ตอนที่ 380 ทำไมถึงรังเกียจผม
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันไม่แคร์สักนิด” ใช่แล้ว พูดตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ ก่อนหน้านี้ที่หนานหลิวเฟิงคอยตอแยเธอนั้น ก็แค่คนที่คิดว่าตัวเองไม่ชอบกินลูกกวาด ต่อมาพอกินไม่ได้ก็รู้สึกเสียดายเท่านั้นเอง
มุมปากหนานหลิวเฟิงกระตุก เธอไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเขาแม้แต่น้อย ไม่แคร์ นั่นก็คือไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอไม่ได้ใส่ใจเลยหรือ?
“ข้าวของมากมายอย่างนี้ รถเธอล่ะ ผมช่วยคุณหิ้วไปที่รถเถอะ” หนานหลิวเฟิงพูดพลางจะยื่นมือออกไป ต้องการช่วยอีลั่วเสวี่ยถือของในมือ
อีลั่วเสวี่ยถอยหลังหนึ่งก้าว สั่นศีรษะ “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้ขับรถมา เดี๋ยวเรียกรถกลับเองได้” พูดจบก็เบี่ยงตัวหลบหนานหลิวเฟิงจะเดินผละไป
บังเอิญถือถุงหลายใบเกินไป ซ้อนกันแน่น มีใบหนึ่งขาดออก รองเท้าร่วงลงมาจากถุง
“ผมจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกลำบากใจ อีลั่วเสวี่ย ลืมเรื่องที่ไม่ดีเมื่อก่อนได้ไหม ผมไม่คาดหวังว่าตัวผมในใจคุณจะดีเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็อย่ามองผมเหมือนศัตรูเถอะ จะอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบัน”
อีลั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปาก จ้องมองรองเท้าส้นสูงในมือหนานหลิวเฟิง แล้วเบนสายตาขึ้นข้างบน “ฉันพูดแล้ว เรื่องไม่ดีในอดีต ฉันไม่จำใส่ใจ ฉันไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้น”
“งั้นคุณรับปากแล้วใช่ไหม?” หนานหลิวเฟิงรู้สึกดีใจ ขอเพียงไม่รังเกียจเขา ทุกอย่างสามารถชดเชยได้
“อืม” อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า แม้การกระทำก่อนหน้านี้ของหนานหลิวเฟิงจะทำให้รู้สึกว่าเหมือนวัวหายล้อมคอก แต่ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการทำร้ายเธอ แก้ความขัดแย้งระหว่างกันไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
หนานหลิวเฟิงเผยรอยยิ้มที่หล่อเหลาออกมา คนที่รูปหล่ออย่างเขาทำให้สาวๆ ที่เดินผ่านยังต้องเหลียวมอง แต่เขาไม่ได่ใส่ใจ
“งั้นก็ตกลงกันตามนี้ จากนี้ไปเราเริ่มจาก…เพื่อนนักศึกษา ทำความรู้จักกันใหม่”
“ก็ได้”
“รถผมจอดอยู่ใกล้ๆ ผมจะส่งคุณกลับ ให้ผมช่วยหิ้วของ” หนานหลิวเฟิงยื่นมือออกมาอีกครั้ง
คราวนี้อีลั่วเสวี่ยไม่ปฏิเสธ บังเอิญเธอหิ้วของมากมายอยางนี้ไม่สะดวก เดิมคิดว่าออกมาจะเรียกแท็กซี่ ในเมื่อหนานหลิวเฟิงพูดเช่นนี้แล้ว ถ้าเธอยังปฏิเสธก็ออกจะเย่อหยิ่งเกินไป
