ลู่เซิ่งกับหมิงเหอสัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องของหนี่ว์วาก็ต่างขนลุกขนพอง มองสบตากันครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันตัวเผ่นหนี
พูดถึงแล้วพวกเขาต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการมาหาผลประโยชน์ พวกเขายังซ่อนรอโอกาสอยู่ใกล้ๆ ได้ ตราบใดที่ผู้วิเศษไม่สนใจ
จนกระทั่วผู้วิเศษเลื่อนสายตามา หนีไปไกลเท่าไรได้ก็ไปให้ไกลเท่านั้น
ลู่เซิ่งกลายเป็นเปลวเพลิงบินออกไปหลายแสนลี้ จนกระทั่งสายตาที่ทิ่มแทงจนแผ่นหลังเขาเจ็บปวดค่อยๆ จางหายไป เขาจึงลดความเร็ว ระบายลมหายใจ หยุดนิ่งเหนือมหาสมุทร
เบื้องบนยังคงเป็นรูสีแดงเข้มที่น้ำจากธารสวรรค์เทลงมา ด้านล่างคือมหาสมุทรไร้ขอบเขตสีน้ำเงินเข้มผสมกับสีเงิน
เขาบินมาถึงทะเลอุดรในรวดเดียว
หลังจากสัมผัสอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจแล้วว่าผู้วิเศษหวี่ว์วาไม่สนใจเขาอีก ลู่เซิ่งจึงผ่อนระบายลมหายใจ
“ถ้าเดาไม่ผิด หมิงเหอควรจะอยู่ในขอบเขตจอมอริยะ ความสามารถลอบโจมตีที่ไร้สุ้มไร้เสียง กับสนามพลังงานกลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่สู้กับเราได้อย่างสูสีนั่น…จอมอริยะ…ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ลู่เซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน ในตำนานหมิงเหอได้ชื่อว่าเป็นอมตะ ร่างกายคือทะเลโลหิตไร้ขอบเขต ทั้งยังเป็นเผ่าจอมอสูรในตำนาน และถือครองกระบี่คู่อวเจี กระบี่สองเล่มนี้เป็นของวิเศษก่อนกำเนิดอันดับแรก เป็นการดำรงอยู่อันเหี้ยมหาญที่เป็นรองเพียงของวิเศษก่อนกำเนิดระดับสุดยอดอย่างระฆังโกลาหลเท่านั้น
หากสู้กันจริงๆ เขาที่ไม่มีของวิเศษคุ้มกัน อาจเสียท่าครั้งใหญ่เข้าจริงๆ ได้
“ดูเหมือนอีกเดี๋ยวต้องไปทำความเข้าใจหน่อยแล้วว่าจอมอริยะอยู่ในระดับไหน” ลู่เซิ่งคิดวางแผนในใจ
บันทึกทักษิณอายุวัฒนะของเขาในปัจจุบันไปถึงวัฏจักรที่เจ็ดสิบเอ็ดแล้ว อิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีอยู่ก็คืออัคคีเทพหงส์เพลิงร้อนแรงน่ากลัว
จนถึงตอนนี้ อัคคีเทพนี้ยังไม่เจอสิ่งใดที่เผาไหม้ไม่ได้
แม้แต่กายเนื้อของสุดยอดจอมอริยะอย่างหมิงเหอ บอกเผาไหม้ก็เผาไหม้ ไม่มีความสามารถต่อต้านแม้แต่น้อย
จนกระทั่งกระบี่อเวจีปรากฏ สองฝั่งกินกันไม่ลง อัคคีเทพไม่อาจแผ่ลามเข้าไปได้
พูดอีกอย่างก็คือ อานุภาพของอิทธิฤทธิ์ของเขาในตอนนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับของวิเศษก่อนกำเนิดอย่างกระบี่อเวจี
แม้ว่าจะไม่อาจชำระล้างสรรพสิ่งได้เหมือนแสงเทพห้าสีของข่งซวน แต่การที่ต่อกรกับของวิเศษก่อนกำเนิดระดับสองได้ก็ไม่เลวแล้ว
“ผู้เฒ่าหมิงเหอ...ข้าจำเจ้าไว้แล้ว” ลู่เซิ่งสายตาเฉียบขาด หมุนตัวกลายเป็นเปลวไฟพุ่งสู่ฟากฟ้า
