั่วร่างลู่เซิ่งเริ่มปรากฏแสงไฟสีขาวร้อนแรง เขาคิดลองดูมานานแล้วว่าจอมอริยะอยู่ในระดับไหนกันแน่ ในเมื่อหมิงเหอรนหาที่ตาย อย่างนั้นก็อย่ามาโทษเขาก็แล้วกัน!
เมื่อกระบี่อเวจีปรากฏ จิตสังหารเย็นเยียบน่ากลัวเสียดแทงแผ่กระจายออกมา แต่ยามเข้าใกล้ลู่เซิ่ง จิตสังหารนี้กลับถูกสนามพลังแข็งแกร่งอันพิสดารและละโมบชนิดหนึ่งบิดเบือนกลืนกิน
นอกจากอัคคีเทพหงส์เพลิงของลู่เซิ่งแล้ว เหมือนจะมีอิทธิฤทธิ์อันอัศจรรย์แข็งแกร่งประหลาดบางอย่าง เพียงแค่อัคคีเทพหงส์เพลิงคิดแผ่ลามเลีย ก็ถูกจิตสังหารนี้ต้านทานไว้เช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิง สภาวะและสนามพลังที่กระจายออกมาจากตัว ต่างกดทับกันเอง อาจแพ้หรือชนะ ในระยะเวลาสั้นๆ ถือว่าสูสียิ่ง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากฝูซีกับผู้วิเศษหลายคนส่งมอบความช่วยเหลือของตัวเองให้แล้ว ก็พากันล่าถอยไป
เหลือเพียงผู้วิเศษหนี่ว์วาที่กำลังหลอมศิลาเจ็ดสีอยู่
เรื่องซ่อมฟ้าไม่อาจสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ การหลอมศิลาสีรุ้งต้องใช้เวลาไม่น้อย
พวกเขาเห็นความขัดแย้งระหว่างหมิงเหอกับลู่เซิ่งเช่นกัน เพียงแต่สำหรับผู้วิเศษ พวกเขาเป็นตัวแทนอำนาจพิเศษระดับสูงสุดของจักรวาลแห่งนี้ ในสายตาของพวกเขา คนที่ไม่ใช่ผู้วิเศษเป็นเพียงมดตัวจ้อย ที่สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ผู้วิเศษครอบครองตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ ตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์มีวิธีบรรลุธรรมหลากหลาย ผู้ครอบครองตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงว่าตนควบคุมกฎพื้นฐานของจักรวาลแห่งนี้ได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันก็หลุดพ้นจากสามโลก สูงส่งไร้ประมาณ ไม่มีวันดับสลาย
นี่คืออำนาจพิเศษที่จักรวาลมอบให้ ดังนั้นผู้ที่ไม่สำเร็จเป็นผู้วิเศษ ล้วนเป็นมดปลวก
อำนาจพิเศษนี้มีวิธีการได้มาแตกต่างกัน
วิธีแรก ใช้พลังบรรลุธรรม นี่เป็นผู้วิเศษที่มีพลังแข็งแกร่งจนแม้แต่จักรวาลก็ได้แต่นิรโทษกรรมให้ การมอบความสามารถควบคุมกฎเป็นการปลอบโยน พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตัวตนที่ได้อำนาจพิเศษไปเพราะจักรวาลเกรงกลัว
วีที่สองคือการทำลายสามอสุภบรรลุธรรม เป็นการกำจัดความเกี่ยวข้องทั้งหมดระหว่างตนเองกับจักรวาล เพื่อที่จะกระโดดออกจากกฎแห่งกรรม หลุดพ้นจากโลกียะเป็นเอกเทศ จักรวาลได้รวบรวมตัวตนที่เป็นแบบนี้เข้ามาในระบบของตัวเอง ป้องกันไม่ให้พวกเขาก่อความวุ่นวาย จึงมอบตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ให้ เพื่อชดเชยและดึงตัวไว้
วิธีที่สามคือการสร้างกุศลบรรลุธรรม นี่ก็คือผู้ทีสร้างคุณูปการให้แก่ฟ้าดินจักรวาลอย่างมหาศาล จนได้รับรางวัลสูงสุดจากจักรวาล บุญกุศลหนุนนำให้สำเร็จเป็นผู้วิเศษ นี่ถือเป็นระดับอำนาจพิเศษสายตรงที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักการของจักรวาล
ดังนั้นเมื่อเขาปู้โจวซานถล่ม ธารสวรรค์เทลงมา ผู้วิเศษหนี่ว์วาที่เป็นสายตรงของจักรวาลจึงมาที่นี่เป็นคนแรก เพื่อซ่อมฟ้า
วิธีสุดท้าย คือการแสดงปณิธานยิ่งใหญ่เพื่อบรรลุธรรม
นี่ก็คือการรับประกันการตรวจสอบช่องโหว่ให้กับจักรวาล โดยมีโอกาสได้รับรางวัลจากจักรวาล ได้ตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์มาก่อน หลังจากบอกว่าตนสามารถช่วยจักรวาลปรับปรุงรูโหว่ช่องว่างขนาดยักษ์ได้ และแสดงความสามารถที่มากพอกับความเป็นไปได้ในความเป็นจริง ให้เห็น
แน่นอนว่าเงื่อนไขอย่างนี้ก็คือ ปณิธานมีส่วนช่วยต่อจักรวาลอย่างใหญ่หลวง และมีความจำเป็นเร่งด่วน ขณะเดียวกันตนเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ปณิธานสำเร็จ และถ้าประกาศปณิธานเมื่อไหร่ ทุกๆ การเคลื่อนไหวจะต้องเน้นที่การปฏิบัตินี้ ไม่อย่างนั้นจะร่วงหล่นกลับสู่โลก สูญเสียการดูแลจากจักรวาลไป
อย่างไรจักรวาลก็มอบตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ให้ก่อน เพื่อให้ผู้มีปณิธานทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จเร็วกว่าเดิม และประเภทที่สี่นี้ก็เป็นประเภทฉกฉวยโอกาส อย่างไรก่อนที่จะทำปณิธานสำเร็จ ขีดจำกัดอำนาจที่ได้ก็อ่อนแอกว่าสามประเภทก่อนหน้า
หนี่ว์วาไร้ทุกข์ไร้โศก นางทราบดีว่าตนเองต้องการทำอะไร นี่เป็นหน้าที่ของนาง ฟ้าดินในปัจจุบันมีแต่นางเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด
แต่ก่อนหน้านั้น นางมองไปยังเด็กน้อยสองคนที่กำลังคุมเชิงกันอยู่ไม่ไกลออกไปอย่างประหลาดใจเล็กน้อย