เขาเป็นเพื่อนของหลานเย่หมิง ต่อไปยังต้องเจอหน้ากัน ถ้าเกิดบาดหมางกัน ย่อมไม่ดี ยังทำให้เธอดูเหมือนเป็นคนใจแคบ
“งั้นต้องขอบใจคุณแล้ว” อีลั่วเสวี่ยไม่ได้บอกปัด แล้วยื่นของส่วนหนึ่งให้หนานหลิวเฟิง เธอหิ้วเองส่วนหนึ่ง แล้วรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงเอาของเก็บไว้ในแหวนแห่งมิติ ไม่ต้องเดือดร้อน แต่น่าเสียดายที่แถวนี้เต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด ไม่เช่นนั้นเธอคงหาที่ที่จะเก็บข้าวของทั้งหมด
ดูแล้วในโลกนี้การที่ตนต้องซ่อนความสามารถไว้ทำให้รู้สึกรำคาญ
“ลั่วเสวี่ย ผมเรียกคุณว่าลั่วเสวี่ยได้ไหม?” หนานหลิวเฟิงชำเลืองตา มองดูอีลั่วเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร แสงไปส่องลงบนใบหน้าเธอ เป็นใบหน้าที่งดงามจนใครเห็นก็ไม่อยากละสายตาไป
ในใจหนานหลิวเฟิงรู้สึกเสียดาย เขานึกเสียใจที่ตอนนั้นมองไม่เห็นว่าเธอคือเพชรในตมแต่เนิ่นๆ ปล่อยให้คนอย่างเฉวียนหมิงคว้าเธอไป
อีลั่วเสวี่ยเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แล้วพูดช้าๆ “ก็แล้วแต่คุณ” ชื่อเป็นการเรียกขานเท่านั้น ไม่สำคัญอะไร
“ลั่วเสวี่ย บอกหน่อยได้ไหมว่าทำไมคุณถึงรังเกียจผม ก่อนนี้…ก่อนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้” หนานหลิวเฟิงตัดสินใจแล้วว่าต้องพูดปัญหาที่ค้างคาใจออกมา
หลังจากได้รับคำตอบจากเธอ เขาจะได้คอยเลี่ยง ต่อหน้าเธอจะได้ไม่ทำเรื่องที่จะทำให้เธอไม่พอใจ ทำอย่างนี้จะช่วยให้เธอค่อยๆ รู้สึกดีต่อตนเอง
ตอนที่ 381 ลองเป็นเพื่อนกันไม่ดีหรือ
อีลั่วเสวี่ยหรี่ตา “เรื่อง…เรื่องก่อนหน้านี้ผ่านไปแล้ว จะไปเอ่ยถึงทำไม?” คนเราควรมองไปข้างหน้าไม่ใช่หรือ ถ้ามัวจมปลักอยู่กับอดีตจะมีประโยชน์อะไร
แต่ดูเหมือนถ้าหนานหลิวเฟิงไม่ถามก็คงไม่ยอมเลิกรา
“ผมอยากรู้” เขาเห็นแววตาเธอเปี่ยมด้วยความจริงใจ
อีลัวเสวี่ยชะงักเล็กน้อย แล้วหยุดเดิน “คุณอยากรู้หรือ? แม้ว่าความจริงโหดร้ายมากหรือ”
หนานหลิวเฟิงรู้สึกอึดอัด คิดในใจว่าต่อให้เป็นการแหนบแนมที่สุดทนเขาก็รับได้ “ใช่ คุณพูดมาเถอะ”
อีลั่วเสวี่ยยกมุมปากขึ้น “ไม่ต้องเครียดหรอก ฉันไม่พูดอะไรเหลวไหล จะพูดอย่างไรดีล่ะ เด็กสาวมากน้อยก็ต้องมีความปรารถนาที่งดงามในใจ แต่นั่นก็เป็นแค่คิดไปเอง ต่อมาจึงพบว่าไม่ใช่เป็นอย่างนั้น
ส่วนคุณ หลังจากที่รู้จักคุณ ฉันจึงพบว่าที่ฉันเห็นเป็นแค่เปลือกนอกของคุณ ทั้งยังแน่ใจว่าความสุขเล็กๆ เมื่อก่อนเป็นเพียงความทรงจำหนึ่งในช่วงวัยรุ่น เข้าใจหรือยัง?”