ครั้งนี้เขาได้รับพลังอาวรณ์หลายร้อยล้านหน่วย เอาไปใช้กับบันทึกทักษิณอายุวัฒนะได้พอดี เขาอยากจะเห็นว่า หากฝึกฝนวิชาการสืบทอดนี้ถึงจุดสูงสุด จะปรากฏสถานการณ์อย่างไรขึ้น
…
ณ ทะเลโลหิตแห่งยมโลก
กลางมหาสมุทรสีแดงเข้มไร้ขอบเขต แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า แหวกเข้าไปในส่วนลึกของมหาสมุทร
แสงสีแดงหลอมรวมกับน้ำทะเลรอบข้างในพริบตาเหมือนหยดน้ำ
ไม่กี่อึดใจต่อมา ยักษ์สีแดงที่สูงหลายพันหมี่ตนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏเหนือส่วนลึกของมหาสมุทร หน้าตาของเขาคือผู้เฒ่าเหอหมิง
เขามองทรวงอกของตนเองด้วยสีหน้าอึมครึม
ตรงนั้นมีรูโหว่รูหนึ่ง ในรูมีไฟสีขาวบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งกำลังลุกไหม้ เปลวเพลิงนี้ไม่สนใจสิ่งใด แม้จะโดนแสงวิญญาณสีดำห่อหุ้มไว้ ก็ยังเผาไหม้ต่อไปผ่านแสงโลหิตที่ดูดซับภายนอกได้
‘นี่มันไฟอะไรกัน! ถึงกับใช้ทะเลโลหิตของเราเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้ต่อโดยไม่มอดดับได้!?’ หมิงเหอสีหน้าเคร่งขรึม อารมณ์เสียถึงขีดสุด
คราแรกคิดจะไปชมดูและถือโอกาสหาประโยชน์เสียหน่อย นึกไม่ถึงว่าตอนคิดกำจัดปีศาจน้อยเหมือนกับก้อนกรวด กลับไปเจอของจริงเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ
เขาก้มสำรวจเปลวไฟอย่างละเอียด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาใช้จิตปฐมห่อไว้ ไฟนี้คงเผาร่างเขาจนดำเกรียม ทำลายพลังชีวิตทั้งหมดได้ในพริบตาเหมือนเมื่อก่อนหน้าไปแล้ว
“เหมือนมีกลิ่นอายของอัคคีเทพหงส์เพลิง เป็นไปได้ว่าจะเป็นเพลิงอมตะของหงส์อมตะ แต่ว่าอัคคีเทพหงส์อมตะไม่ได้มีอานุภาพขนาดนี้…” เขาเคยสู้กับบรรพชนหงส์มาก่อน ไฟหงส์อมตะร้ายกาจจริงๆ แต่ก็สูสีกับน้ำทะเลโลหิตของเขาเช่นกัน
ไหนเลยจะกดข่มทะเลโลหิตได้อย่างสิ้นเชิงเหมือนเปลวไฟสีขาวนี้ มีแต่ไอสังหารจากการใช้กระบี่อเวจีอันเป็นอาวุธพิฆาตเท่านั้น ถึงจะสะกดและหักล้างความร้อนของมันได้
“เด็กน้อยนั่นเรียกตัวเองว่าลู่เซิ่ง…ดูเหมือนจะไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา แต่ฟ้าดินแห่งนี้เราไม่เคยได้ยินว่ามีคนชื่อลู่เซิ่งมาก่อน...ต้องระวังป้องกันไว้บ้างแล้ว”
หมิงเหอค่อยๆ ชักกระบี่อเวจีออกมา ชี้ปลายกระบี่ไปที่ทรวงอก แทงเข้าไปเบาๆ
ซู่…
ไอสังหารจิตกระบี่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง สาดรดเปลวไฟจนมอดดับ เหลือเพียงควันขาวโขมงเท่านั้น
…
ณ ตำหนักหงส์เพลิง
ลู่เซิ่งนั่งอยู่หน้าคันฉ่องถ่ายทอดของเผ่าหงส์เพลิง หลับตารวบรวมความคิด ทำสมาธิ
อวี่ซวนไม่อยู่ ปัจจุบันตำหนักหงส์เพลิงมีหญิงสาวเผ่าหงส์เพลิงอยู่แค่เจ็ดแปดคนเท่านั้น คันฉ่องถ่ายทอดนี้เป็นเชื้อสายของของวิเศษที่ถ่ายทอดกันในเผ่า แม้ไม่มีอานุภาพแข็งแกร่งนัก แต่ใช้แสงวิญญาณเป็นเครื่องคุ้มกัน โดยเมื่อประสานกับค่ายกลรอบๆ จะคุ้มครองตำหนักหงส์เพลิงได้ทั้งหมด
