ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก – ตอนที่ 142

ตอนที่ 142

ตอนที่ 142 ลมพายุ

พวกเขาทุกคนรู้ว่ากู้จวินนั้นเป็นบุคคลที่มีค่าจิตวิญญาณที่สูงส่ง! ทั้งในการกระทําและที่ระบุในเอกสาร..

รู้ไหมอะไรคือคุณลักษณะของคนที่มีค่าจิตวิญญาณที่สูงส่ง…คนที่มีค่าจิตวิญญาณที่สูงส่งนั้นดูผิวเผินเหมือนจะดี แต่ความจริงแล้วมันมีผลกระทบค่อนข้างมาก

คนพวกนี้มักแยกความจริงกับเรื่องราวแห่งความฝันไม่ออก และมักจะเอาเรื่องที่เพ้อฝันกลายมาเป็นเรื่องจริงอยู่เสมอ

พูดง่ายๆคือพวกเขามีพลังการจินตนาการที่ล้ํายุค และจินตนาการของพวกเขาโดยมากแล้วมักไม่อาจจะส่งไปถึงผู้คนรอบข้างได้

ดังนั้นคนที่มีค่าจิตวิญญาณสูงส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกศิลปิน และผู้สร้างสรรค์ผลงานการบันเทิงต่างๆ พวกเขามักจะทําอะไรที่แหวกแนวและเหนือความคาดหมายของผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขาชอบละเมอเพ้อภพทั้งวัน และชอบพูดถึงเรื่องแปลกๆอยู่บ่อยๆ บ้างก็ว่าคนที่มีค่า S ต่ํามักจะมีคุณสมบัติแบบนี้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นการที่จู่ๆ เขาจะพูดเรื่องเพ้อเจ้อขึ้นมานั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ว่าการพูดตอนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มันใช่เรื่องล้อเล่นไหม??

สมาชิกแต่ละคนของหน่วยนักล่าอสูรเมื่อได้ยินคําพูดของเขาก็พากันเงียบ มันก็จริงอยู่ที่ผ่านมาหลังจากที่พวกเขาได้คุยกันได้เล่นหยอกล้อกันตามประสาสมาชิกรุ่นเก่าที่เอ็นดูรุ่นน้อง ความสนิทสนมของเขาก็เพียงพอที่จะให้พูดเล่น

ลู่เสี่ยวหนิงหันไปมองกู้จวินที่อยู่กลางแถวทันที จากนั้นเธอก็พูดดุกึ่งติดตลกราวกับจะสั่งสอนกู้จวิน

 หนุ่มน้อย… นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาล้อเล่นร่ายกลอนทําตัวเป็นนักกวีที่เพ้อฝันนะ 

  ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ…มีอะไรบางอย่างกําลังมาจริงๆ  ทันใดนั้นหัวใจของกู้จวินก็เริ่มเต้นระรัวเพราะเขารับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงการหายใจ และแม้กระทั่งการเต้นของหัวใจของก้อนหินรอบ ๆ ตัวเขามันเป็นความรู้สึกที่ขยะแขยงและเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดี…แม้ทุกอย่างเป็นการคาดเดาแต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง

และเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึง  พายุ  ที่กําลังเข้ามาปะทะร่างกาย สถานการณ์กําลังเลวร้ายขึ้นทุกทีแต่คนในทีมกลับไม่มีใครฟังเขา ดังนั้นกู้จวินจึงทําสีหน้าจริงจังและตะโกนด้วยน้ําเสียงโกรธเกรี้ยว  ไม่มีเวลาแล้ว พวกเราต้องเอนตัวไปด้านข้างเดี๋ยวนี้ ลมมันจะพัดมาแรงมาก! 

  ฟังอาจขึ้นซะ!  ในขณะที่เสวี่ยป้ากําลังสับสนกับสถานการณ์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เขาก็เรียนรู้และมีประสบการณ์ในเรื่องลึกลับมาเยอะ ดังนั้นคําพูดของกู้จวินแม้จะไม่ มีหลักฐานแต่มันก้อาจจะเป็นไปได้จากนั้นเขาก็รีบออกคําสั่งด้วยเสียงอันดัง หลังจากที่กู้จวินเตอนทันที   จับมือกันแล้วนั่งพิงกําแพงซะ! อาจขึ้นฮ่าวฮาววางเปลหามที่ด้านข้างแล้วเปลี่ยนมาเป็นจับปลายด้านเดียวกันซะ! 

