ในกล่องพัสดุนั่นมีโทรศัพท์มือถือใกล้พังวางเเอ้งเเม้งอยู่อย่างเงียบงัน
หน้าจอของโทรศัพท์เครื่องนี้แตกเกือบละเอียด แต่กู้จวินที่เคยเห็นโทรศัพท์เครื่องนี้มาก่อนหน้าก็สามารถรับรู้ได้ว่านี่คือโทรศัพท์ของหลี่เยี่ยรุ่นในตอนนั้นเเน่นอน
เขากดปุ่มเปิด / ปิดค้างไว้ด้วยความสงสัยที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ทว่า! ต่อให้เขากดจนปุ่มเเทบจะบุ๋มกลับไปข้างในเเต่โทรศัพท์ก็ยังปฏิเสธที่จะตอบสนองอยู่ดี มันคล้ายกับว่าโทรศัพท์นั่นพังไปเเล้ว นี่คงจะยังไม่ได้ซ่อมแซมเลยนับตั้งเเต่วันที่พัง เเถมเเบตก็น่าจะหมด…..
เเล้วใครกันที่ส่งสิ่งนี้มาให้ฉัน และส่งมาทำไม?
มีจุดประสงค์อะไรกันเเน่!?
“ ถ้าสิ่งนี้ถูกส่งโดยหลี่เยี่ยรุ่ยจริง เเสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างกับคนพวกนั้นเเน่ๆ” กู้จวินคิดอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะจู่ๆ ก็ส่งมาเเบบที่ยังพังๆ เเละไม่ได้ซ่อม ถ้าไม่รีบมาก หรือฉุกเฉินจริงๆ พวกเขาจะส่งเพื่ออะไร ดังนั้นความคิดนี้ของเขาจึงค่อนข้างมีเหตุผลอยู่มาก
“เป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนเเย่งชิงโทรศัพท์นี้ เเละพวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องเเละถือครองกันเองได้ไหว…เลยจำใจต้องส่งมาให้เเก่เขาดูเเลไปก่อน อืม เเบบนี้อาจจะเป็นไปได้” กู้จวินมองโทรศัพท์พังๆเเละตั้งข้อสังเกตเเบบเงียบๆ เขาจ้องโทรศัพท์พังๆนั่นจนเเทบจะทะลุไปยันฝาหลังเเล้ว
เเต่เหตุผลพวกนี้มันก็ค่อนข้างอ่อนเกินไป!
อย่างเเรก! พวกเขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายที่ต้องการเเย่งชิงโทรศัพท์ได้รับโทรศัพท์เด็ดขาด
อย่างที่สองก็คือ พวกเขาไม่สามารถส่งโทรศัพท์มือถือให้คนรู้จักได้
อย่างที่สามก็คือ อาจจะเป็นเพราะคนรู้จักของพวกเขาไม่สามารถเก็บโทรศัพท์มือถือไว้กับตัวหรือไม่ก็มีความลับอะไรบางอย่างที่บอกคนรู้จักไม่ได้
อย่างที่สี่ก็คือ บางทีพวกเขาอาจจะเจอกับการปล้นข้ามฟ้าที่น่ากลัวจากวายร้ายก้องโลก!
เหตุผลพวกนี้คิดยังไงกู้จวินก็รู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาถอนหายใจในขณะที่ลูบคลำโทรศัพท์ไปด้วยอย่างเคร่งเครียด
ถึงเเม้กู้จวินจะผ่านอะไรต่อมิอะไรกับคนพวกนั้นมาระยะเวลาหนึ่ง เเต่มันก็เเค่ช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นเเล้วกู้จวินจัดเป็นคนที่พวกเขาแทบจะไม่รู้จักและเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
“พวกเขาส่งโทรศัพท์มือถือให้ฉันด้วยความรีบร้อน! เป็นเช่นนั้นจริงหรือ!?” กู้จวินได้เเต่คิดในใจเเละบ่นออกมาไม่กี่คำ ทำให้เพื่อนของเขาอย่างไช่ฉีซวนไม่ล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเเม้เพียงนิด
กู้จวินศึกษาโทรศัพท์มือถือในมือของเขาและเงียบสนิทไปชั่วขณะ ในใจชายหนุ่มก็ครุ่นคิดอย่างหนัก…..ฉันควรทำอย่างไรกันเเน่?
