ตอนที่ 391 – การพบกับหยูปันจือ
หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
ผ่านกล้องที่ซ่อนอยู่ในขน สือเหล่ยเห็นไป่หยวนยืนขึ้นและออกจากภาพที่ถูกส่งผ่านกล้องไป
กล้องเริ่มสั่นขึ้นมาอย่างกระทันหัน เห็นได้ชัดว่าคอลลี่ทำตามคำสั่งของสือเหล่ยโดยไม่ปล่อยให้ไป่หยวนคลาดสายตาของมันเลย มันกระโดดลงจากโซฟาและเดินตามไป่หยวนออกไป
เลาจน์สว่างไสวด้วยแสงไฟและคอลลี่ก็ตามหลังไป่หยวนออกไป มันเห่าเมื่อเห็นเขาขึ้นไปบนรถ
สือเหล่ยได้เห็นสิ่งนี้และคิดว่ามันอาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป หยูปันจือเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องและบางทีเขาอาจจะพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง ถ้าสือเหล่ยได้ยินเสียงพึมพำของเขาและได้เห็นการกระทำของเขา บางทีมันอาจจะช่วยให้สือเหล่ยเข้าใจถึงเจตนาของหยูปันจือได้
เห็นได้ชัดว่าคอลลี่ไม่ลืมคำสั่งของสือเหล่ย สือเหล่ยบอกมันว่าให้มันกลับมาที่อาคารหลังจากที่ไป่หยวนกลับไป
ประการแรก สือเหล่ยต้องเอากล้องออก และประการที่สอง สือเหล่ยยังมีความตั้งใจอื่นอีก
เมื่อยามเห็นว่าคอลลี่กำลังจะเดินออกจากเลาจน์ไปต่อหน้าต่อตาของเขา เขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมาและพยายามที่จะหยุดมัน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไล่ไม่ทันความเร็วของมัน คอลลี่วิ่งออกไปจากยามในทิศทางที่ชาญฉลาด ยามสบถออกมาเมื่อคลาดกับมันและในเวลานี้ เขาก็ไม่กล้าเอื่อยเฉื่อยอีก เขารีบวิ่งไล่ตามหลังมันไปหลังจากบอกให้ยามคนอื่นเฝ้าทางเข้าไว้ผ่านวอคกี้ทอคกี้
เขาย่อมไม่สามารถไล่ตามมันไปได้ทันแน่ แต่โชคดีที่จุดประสงค์ของคอลลี่นั้นชัดเจน มันอยากจะเข้าไปในอาคารที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 200 เมตร ยามสามารถเห็นมันได้อย่างชัดเจนเมื่อมันยืนขึ้นด้วยขาหลังและเกาประตู จากนั้นก็มีคนเปิดประตูให้มันและปล่อยให้คอลลี่เข้าไป
ยามถอนหายใจ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ามันไปที่ไหน
ยามเป็นกังวล เขาไม่รู้ว่ามันวิ่งเข้าออกวันละกี่รอบกันแน่
คอลลี่เข้ามาและมุ่งตรงไปยังมุมที่สือเหล่ยอยู่ แม้ว่ามันจะไม่เห็นสือเหล่ย แต่มันก็จำกลิ่นของเขาได้อย่างชัดเจน จมูกของสุนัชดรกว่าของมนุษย์นับร้อยเท่า และการหาใครสักคนในกลุ่มฝูงชนก็ง่ายมากสำหรับมัน
สือเหล่ยกำลังรอคอยการมาถึงของคอลลี่ และเมื่อเขาเห็นมันวิ่งออกมาจากทางเข้าเลาจน์ เขาก็รู้ว่ามันกำลังมา ดังนั้น เขาจึงลบแอพฯกล้องในโทรศัพท์ของเขาเนื่องจากเขาไม่ต้องการเหลือหลักฐานทิ้งไว้
คอลลี่วิ่งมาข้างๆสือเหล่ยและถูหัวของมันเข้ากับขาของสือเหล่ยอย่างเป็นมิตร มันพยายามที่จะยืนขึ้นและวางอุ้งเท้าหน้าไว้กับสือเหล่ย
สือเหล่ยยิ้มและลูบหัวของคอลลี่ในขณะที่เขานั่งยองๆลงโดยไม่พูดอะไร เขาไม่ต้องการใช้โอกาสสุดท้ายของบัตรภาษาสัตว์ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นไม่พูดอะไร
สือเหล่ยหากล้องและซ่อนมันไว้ในฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็กอดคอลลี่ที่ช่วยเขาและยืนขึ้น “ทำไมถึงมีสุนัขมาอยู่ที่นี่อีก?”