ถือเป็นของวิเศษไม่เลวชิ้นหนึ่ง
ครั้งนี้หลังจากได้เห็นอานุภาพของของวิเศษก่อนกำเนิด ลู่เซิ่งก็ให้ความสำคัญกับของวิเศษมากกว่าเดิม มาหาของวิเศษระดับสูงสุดที่เขาสัมผัสได้ที่นี่ทันที
เทียบกับของวิเศษของเทพปีศาจที่สวรรค์ให้มาแล้ว ระดับของคันฉ่องหงส์เพลิงคือระดับของวิเศษหลังกำเนิดเป็นอย่างน้อย
พลังอาวรณ์บนคันฉ่องถูกเขาดูดซับไปหมดสิ้นแต่แรก เวลานี้ลู่เซิ่งนั่งอยู่ตรงนี้ก็เพื่อทดลองดูว่า จะหาการสืบทอดจากบรรพบุรุษมากกว่านี้ได้หรือไม่
การสืบทอดของเขาก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ได้รับก่อนจะยกระดับบันทึกทักษิณอายุวัฒนะ ตอนนี้ได้มาถึงวัฏจักรเจ็ดสิบเอ็ดแล้ว คิดว่าหากลองดูอีกที อาจจะได้การสืบทอดมากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิสงบลมหายใจอยู่ในตำหนักหงส์เพลิง ใช้จิตใจเชื่อมต่อกับคันฉ่องด้านหน้าอย่างเงียบๆ
รอบๆ คือตำหนักเล็กแคบสีแดงสด ที่นี่คือดินแดนลับแลของหงส์เพลิง มีแต่ร่างอริยะหงส์เพลิงเท่านั้นถึงจะเข้ามารับการสืบทอดได้ และเข้ามาได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น
ทว่าสำหรับหงส์เพลิงแล้ว การถ่ายทอดใช้ประโยชน์ได้รอบเดียวเท่านั้น จากนั้นต่อให้นั่งอยู่นี่ทุกวัน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก
เพียงแต่ลู่เซิ่งนั้นแตกต่างออกไป
เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าคันฉ่องสีแดงเข้ม อ้าปากเล็กน้อย ไฟสีแดงเข้มหลายสายกระจายออกมาจากผิวคันฉ่อง มุดเข้าปากและจมูกของเขา
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดูดซับไฟสีแดงเข้มสายสุดท้ายเข้าปาก
“เป็นอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ การสืบทอดหงส์เพลิงแบ่งตามขอบเขตพลังฝึกปรือ ตอนนี้น่าจะถือว่าเราได้รับการสืบทอดหงส์เพลิงทั้งหมดแล้วใช่ไหม”
ลู่เซิ่งลังเลอยู่บ้าง แต่ความรู้และความทรงจำ จำนวนมากที่กระเพื่อมในห้วงสมองของเขา ทำให้เขารู้สึกว่า การสืบทอดครั้งนี้สูงล้ำกว่าครั้งก่อนหน้ามาก
สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด คือการบรรลุธรรม
หงส์เพลิงเป็นเผ่าสัตว์เทพโบราณ ย่อมมีการศึกษาอย่างล้ำลึกต่อผู้วิเศษ ทั้งยังมีความเข้าใจอย่างล้ำลึกถึงขีดสุดต่อวิธีบรรลุธรรมด้วย
โดยเฉพาะพวกมันยังมีแหล่งกำเนิดที่ล้ำลึกกับฝูซีพี่ชายของหนี่ว์วาด้วย
ความเข้าใจต่อผู้วิเศษถือว่าลึกซึ้งในทั่วทั้งฟ้าดิน
“ที่รู้แล้วคือมีเส้นทางบรรลุธรรมสี่แบบ...บรรลุธรรมด้วยพลัง สะบั้นอสุภะบรรลุธรรม สร้างกุศลบรรลุธรรม ปณิธานบรรลุธรรม” ลู่เซิ่งหรี่ตาพิเคราะห์
“จอมอริยะคือการดำรงอยู่ที่ก้าวสู่เส้นทางบรรลุธรรม แต่ยังไปไม่สุดทาง”
