ตอนที่ 312 แกก็แค่ตาแก่จนๆ
อีฃั่วเสวี่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “นายสองคนว่างอย่างนี้ ฉันคิดว่าถ้าเวลาที่ไม่มีชั่วโมงเรียนน่าจะมาช่วยงานที่นี่แบบไม่มีค่าจ้างจะดีกว่า รู้สึกแปลกใจกับการทำงานนักหรือ?”
เสี่ยวเฟิงโบกมือทันที “หัวหน้า ไม่สิ ท่านประธาน ไม่ต้องดีกว่า ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้คาดหวัง แต่ตอนนี้ผมเฝ้ารอชีวิตในมหาวิทยาลัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นยังไง จริงสิ พวกคุณเล่าให้ผมฟังหน่อย ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นไงบ้าง ชั่วโมงเรียนเยอะไหม การบ้านมากหรือเปล่า? ต้องอ่านหนังสือจนดึกดื่นไหม?” เขาเคยสอบเอนทรานซ์ ทุ่มเทอ่านหนังสืออย่างหนัก ลำบากมาก
ต่อมาพอหวนนึกถึง ในความทรงจำมีทั้งเปรี้ยวหวานและขมขื่นรวมทั้งความสะเทือนใจ กลัวว่าหลังจากการสอบเอนทรานซ์แล้ว คงมีความมุมานะแบบนั้นอีกยากแล้ว แน่ละ ยกเว้นเวลาที่เจองานที่ต้องใช้สมองขบคิด
“อยากรู้งั้นหรือ รอนายไปก็จะรู้เอง เรียนหนึ่งปีก็จะรู้เอง” หูปิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ใครใช้ให้แกพูดล้อเล่นฉัน ถึงตอนนั้นถึงแกอยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก
เสี่ยวเฟิงกะพริบตา “เรื่องนี้ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว โอกาสไม่ใช่จะหาได้ง่าย” ถ้าไม่ใช่เพราะพบอีลั่วเสวี่ย โอกาสแบบนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ย่อมไม่ทำให้เธอผิดหวัง
ถึงตอนนี้มีเสียงเคาะประตู เป็นเลขา เด็กสาวที่สวยและท่าทางจริงจัง “ท่านประธานคะ ทุกคนฝากมาแจ้งท่านว่าพวกเขาเคลียร์งานเสร็จแล้วค่ะ”
เดิมทำงานช่วงบ่ายสักพักก็เสร็จ ทุกคนตั้งใจจะใช้เวลาสุดสัปดาห์เร่งงานให้เสร็จ จากนั้นก็จะผ่อนคลาย ขณะนี้มีแรงกระตุ้น ย่อมทำได้เสร็จเร็วขึ้น
“ดี งั้นไปกัน ตามมา” อีลั่วเสวี่ยหยิบกระเป๋า ปิดคอมพิวเตอร์ แล้วเดินไปที่ประตู หลังจากล็อคห้องแล้วก็เห็นทุกคนในห้องทำงานจัดการงานเสร็จแล้ว
“จะไปกินอาหารกันที่ไหน ให้พวกคุณตัดสินใจ”
“ท่านประธานคะ ฉันรู้ว่าแถวนี้มีร้านอาหารร้านหนึ่งอาหารอร่อยมาก ราคาก็สมเหตุผล เราไปร้านนั้นเถอะ สภาพแวดล้อมดีเยี่ยม เราเดินกันไปได้ ไม่ต้องยุ่งเรื่องหาที่จอดรถค่ะ”
พอกินเสร็จ ก็กลับมาบริษัทเอารถขับกลับบ้านได้ สะดวกสองต่อเลย ยังช่วยลดความยุ่งยากให้เถ้าแก่ด้วย เป็นเรื่องที่น่าพอใจ
“งั้นยังไม่รีบเดินนำไปอีกหรือ” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม ไม่มีท่าทางแบบเถ้าแก่หลงเหลืออยู่ เหมือนเจ๊ใหญ่ที่ใกล้ชิดได้ง่าย เริ่มพูดเล่นกับทุกคนแล้ว