ไป่ชูและหลินน้อยเดินเข้ามาแทบจะพร้อมเพรียงกัน “ดูเหมือนมันจะมาหาพี่ พี่หิน…” หลังจากการตำหนิของไป่ชู ในที่สุดหลินน้อยก็หยุดเรียกสือเหล่ยว่าพี่เขย
“บางที มันอาจจะมาเยี่ยมและเล่นกับฉันก็ได้”
ยามได้เคาะประตูจากทางด้านนอกแล้ว มีคนเปิดประตูให้เขาและยามได้แสดงออกอย่างสุภาพว่าเขามาจากเลานจ์เพื่อมาตามสุนัขเนื่องจากเขารู้ว่าเด็กๆทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างเป็นชนชั้นสูงและคนร่ำรวย
สือเหล่ยพาคอลลี่ออกมาและยิ้ม “นายต้องหมั่นดูมันไว้ ไม่ควรปล่อยให้มันวิ่งออกมาได้ตลอดแบบนี้ มันยังดีที่มันพบกับพวกเรา ถ้ามันเจอคนอื่น มันอาจกลายเป็นอาหารบนโต๊ะของพวกเขาแล้ว”
ยามบ่นเงียบๆ ‘ฉันดันหวังให้มันกลายเป็นอาหารน่ะสิ ฉันจะได้ไม่ต้องออกมาหามันอยู่ตลอด มันเป็นสุนัขแบบไหนกันแน่? ฉันรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นบรรพบุรุษของฉันเลย’
เขายิ้มและบอกว่าเขาจะไม่ทำให้สือเหล่ยและคนอื่นๆลำบากอีกในขณะที่เขาพยายามคว้าคอของคอลลี่ แต่คราวนี้คอลลี่ไม่ยอมให้เขาสัมผัสมัน
มันเดินไปรอบๆสือเหล่ยสองครั้งและยามก็ไม่สามารถจับมันได้สำเร็จ ทำให้เขาต้องมองไปที่สือเหล่ยอย่างกระอักกระอ่วน
นี่เป็นเรื่องที่สองที่สือเหล่ยต้องการ
“นายต้องการให้ฉันเอามันกลับไปให้ไหม? ฉันคิดว่ามันค่อนข้างชอบฉันนะ”
ยามมีความสุขมาก เขาตระหนักได้ว่าคอลลี่ออกมาเพราะสือเหล่ย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เดินวนรอบเขา
แม้แต่สือเหล่ยก็ต้องประหลาดใจ ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็สื่อสารกับมันเพียงครั้งเดียวผ่านบัตรภาษาสัตว์ เขาสั่งมันและด้วยเหตุนี้มันจึงมาหาเขาหลังจากที่ไป่หยวนกลับไป ในตอนนี้ที่สือเหล่ยไม่มีความสามารถในการพูดคุยกับมันอีก คอลลี่ก็ยังวนรอบสือเหล่ยราวกับว่าพวกเขาคุ้นเคยกันมาก
เขาโน้มตัวลงและลูบหัวของมันในขณะที่ชี้ไปยังประตู “ให้ฉันพาแกกลับไปนะ?”
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ภาษาของสุนัข แต่คอลลี่ก็เข้าใจมัน มันส่ายขนสีทองของมันและแกว่งหางเพื่อแสดงความอนุมัติ
มันทำให้สือเหล่ยประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เขาไม่ใช้คนที่เข้าใจภาษาของสุนัขอีกแล้ว แต่ทำไมคอลลี่ถึงเข้าใจว่าเขาพูดอะไร? ไม่แปลกใจเลยที่สุนัขได้รับการยอมรับว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ เมื่อมันยอมรับว่าใครเป็นเพื่อนของมัน มันจะพยายามเข้าใจและพยายามทำตามคำสั่งของคนๆนั้น แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจสิ่งที่คนๆนั้นพูด มันก็ไม่ได้หยุดสิ่งที่คนๆนั้นหมายความถึง
คอลลี่นำทาง สือเหล่ยและยามเดินตามหลังมันไป
เมื่อพวกเขามาถึงเลานจ์ สือเหล่ยก็ยื่นมือของเขาออกมา “เอาสายจูงมาให้ฉันและฉันจะพามันไปที่ที่เหมาะสม โอ้ มันไม่เป็นไรใช่ไหมที่ฉันจะเดินเข้าไปข้างใน?”
ยามยิ้ม “ดูคุณพูดเข้าสิ ไม่ต้องพูดถึงว่าคุณช่วยผมถึงสองครั้ง แม้ว่าคุณจะมาที่นี่และเดินเข้าไปข้างใน มันก็ไม่มีปัญหาอะไร โปรดไปตามที่คุณต้องการเถอะครับ แต่ไม่จำเป็นต้องใส่สายจูงหรอก เจ้านายของผมไม่ยอมให้ใครใส่สายจูงให้มัน ปกติมันมีไว้แค่ตอนที่ไม่สามารถเอามันกลับมาได้เฉยๆ”
สือเหล่ยพยักหน้าและชี้ คอลลี่นำทางเขาเข้าไปในเลานจ์ในทันที
เลานจ์ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบสวนคลาสสิก มันมีภูเขาปลอม พุ่มไม้ขนาดเล็ก และศาลา ทางเดินถูกสร้างขึ้นด้วยกรวด ซึ่งแยกออกเป็นสองทางอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีสายน้ำที่มีสะพานเล็กพาดผ่าน
แน่นอนว่าเลานจ์ส่วนใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นนั้นล้วนมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป สือเหล่ยตามคอลลี่เข้าไปอย่างสบายๆ และเพลิดเพลินไปกับสไตล์ของเลานจ์
คอลลี่ฉลาดมาก ดูเหมือนมันจะรู้ว่าสือเหล่ยมาหาคนสองคน แม้จะมีคนนึงกลับไปแล้ว แต่ก็ยังอีกคนอยู่ ดังนั้นมันจึงนำสือเหล่ยไปยังที่ที่หยูปันจือและไป่หยวนพูดคุยกัน
ทันทีที่มาถึง สือเหล่ยก็เห็นหยูปันจือเดินออกจากประตูมา ดูเหมือนว่าเขาจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อตอนที่เขาอยู่ในห้อง ในขณะที่เขากลับไปเป็นเจ้าของร้านไม้กฤษณาที่สงบนิ่งแล้ว จากมุมมองของสือเหล่ย นอกจากหยูปันจือจะไม่สามารถแสดงความยับยั้งชั่งใจในคำพูดของเขาได้แล้ว ลักษณะและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย
“พี่หยู?” สือเหล่ยแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
หยูปันจือเองก็อึ้งไป “สือเหล่ย? ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”