เหล่าบรรพบุรุษของเผ่าหงส์เพลิงเคยมีการศึกษาและคาดเดาต่อฟ้าดิน และตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนาน
ในนี้มีหมิงเหออยู่ด้วย
ลู่เซิ่งเจอบันทึกที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว
“ผู้เฒ่าหมิงเหอ: ร่างกายคือธารโลหิตไร้ขอบเขต กำเนิดจากธารนรกที่เปลี่ยนมาจากเลือดสกปรกของผู้วิเศษผานกู่ มีความสามารถแห่งกฏเกณฑ์โดยกำเนิด ตัวธารโลหิตคือข้อต่อหนึ่งในโชคชะตา ดังนั้นจึงไม่มีวันตาย ครอบครองกระบี่คู่อเวจีและมฤตยู เคยเลียนแบบการสร้างมนุษย์บรรลุธรรมของผู้วิเศษหนี่ว์วา โดยสร้างเผ่าอสูร แต่ล้มเหลว ภายหลังรับสามพันเทพมารโกลาหลที่หลงเหลืออยู่หลังกำเนิด เป็นอันดับหนึ่งรองจากผู้วิเศษ”
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งขมวดคิ้วก็คือ ร่างกายของหมิงเหอเหมือนจะอยู่ในยมโลก ไม่เคยออกมาจากธารนรก สิ่งที่ออกไปด้านนอกคือร่างแยกเทพโลหิตที่เขาแบ่งออกมา
“คิดจะกำจัดมัน ลำบากอยู่บ้างจริงๆ…” เขาก็คือตัวตนอมตะเช่นกัน ย่อมทราบว่าหากกำจัดเจ้านี่ไม่ได้ในคราวเดียว ภายหลังย่อมยุ่งยากเข้าแล้ว
คุณสมบัติไม่ตายไม่ดับสูญสามารถทำให้มันลอบโจมตีได้อย่างเต็มที่โดยไม่สนใจความเป็นความตาย น่ารำคาญจริงๆ
“พูดถึงที่สุด หากดูจากอานุภาพของผู้วิเศษบนบันทึก ผู้วิเศษนี้เทียบได้กับระดับอำนาจพิเศษของจักรวาลผืนนี้ มีความสามารถปรับเปลี่ยนกฎได้ในระดับเล็กๆ แต่นี่เป็นความแข็งแกร่งที่จักรวาลประทานให้ หากออกจากตรงนี้ก็ร่วงหล่นสู่โลกียะใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหา”
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น
“สิ่งที่เราแสวงหาคือ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงที่ปรับตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะอยู่ในจักรวาลไหน และจักรวาลแห่งนี้ก็เล็กเกินไปหน่อย…”
แม้ผู้วิเศษจะมีอานุภาพแข็งแกร่งสุดขีด และโลกบรรพกาลดูเหมือนกว้างใหญ่สุดขีด แต่ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า นี่เป็นจักรวาลที่เพิ่งเกิดไม่นาน
เทียบกับโลกใบอื่นที่เขาเคยจุติ ขนาดของที่นี่ถึงขั้นเรียกว่าจักรวาลไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างมากสุดก็เป็นแค่โลกใบเล็กเท่านั้น
เขาเคยคำนวณพื้นที่ของโลกบรรพกาลมาก่อน ใหญ่เท่ากับระยะห่างสิบกว่าปีแสงของโลกมารสวรรค์ แม้จะกว้างใหญ่จริงๆ แต่สำหรับจักรวาลอื่นแล้ว ระยะห่างสิบกว่าปีแสงเป็นสถานที่เล็กจ้อยที่เทียบแม้แต่เม็ดงาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพียงแต่สถานที่นี้มีความหนาแน่ของสสารพลังงานมากถึงที่สุด ดังนั้นอานุภาพที่เกิดขึ้นจึงเหนือธรรมดา
