ตอนที่ 262 เขาเป็นเจ้าชาย
“เอาละๆ เสี่ยวเย่ว์หน้าบาง เฟยเฟย เธอก็พูดน้อยหน่อยเถอะ” อีลั่วเสวี่ยเม้มปาก หยุดไม่ให้หลิ่วเฟยซวงพูดต่อ
ไม่ง่ายเลยที่เสี่ยวเย่ว์จะแสดงออกชัดเจนแบบนี้ ต้องไม่ทำให้เธอรู้สึกต่อต้าน เด็กสาวคนนี้จบมัธยมปลายก็ไปเป็นทหารเลย เรื่องความรักแทบจะเป็นกระดาษสีขาว ไม่ควรทำให้เธอตกใจกลัว
มีหรือที่หลิ่วเฟยซวงจะไม่เข้าใจ เรื่องอีลั่วเสวี่ย เธอรู้สึกว่าคงเพราะตัวเองพูดมากเกินไปเลยทำให้อีกฝ่ายต่อต้าน ไม่อย่างนั้นทำไมเพิ่งแต่งงานกับเฉวียนหมิงไม่ทันไร ใจก็เทไปทางเขาเสียแล้ว
การพูดกรอกหูใครเกี่ยวกับคนคนหนึ่งนานๆ เข้า ถ้าสามารถทำให้มองเห็นข้อดีของอีกฝ่ายได้ก็ดีไป แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะทำให้รู้สึกไม่ชอบ
แม้ท่าทีของอีลั่วเสวี่ยที่มีต่อหลิ่วเฟยอวิ๋นจะไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่สำหรับหลิ่วเฟยซวงแล้วถือว่าเป็นบทเรียนที่ต้องจำไว้ให้ดี
“พวกเธอจะจบไม่จบ รู้จักแต่ล้อฉัน เห็นแบบนี้ฉันโทร.เรียกหลานเยี่ยหมิงมาก็ดี” ล้อฉันเล่นดีนักใช่ไหม งั้นฉันก็มีไม้ตายเหมือนกัน
พอพูดแบบนี้ หลิ่วเฟยซวงก็ทำเป็นกลอกตาอย่างไม่รู้เรื่องทันที “ฉันพูดอะไรเหรอ เสี่ยวเย่ว์ ทำไมต้องออกตัวขนาดนั้นล่ะ ฉันจำได้ในวิชาเลือกจิตวิทยาบอกว่า คนที่ยิ่งพูดเสียงดัง แสดงว่ายิ่งต้องการกลบเกลื่อนความตึงเครียดในใจ หรือไม่จริง”
“ก็ได้ ฉันยอมแพ้” จิตวิทยา ไปตายซะจิตวิทยา จงใจหาข้ออ้างมาทำให้ฉันพูดแก้ตัวไม่ได้
อีลั่วเสวี่ยส่ายหน้าอย่างจนใจ เด็กสาวสองคนนี้ ไมว่าอย่างไรก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะพูดเรื่องหนุ่มหล่อ เรื่องความรัก ทำให้คนสองภพอย่างเธอที่รวมอายุแล้วเกินสี่สิบไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“เลิกพูดได้แล้ว เฟยเฟย เธอรีบดูว่ามีอะไรต้องจัดการบ้าง ทำเสร็จแล้วเราจะได้กลับกัน ระหว่างทางจะได้แวะซื้อของกินด้วย”
พอพูดถึงเรื่องกิน สองสาวก็หยุดพูด กลับมาอยู่ฝ่ายเดียวกันทันที
“ฉันจะเก็บชุดชาพวกนี้เอง” เหอเย่ว์ยกถ้วยชาที่ยังดื่มไม่หมดกับป้านชาไปที่อ่างล้างจานด้านข้าง
หลิ่วเฟยซวงชี้ที่กองเอกสารที่กระจัดกระจายบนโต๊ะ “ฉันจัดการพวกนี้เอง” สองคนลงมือทำจนเสร็จอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก แล้วคว้ามืออีลั่วเสวี่ยคนละข้างออกไปจากที่นี่
ในซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง หลิ่วเฟยซวงเข็นรถเข็นวิ่งไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งอีลั่วเสวี่ยกับเหอเย่ว์ซึ่งเข็นรถเข็นเหมือนกันไว้ข้างหลัง