กู้จวินไม่รู้เบื้องหลังของกลุ่มหลี่เยี่ยรุ่ย เเละไม่รู้เหตุผลว่าเขาจะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร หรือในโทรศัพท์มีความลับอะไรบางอย่างที่อาจจะทำให้ผู้ที่ถือครองตายหรือเดือดร้อนได้…ไม่ว่าสิ่งเขาคิดนี้มันจะจริงหรือไม่!? เเต่อย่างน้อยมันจะต้องนำมาซึ่งปัญหาไม่รู้จบเเน่นอน เเล้วถ้าเกิดคนที่อยากได้โทรศัพท์มาทวงกับเขาล่ะ!? นั่นเเปลว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตรายไม่รู้จบใช่ไหม? กู้จวินนึกถึงชายผู้เย็นชาและดูท่าทางน่าลึกลับในทันที เรื่องนี้มันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่?
เเต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชายคนนี้ กู้จวินเองก็ไม่รู้จะจัดการยังไง อีกอย่างเขาไม่รู้เเน่ชัดว่าชายคนนี้ที่จริงเเล้วติดตามเขาใช่หรือไม่? เเต่เมื่อมันจัดการอะไรไม่ได้ ข้อมูลก็ไม่มีสักอย่างเขาก็ได้เเต่เก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน
กู้จวินไม่สามารถสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของหลี่เยี่ยรุ่ยได้อย่างเปิดเผยเกินไป โทรศัพท์มือถือเครื่องนี้…เขาไม่สามารถไปหาใครมาซ่อมได้อีก…เขากลัวความลับนี้จะหลุดรอดไปยังใครสักคนเเล้วเขาอาจจะถูกฆ่า! ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้กำลังครอบงำกู้จวินอย่างเหนียวเเน่น
กู้จวินแยกแยะความคิดในหัวของเขาอย่างเร่งด่วนที่สุด ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือพยายามแก้ไขปัญหาเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน เเต่เมื่อพิจารณาดูดีๆ เขาก็พบว่าเขาไม่มีความรู้ในเรื่องแบบนี้เลยสักนิด! เขาเป็นหมอ ไม่ใช่นักสืบหรือช่างซ่อม!
“ ซุปพร้อมแล้ว! น่าอร่อยมาก นายรีบมากินเถอะ!” ไช่ฉีซวนที่ทำซุปหมูเเบบดัดเเปลงเสร็จก็ตะโกนเรียกกู้จวินให้ออกไปที่ระเบียง เเละจากนั้นเขาก็นึกได้ว่ากู้จวินกำลังดูพัสดุอยู่ “เสี่ยกู้! พัสดุนั่นน่ะ ใช่พัสดุที่ส่งมาผิดรึเปล่า? มันใช่ของนายไหม?”