“ดูเหมือนเรื่องกำจัดหมิงเหอต้องวางแผนระยะยาว…ในจักรวาลผืนนี้ ผู้วิเศษมีอานุภาพแกร่งสุดขีด การเก็บรวบรวมของวิเศษเพื่อดูดซับพลังอาวรณ์เงียบๆ เป็นเส้นทางราชา รอยกระดับอัคคีเทพหงส์เพลิงถึงขีดสูงสุด ค่อยพิจารณาว่าจะบรรลุธรรมหรือไม่”
ก่อนหน้านี้ จะต้องจัดระเบียบก่อนว่า เล็งของวิเศษชิ้นไหนที่มีพลังอาวรณ์มากสุด
ลู่เซิ่งเดินออกจากตำหนักหงส์เพลิง นัดเจอเทพปีศาจอวิ๋นเหมิงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้รายการมาชุดหนึ่ง เป็นรายการของวิเศษที่มีชื่อเสียงในฟ้าดิน
บนรายการไม่ได้มีเพียงของวิเศษจากตำนานในความทรงจำของลู่เซิ่งเท่านั้น ยังมีของล้ำค่าอีกมากมายที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย
หลายชิ้นเป็นสิ่งที่เทพปีศาจมากมายหลอมสร้างขึ้น และเทพปีศาจที่ครอบครองของวิเศษเหล่านี้ ก็มีน้อยมากที่อยู่ในอุทยานปีศาจ ส่วนใหญ่เร้นกายอยู่ตามที่ต่างๆ บนผืนดิน
โลกบรรพกาลใหญ่ถึงขีดสุด การถล่มของเขาปู้โจวซาน กับการทะลักของน้ำจากธารสวรรค์ดูเหมือนมีสภาวะยิ่งใหญ่ ความจริงส่งผลแค่กับพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น และอีกเดี๋ยวผู้วิเศษหนี่ว์วาก็แก้ไขแล้ว
สถานที่อื่นๆ ในโลกบรรพกาลยังคงปลอดภัยไร้เรื่องราว เทพปีศาจเหล่านี้ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนเหล่านี้นี่เอง
ในนี้ยังรวมถึงอริยะปีศาจระดับสุดยอดอย่างข่งซวนหรือเทพปีศาจข่งซวนด้วย
ลู่เซิ่งเลือกเทพปีศาจที่อยู่ตามลำพังและมีพลังอ่อนแอออกมา แล้วให้หมิงเสอสั่งเทพปีศาจในอุทยานสวรรค์มุ่งหน้าไปลักลอบซ่องสุมลงมือ
ส่วนพวกที่มีชื่อมีแซ่ ขอบเขตพลังเหี้ยมหาญ ค่อยเก็บเอาไว้ลงมือตอนสุดท้าย
ไม่นานนัก ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน เทพปีศาจหลายตนบนผืนดินก็พากันถูกเพื่อนร่วมเผ่าลอบฝังกาฝาก สำหรับเทพปีศาจที่เริ่มสัมผัสกับพลังเทพนอกรีต พวกเขาไม่อาจป้องกันได้ เทพปีศาจระดับเซียนทองคำขั้นกลางจำนวนสิบกว่าตน ถูกจัดการภายใต้การลอบโจมตีอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
ลู่เซิ่งฝึกฝนอยู่ที่ตำหนักหงส์เพลิงคนเดียว ของวิเศษที่มีผลแตกต่างกันถูกส่งมาให้เขาเขาอย่างไม่ขาดสาย พลังอาวรณ์มากมายรวมตัวสั่งสม
จุติไปยังโลกต่างๆ มามากมาย เขาไม่เคยปลอดโปร่งแบบนี้มาก่อน ของวิเศษหลังกำเนิดชิ้นหนึ่งมอบพลังอาวรณ์ให้เขาได้ถึงสองร้อยล้านหน่วย ที่มีชื่อเสียงหรือมีอายุยาวนานหน่อยก็มีพลังอาวรณ์สามร้อยล้านหน่วยขึ้นไป
พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งปี เทพปีศาจบนผืนดินที่อยู่ในข้อมูล ถูกเขากัดกร่อนและฝังกาฝากเกือบหมดแล้ว พวกที่เหลืออยู่คือพวกรับมือยากเท่านั้น
หลังจากรวบรวมพลังอาวรณ์ได้เกือบห้าพันล้านหน่วย ลู่เซิ่งก็เตรียมฝึกฝนและจุดจิตปฐม ดูว่าจะทะลวงสู่ระดับจอมอริยะได้หรือไม่
เขาวางแผนไว้ว่า จะเดินบนเส้นทางบรรลุธรรมด้วยพลัง