ดังนั้นจึงบอกว่าระหว่างพวกเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มีเพลงหนึ่งชื่อที่แท้ความรักหมดอายุได้ไม่ใช่หรือ ถ้าไม่ดูแลความรักให้ดีก็อาจหมดอายุได้ ยิ่งกว่านั้นระหว่างพวกเขาไม่ใช่ความรัก
พออีลัวเสวี่ยพูดจบ หนานหลิวเฟิงจึงยิ้มอย่างขมขื่น “งั้นก็หมายความว่าต่อมาที่ผมทำอะไรมากมายเพื่อแก้ไข ทำให้คุณรำคาญใช่ไหม?”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ ที่ทำอย่างนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณแพ้ไม่เป็น หนานหลิวเฟิง คุณไม่ควรเป็นอย่างนี้” แสงตะวันที่เธอเชื่อมั่นในสายตาเธอเมื่อก่อนนี้ ไม่ใช่คนที่คอยกวนใจคนอื่นไม่เลิก
เธอไม่รู้ว่าเมื่อคนคนหนึ่งหัวใจหวั่นไหวแล้ว เขาสามารถทำเรื่องที่ไม่กล้าทำหรือไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเขาทำในสิ่งที่คล้อยตามใจตัวเอง
“เฮ้อ คิดไม่ถึงว่าที่ผมทำก่อนหน้านี้ จะทำให้คุณดูแคลน” หนานหลิวเฟิงทุกข์ทรมานและว้าวุ่นใจ ผู้หญิงที่ตนชอบพูดถึงด้านลบของเขาอย่างไม่ปรานี
ความรู้สึกนี้ซับซ้อนมาก แต่กลับแอบดีใจเล็กๆ นี่แสดงว่าตนเองก็มีสถานะเช่นกัน ไม่งั้นเธอจะมองออกได้อย่างไร
“ที่ดูแคลนแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนอื่น หนานหลิวเฟิง เราเป็นเพื่อนกันดีไหม จำเป็นต้องบาดหมางกันหรือ? หรือคิดว่าเป็นศัตรูกับฉันดีกว่า?”
หนานหลิวเฟิงตอบโดยไม่ต้องคิด “แนน่นอนว่าไม่ใช่ อย่างนี้…ก็ดีเหมือนกัน” ให้เขาปฏิเสธหรือ เลือกระหว่างการเป็นศัตรูกับเพื่อน แน่นอนว่าเขาต้องเลือกอย่างหลัง
“งั้นก็ดีแล้ว” อีลัวเสวี่ยเม้มริมฝีปาก เผยให้เห็นรอยยิ้ม แล้วเดินต่อไปข้างหน้า
หนานหลิวเฟิงมองเงาหลังของเธอ รีบเดินตามไป มาเดินอยู่ข้างเธอ เขาสังเกตได้ชัดเจนว่าอีลัวเสวี่ยไม่แสดงอาการต่อต้านตนเองออกมา
แสดงว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ใจกว้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่แน่ว่าจะคุยกันดีๆ แบบนี้ได้
“ปู่ครับ ดึกแล้ว เราควรกลับได้แล้ว” เฉวียนหมิงมองดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง แล้วมองดูนอกหน้าต่าง โคมไฟตามถนนสว่างจ้าแล้ว ในดวงตาฉายแววว่าหมดความอดทนแล้ว
ฟางจื่อชิวเหลือบมองปู่เธอ ทั้งสองยิ้มแล้วลุกขึ้น “ก็จริง อุตส่าห์เป็นวันสุดสัปดาห์ ควรจะพักผ่อน ไปด้วยกันเถอะค่ะ”
จากนั้นทั้งสี่ก็ออกจากห้อง ก่อนหน้านี้ฟางจื่อชิวจ่ายค่าอาหารแล้ว ทั้งหมดจึงเดินตรงไปนอกร้าน
เธอมองดูเฉวียนหมิงที่เอาสองมือสอดในกระเป๋ากางเกง เงาร่างที่สง่างามรวมทั้งสองขายาวที่เดินเหมือนคนปกติ ขาที่เรียวยาวประสานกับเงาร่างนั้น ช่างดูมีเสน่ห์
ดวงตาฟางจื่อชิวทอประกาย รีบเดินไปคล้องแขนเฉวียนหมิง
“ให้ปู่สองท่านกลับไป แล้วคุณเดินเล่นเป็นเพื่อนฉันเถอะ ฉันไม่ได้เห็นค่ำคืนที่สวยงามของเมืองเอฟนานแล้ว ก่อนนี้เราติววิชากันมักกลับค่ำ ได้เห็น”