“อ่า! ไม่ผิดหรอก ของฉันนี่เเหละ!” กู้จวินวางโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อทันที เขาทิ้งความคิดเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือและเดินไปดื่มซุปให้สบายใจมากขึ้น
ไช่ฉีซวนถือชามซึ่งเต็มไปด้วยน้ำซุปประกอบด้วยไตหมูและตับหมูไว้ข้างในด้วย เขาแสดงรอยยิ้มที่ให้ภาพลักษณ์มารดาดีเด่นออกมาให้กู้จวินที่เหมือนบุตรตัวน้อยได้ยลรอยยิ้มอบอุ่นของเขาเเล้วมีความสุขกับอาหารที่เขาได้ลงมือทำ
“ นี่คือซุปชามใหญ่สำหรับนาย มันช่วยบำรุงสมองเเละร่างกายอย่างมาก”
เมื่อไม่นานมานี้ ในฐานะเพื่อนรักเเสนเลิฟ เขาเห็นเสี่ยกู้ที่เเอบอ่านหนังสือ เเม้เขาจะไม่ได้อวดต่อหน้า เเต่ไช่ฉีซวนก็เเอบเห็นมาเต็มสองตา ดังนั้นเขาจึงจะมอบซุปชั้นยอดให้เพื่อนของเขาบำรุงร่างกายเสียหน่อย
แม้ว่าเขาจะบอกกับบรรดาเพื่อนๆในชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครยอมเชื่อ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าเพื่อนเก่าของเขาคนนี้ดูเหมือนจะเริ่มกลับตัวเเละใช้ชีวิตใหม่…เเต่ถึงจะเเค่ชั่วคราว อย่างน้อยการแสดงของเขาในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาก็คุ้มค่ากับซุปชามนี้
“ ซุปชามนี้มันมีกลิ่นหอมมาก” กู้จวินยอมรับชามซุปมาถือและเป่าซ้ำ ๆ เพื่อให้มันเย็นลง ควันหอมฉุยจากชามซุปนั้นได้ลอยล่องไปทั่วห้อง
ไช่ฉีซวนเริ่มเสิร์ฟซุปชามเล็ก ๆ ให้ตัวเองและเริ่มเป่าลดความร้อนด้วยเช่นกัน
หลังจากน้ำซุปเย็นลงพอสมควรแล้ว ทั้งสองก็ทำตามประเพณีในหอพัก พวกเขาวางชามซุปไปในทิศทางของตึกจำลองโครงกระดูกมนุษย์ใน “ตึกเก่า” เพื่อแสดงความเคารพก่อนที่จะเริ่มกินซุปในที่สุด
กู้จวินตักซุปเข้าปากอย่างหิวกระหาย เเละตอนนี้ปากของเขาก็เต็มไปด้วยรสชาติที่หวานและหอมกรุ่น มันอุ่นในลำคอและลงไปในท้องของเขาเบา ๆ รสชาติที่ค้างอยู่ในคอนั้นทำให้เขาเเม้เเต่กลืนน้ำลงยังรู้สึกอร่อย มันราวกับว่าชีวิตในตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่มีเเต่ความสุข!
หลังจากกินน้ำซุปไปครึ่งชามอย่างรวดเร็ว กู้จวินก็หยิบตับหมูขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งแล้วเคี้ยวมันสองสามครั้ง อย่างไรก็ตามตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกำลังแทะก้อนหิน กู้จวินอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นโอดครวญด้วยความเสียดาย
“ นี่มันไม่เคี้ยวยากเกินไปหรือ? ฉันคิดว่าหมูตัวนี้น่าจะเป็นโรคตับแข็งล่ะมั้ง? ดูสิ ฟันฉันเเทบเเตกเเน่ะ”
“หา? นายว่าไงนะ จริงเหรอ ตับหมูเนี่ยนะ?” ไช่ฉีซวนได้ยินคำพูดของกู้จวินที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อ เขาก็ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อถือเเละลองชิมดูชิ้นหนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบถ่มน้ำลายออกมา เเล้วขึ้นเสียงด้วยความโกรธเคืองหมูตัวนั้นเล็กน้อย
“ น่าจะใช่! ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันอายุสั้นเเบบนี้”
หลังจากที่ทั้งสองคนร่วมกันสวาปามน้ำซุปจนอิ่มหนำสำราญเสร็จสิ้นอย่างสวยงาม ไช่ฉีซวนก็ใส่ซุปที่เหลือลงในกระติกน้ำร้อน เขาตั้งใจจะนำมันไปที่อาคารห้องปฏิบัติการเพื่อให้หวังรั่วเซียงและคนอื่น ๆ ได้เพลิดเพลินกับรสชาติเเสนอร่อยนี้
หลังจากที่ไช่ฉีซวนเดินออกไป กู้จวินก็ปิดประตูห้องนอนทันทีและตรงปรี่ไปล็อคประตูระเบียงเช่นกัน เขาปิดม่านเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีวายร้ายที่ไหนเเอบมาจ้องมองเขา…เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อความปลอดภัยระดับสูงเขายังไปมองที่รอบห้องเพื่อดูว่ามีกล้องหรืออะไรติดอยู่เเถวนี้ไหม? เมื่อเห็นว่าไม่มี เขาก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