เรื่องงานต้องคำไหนคำนั้น แต่เรื่องส่วนตัวต้องสนิทสนมกับพนักงาน ทำเช่นนี้แล้วทุกคนจะมีความรู้สึกร่วมและยอมรับ
จากนั้นพนักงานคนหนึ่งก็เดินนำอีลั่วเสวี่ยไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่ง เป็นเหมือนที่เธอบอก สภาพแวดล้อมดีมาก รายการอาหารก็ไม่เลวเลย
อาหารมื้อนี้ ทุกคนเลือกสั่งตามที่ตัวเองชอบ กินกันเต็มคราบ ขณะเดียวกันก็พูดคุยกันเต็มที่ ยังดื่มเหล้าด้วย อย่างไรนี่ก็เป็นการร่วมรับประทานอาหารครั้งแรกของบริษัท ยังมีคนใหม่เข้าร่วม ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย หลังกินอาหารเสร็จ เสี่ยวเฟิงเสนอให้ทุกคนไปร้องเพลง ในเมื่อสนุกกันแล้วก็สนุกให้เต็มที่ จนฟ้ามืดลงแล้วทุกคนจึงออกจากห้องคาราโอเกะ
เพิ่งเดินกันมา ก็ได้ยินเสียงคนร้องด่าดังแว่วมาแต่ไกล
“แกก็แค่ตาแก่จนๆ มาเฉี่ยวรถฉัน มีปัญญาชดใช้ไหม ไม่รู้จักมองทาง มองไม่เห็นหรือว่านี่รถใหม่ ว่าไง จะตกลงกันเองหรือจะให้ฟ้องร้อง!” ชายวัยกลางคนแต่งตัวดีกำลังชี้หน้าต่อว่าลุงคนหนึ่งที่ดูสูงวัยแล้ว
อีลั่วเสวี่ยซึ่งเดิมจะผละไป เหลือบมองเห็นชายแก่คนนั้น จึงโบกมือให้ไป๋อิ๋นกับพวก “พวกคุณกลับกันก่อนเถอะ ฉันมีธุระเล็กน้อย ทุกคนระวังความปลอดภัยด้วย พนักงานชายส่งพนักงานหญิงกลับบ้านด้วย อย่าลืมนะ”
“งั้นค่อยพบกันใหม่ครับท่านประธาน” ไป๋อิ๋นไม่ได้คิดอะไร โบกมือลาอีลั่วเสวี่ย กลับไปบริษัท พวกเขาอยู่ที่ถนนสายหนึ่งในเขตที่ผู้คนจอแจของเมือง มีร้านค้าต่างๆ ให้บริการอย่างครบถ้วน
ตอนที่ 313 อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น
“หัวหน้า ดูอะไรอยู่ เรายังไม่ไปหรือครับ?” หูปิงแปลกใจ รถของพวกเขาจอดอยู่ที่บริษัท หรือจะเรียกแท็กซี่กลับ?
อาหม่านตาแหลมกว่า เขามองตามสายตาอีลั่วเสวี่ยไป กลอกตาแล้วพูด “หัวหน้า รู้จักสองคนนั้นหรือครับ?”
อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า ยกมุมปากขึ้น “ไม่ใช่แค่รู้จัก ยังเคยได้รับความเอื้อเฟือจากเขาด้วย”
เอื้อเฟื้อ ถึงกับมีคนให้ความเอื้อเฟื้อต่อหัวหน้าพวกเขา คงไม่ใช่ชายวัยกลางคนที่กำลังหาเรื่องกับชายแก่คนนั้นหรอกนะ หูปิงกับพวกต่างสงสัย แล้วเดินตามอีลั่วเสวี่ยไป ไม่พูดอะไร
“พูดสิ เป็นใบ้หรือไง บอกมา แกจะจ่ายค่าเสียหายยังไง ทำให้ฉันเสียเวลา แกรู้ไหมว่าฉันเสียเงินไปมากแค่ไหน!” ชายวัยกลางคนต่อว่าชายแก่เสียงดัง
ใบหน้าลุงคนนั้นมีหนวดเครา สีหน้าซูบเซียว รถตู้เล็กข้างหลังแกมีฝุ่นเกาะเต็ม แกคงขับผ่านถนนดินโคลนในชนบทมา เหมือนอาบน้ำโคลนให้รถ