“เสี่ยวเย่ว์เธอมีอะไรอยากจะพูดใช่ไหม” อีลั่วเสวี่ยเหลือบมองหลิ่วเฟยซวงซึ่งกำลังจับจ่ายอย่างสนุกห่างออกไป พลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เหอเย่ว์พยักหน้า “เธอรู้ไหม ซีเหมินหลงเซี่ยวคนนั้น นอกจากเป็นซีอีโอของไหลย่ากรุ๊ปแล้วยังมีสถานะอะไร”
“ไม่รู้สิ แต่ความน่าเกรงขามในตัวเขา รวมทั้งคนที่อยู่รอบๆ ก็มีไม่น้อยที่เป็นลูกน้องที่ปลอมเป็นลูกค้า เฉพาะในรถที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามก็มีคนถืออาวุธคอยสังเกตพวกเรา” อาวุธที่ว่าก็คือปืน
“เธอสังเกตเห็นหมดเลย สมกับที่เป็นคุณหนูใหญ่ ร้ายกาจจริงๆ”
“เธออยากพูดอะไรก็พูดเถอะ ก่อนที่เฟยเฟยจะมาทางนี้” หลิ่วเฟยซวงกำลังหยิบเครื่องดื่มหลายกระป๋องใส่รถเข็น เผอิญหันมามองทั้งสองคน ก็คิดว่าพวกเธอทำอะไรชักช้า ไม่ได้คิดอะไรมาก
สองคนเดินไปยังบริเวณที่มีคนน้อย เหมือนไม่อยากให้ใครได้ยินที่คุยกัน
“ซีเหมินหลงเซี่ยวเป็นเจ้าชายประเทศซีกั๋วเพื่อนบ้านเรา ตอนที่ฉันเรียนอยู่เคยอ่านข้อมูลเกี่ยวกับเขา” สำหรับคนที่ศึกษาถึงแก่นอย่างพวกเธอ ย่อมถือว่าเป็นคนของครึ่งประเทศ ต้องจดจำบรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ให้แม่นยำ
ทีแรกเธอคิดว่าตัวเองดูผิด แต่พอเขายื่นนามบัตรให้ เธอจึงแน่ใจว่าคนคนนี้คือเจ้าชายประเทศซีกั๋ว
อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้ว “เขาเป็นถึงเจ้าชาย แต่ทำไมไม่เปิดเผยตัวล่ะ” มีสถานะนี้ ก็เหมือนพระชายาของประเทศเอ็ม ที่สร้างแบรนด์ขึ้นมา มีอิทธิพลไปทั่วประเทศ
ตอนที่ 263 หมอปีศาจไม่โง่อย่างนั้น
“เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับระบอบการปกครองของประเทศซีกั๋วก็ได้ การสืบทอดตำแหน่งผู้นำประเทศใช้วิธีกำหนดแบบผสมผสาน ไม่ว่าด้านไหนก็ส่งผลต่อการลงคะแนนเสียงของพวกเขา”
เมื่อถึงเวลาคัดเลือกผู้ที่จะสืบทอดบัลลังก์กษัตริย์ ก็จะมีการลงคะแนนเสียง ผู้ที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดและผ่านการทดสอบต่างๆ ได้คะแนนสูงสุดก็จะได้เป็นรัชทายาท ไม่ใช่เป็นเพียงเจ้าชายแล้ว
“น่าสนใจ” ประเทศซีกั๋ว ถ้าอย่างนั้นก็ถูก ตามตำนานบอกว่าแหวนหยกวงนี้เคยเป็นของราชครูประเทศซีกั๋ว เป็นมรดกตกทอดของพวกเขา ซีเหมินหลงเซี่ยวย่อมต้องการเอากลับคืนไป เพื่อเสริมบารมีให้ตัวเอง
ถ้าสามารถซื้อกลับในราคาสูง โดยเฉพาะยิ่งเป็นการมาตามหาสมบัติของชาติกลับคืนด้วยตัวเองแล้ว เมื่อข่าวแพร่ออกไปหลังจากทำสำเร็จ จะต้องมีคนรักชาติจำนวนมากสนับสนุนเขา นี่ก็เท่ากับอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจน
“คนคนนี้ไม่มีข้อมูลให้สืบค้นมากนัก ลั่วเสวี่ย ฉันว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา” สีหน้าเหอเย่ว์หนักใจ ซีเหมินหลงเซี่ยวมาปรากฏตัวที่นี่ แต่ไม่มีรายงานข่าวอะไรเลย การเดินทางมาของเขาครั้งนี้ไม่คาดฝันจริงๆ