อีลั่วเสวี่ยชำเลืองมองในรถ ของในนั้นใส่ถุงไว้ แต่ยังมองเห็นลางๆ ว่าเป็นมันฝรั่งและผัก ดูแล้วสดมาก คนที่บรรจุมีความตั้งใจมาก
“ไม่ใช่ความผิดฉัน ทำไมฉันต้องจ่ายค่าเสียหายด้วย เป็นคุณที่ขับรถเร็วเองจนมาเฉี่ยวชน การรักษาระยะห่างระหว่างรถ เป็นเรื่องที่คนขับรถทุกคนควรรู้ดี คอยสังเกตดูว่ารถข้างหน้าจะชะลอจอดหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องย้ำ”
ชายวัยกลางคนได้ฟังก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ “ไม่ยอมรับใช่ไหม พวกคุณว่า ใช่ไม่ใช่เพราะแกจอดรถกะทันหัน ทำให้รถผมเชี่ยวชนจนเป็นรอย ผมเพิ่งซื้อรถมาใหม่ๆ”
“คุณพี่ขา แกคงไม่ยอมรับแน่ เราไปฟ้องคดีเถอะ” ข้างๆ ชายวัยกลางคนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยแต่หน้าตาดูแก่ แต่งหน้าเหมือนผี ท่าทางร้ายกาจ มองลุงคนนั้นด้วยสายตาดูถูก
พอหล่อนพูดเช่นนี้ ลุงคนนั้นก็ขมวดคิ้วทันที พึมพำว่า “ฟ้องคดี” แกมีเงินไม่มากพอที่จะเป็นคดีความ ดูแล้วคนพวกนี้ย่อมมีวิธีการ ถึงตอนนั้นตัวแกย่อมตกเป็นฝ่ายแพ้คดี หรือต้องยอมแบกรับเรื่องที่ตนเองไม่ได้ทำหรือ
ขณะที่ชายแก่กำลังจะพูดก็มีเสียงที่คุ้นหูดังขึ้น
“ลุงคะ บังเอิญจริงๆ เกิดเรื่องอะไรหรือ ต้องการให้ฉันช่วยไหม?” อีลั่วเสวี่ยยิ้ม มองดูชายแก่ แกก็คือเจ้าของบ้านไร่ที่อีลั่วเสวี่ยพบตอนไปเที่ยวสวนป่า
ก็คือคนเลี้ยงผึ้งที่มอบน้ำผึ้งให้เธอนั่นเอง
“แม่หนูนั่นเอง ฉันไม่เป็นไรหรอก เจอเรื่องเดือดร้อนนิดหน่อย” ชายแก่ยิ้มอย่างมีเมตตา แล้วหันไปมองชายวัยกลางคน
“ถ้าฉันจอดรถกะทันหันจริง รอยเฉี่ยวนี่ต้องเสียค่าซ่อมเท่าไร คุณบอกมา”
ผู้หญิงท่าทางร้ายคนนั้นยิ้มทันที เธอเดินเข้ามาใกล้สามี ใช้รองเท้าส้นสูงเขี่ยขากางเกงเขาเบาๆ “พี่ขา รถเราเป็นรถใหม่ ค่าซ่อมแพง ยังไงก็ต้องแปดพันหรือหมื่นขึ้นไป เพราะสีรถก็เป็นของนำเข้า…”
“เจ็ดแปดพัน เป็นไปได้ยังไง!” ชายแกผงะ ตอนนี้แกจึงรู้ว่าสองคนนี้เหมือนสิงโตคอยอ้าปากกว้าง ตั้งใจจะงับเหยื่ออย่างแก แกหน้าเสียทันที
“ไม่งั้นก็ไปเจอกันที่ศาล ฟ้องคดี ฉันเอาเรื่องแน่”
“ตาแก่ ยังไงดูแล้วลุงก็เป็นคนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ คงหาเงินเจ็ดแปดพันไม่ได้ เอาอย่างนี้เถอะ ฉันว่าลุงเองก็คงลำบาก งั้นลดให้สองพัน จ่ายมาหกพัน”
อีลั่วเสวี่ยยิ้มทันที ยิ้มอย่างเย็นชามาก “นี่ เห็นชัดๆ ว่าคุณเป็นฝ่ายผิด ยังคิดจะโทษคนอื่น ระวังเถอะ ฉันจะฟ้องว่าคุณหลอกลวง”
พอได้ยินในกลุ่มคนที่มุงดูอยู่มีคนช่วยพูดแทนชายแก่ ทุกคนต่างหันมามองอีลั่วเสวี่ย รวมทั้งชายคนนั้นกับเมีย
“แม่หนู ไปอ่านหนังสือซะ อย่ายุ่งเรื่องคนอื่น!”