เธอกำลังชั่งใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับพ่อดีหรือไม่ ไม่ได้ ยังไงก็ต้องบอกให้รู้ ถ้าเกิดพ่อไม่ได้รับรายงานแล้วจะทำยังไง ถ้าซีเหมินหลงเซี่ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแม้เพียงเส้นผมตอนอยู่ที่นี่ ต้องส่งผลถึงพ่อแน่ๆ
“มองออกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาเป็นถึงเจ้าชายสูงศักดิ์ คงไม่มาข้องแวะอะไรกับพวกเรานักหรอก มีก็แต่เรื่องทางเฟยเฟยเท่านั้น” เธอมั่นใจว่าที่ซีเหมินหลงเซี่ยวเลือกมาที่ร้านหยกของหลิ่วเฟยอวิ๋นไม่ใช่เพื่อเครื่องหยกแน่นอน
“ทางเฟยเฟยฉันมีวิธี” เหอเย่ว์ไม่คุ้นเคยกับหลิ่วเฟยอวิ๋น แต่รุ่นพ่อต่างก็เป็นข้าราชการ มากน้อยก็ต้องรู้จักกันบ้าง คืนนี้ต้องถือโอกาสเตือนให้รู้
“เสวียเสวี่ย เธอสองคนชักช้าจริง ยังเลือกซื้ออะไรไม่ได้อีกเหรอ” หลิ่วเฟยซวงเข็นรถเดินมาหาแต่ไกล พอเห็นในรถเข็นมีของเพียงเล็กน้อยก็เบ้ปาก
เหอเย่ว์กลอกตา “เมื่อกี้พ่อโทร.มาตามให้ฉันกลับไปกินมื้อเย็น เลยคุยนานไปหน่อย”
มุมปากอีลั่วเสวี่ยกระตุก เหอเย่ว์พูดในสิ่งที่เธอคิดจะพูดไปแล้ว “แค่กๆ เฉวียนหมิงโทร.หา ฉันปฏิเสธไปแล้ว” เธอนึกหาข้อแก้ตัวไม่ได้ จึงยกเขาขึ้นมาอ้าง
หลิ่วเฟยซวงฟังจบ ดวงตาก็ลุกวาว “ว้าว อย่างนี้สิถึงจะเป็นเพื่อนซี้ของฉัน ไปเถอะ ฉันยังมีของต้องซื้ออีกเยอะเลย…”
ที่จริงตอนที่พวกอีลั่วเสวี่ยขับรถออกไป ซีเหมินหลงเซี่ยวกับบรรดาผู้ติดตามอยู่ในรถคันหนึ่งที่สี่แยกไม่ไกลออกไป
“นายน้อย จะตามไหมครับ”
“ไม่ต้อง ถ้าเป็นหมอปีศาจ แบบนี้มีแต่จะทำให้พวกเธอระแวง อีกอย่างหมอปีศาจไม่โง่อย่างนั้นหรอก จะยอมให้เราตามหาเบาะแสได้ง่ายๆ ได้ยังไง”
อีกอย่างถ้าตัวเขาเป็นหมอปีศาจย่อมไม่มีทางทำแหวนหยกออกมามากมายเองแน่ แบบนั้นจะยิ่งเป็นการเผยพิรุธออกมาได้ง่ายๆ คนที่ชื่อหลิ่วเฟยซวงก็บอกแล้ว แหวนที่พวกเธอสวมเป็นของตัวอย่างที่หลิ่วเฟยอวิ๋นเจ้าของร้านให้มา แหวนหยกสามวง ตรงตามข้อมูลที่เขาได้รับ
หมอปีศาจคงไม่โง่ถึงขั้นเอาแหวนหยกของจริงให้คนอื่น เรื่องนี้ต้องไตร่ตรองให้ดี
“แต่ที่นี่เป็นบริษัทผลิตแหวนหยก ถ้าไม่มีแหวนหยกเป็นต้นแบบ พวกเขาจะเลือกทำออกมาได้ยังไง แถมยังบังเอิญมาก หมอปีศาจน่าจะจงใจทำให้เราสืบหาแหวนหยกไม่ได้”
ร้ายกาจจริงๆ แหวนหยกถูกประมูลออกไปจากโรงประมูลไม่ถึงครึ่งเดือน หมอปีศาจก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย พวกเขาไม่เพียงไม่พบร่องรอย เวลานี้แหวนหยกยังปรากฏขึ้นอีกหลายวง ทำให้การตามหาแหวนจริงเป็นเรื่องยากขึ้น