กลุ่มนักล่าอสูรแตกฮือและรีบทําตามคําสั่งหัวหน้าทันที พวกเขาทั้งหมดย้ายไปทางด้านซ้ายของกําแพงที่กู้จวินแอบไปซ่อนตัวอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

จากนั้นพวกเขาก่อกําแพงมนุษย์ขึ้นมาขวางทางเดินหินตามหลักการไหลเวียนของลม จากนั้นกู้จวินและจางฮ่าวฮาวก็จับเปลด้วยมือทั้งสองข้างและเอามันมาขวางไว้ที่ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ความเงียบเกิดขึ้นทั้งหมดประมาณสิบวินาที หัวใจของพวกเขาทุกคนตอนนี้มันเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง และการหายใจของพวกเขาก็เริ่มหนักขึ้นทุกทีๆ คล้ายกับร่างกายกําลังจะเตือนว่ากําลังมี สิ่งที่ไม่ดีและเป็นภัยร้ายกําลังย่างกรายเข้ามาใกล้

และในเวลานั้นเองพวกเขาเริ่มนึกถึงคําพูดของกู้จวินที่เคยพูดไว้ว่า  ผมได้ยินเสียงลม!  เพ ราะตอนนี้ดูเหมือนว่า  ลม  ที่ว่ากําลังจะมาแล้ว สมาชิกทุกคนของหน่วยล่าอสูรรู้สึกได้ถึงลม …. ที่มาจากด้านล่างของอุโมงค์

จากนั้นมันยิ่งกว่าหนังแฟนตาซีที่ทุกคนเคยดูในชีวิต ลมจากรอบทิศทางด้านล่างของอุโมงค์ก็มารวมตัว จากนั้นมันกลายเป็นพายุในทันที เสียงของพายุที่กําลังก่อตัวดังขึ้นเสียงของมันช่างคล้ายคลึงกับเสียงสัตว์ที่กําลังโหยหวนขอชีวิตในช่วงสุดท้ายของลมหายใจ

เหล่าสมาชิกทุกคนของหน่วยนักล่าอสูรมีสีหน้าแตกตื่นราวกับถูกครอบงําด้วยความกลัว ทุกคนล้วนมองเห็นลมพายุที่กําลังเข้ามาใกล้ระหว่างที่พายุกําลังเคลื่อนมาทางพวกเขามันได้กวาดดินและเศษฝุ่นปลิวกระจายไปทั่ว เสียงของดินที่ถูกบดทับทําให้แก้วหูของแต่ละคนแทบจะสั่นสะท้าน และมาถึงตัวแรงของพายุก็เพิ่มขึ้นราวกับพยายามจะแกะเหล่าหน่วยนักล่าอสูรให้หลุดออกจากผนังและจะฉีกร่างของทุกคคนให้เป็นชิ้นๆ

ในขณะนั้นเองพวกเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบที่น่าขนลุกบางอย่างผสมเข้ากับเสียงของลมพายุจนทําให้สมาชิกบางคนเริ่มสติแตกและกล่าวสาปแช่งพายุชนิดที่ไม่ไว้หน้าเสียงร้องโหยหวนในพายุแม้แต่นิด

  ทุกคนเดี๋ยวก่อน!  เสี่ยป้าพยายามตะโกนผ่านสายลม เส้นเลือดในคอของเขาโก่งขึ้นจนเกือบจะแตกแต่สมาชิกทุกคนก็ราวกับได้ยินเพียงเล็กน้อย   อย่าปล่อยให้ความกลัวครอบงําไม่ต้องสนใจมันแค่เกาะไว้แน่นๆก็พอ! 

นอกจากหลินม่อที่ถูกมัดไว้กับเปลแล้ว ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเกาะพื้นและเพิกเฉยต่อเสียงที่น่าหวาดกลัวและแปลกประหลาด

ทว่าในขณะที่กําลังเกาะพื้น พวกเขาก็คล้ยกับสังเกตเห็นว่าลมพายุมีสีสันเปล่งประกายออกมาด้วย

มันเป็นสีของความมืด!

ลมเป็นส่วนสําคัญในการสร้างพายุและทําให้มันเคลื่อนที่มันอาจจะมีสีแต่ก็ไม่ควรจะมองเห็นสิอีกทั้งด้วยตาเปล่าๆ ของมนุษย์ไม่ควรมองเห็นสีของมันเช่นกัน

ดังนั้นสิ่งที่ส่องประกายอยู่ในความมืดมิดจึงไม่ใช่อากาศ แต่เป็นองค์ประกอบของวัตถุอะไรบางอย่างมากมายที่ถูกพัดพามากับสายลม

ไม่รู้เพราะความกลัวหรือเปล่าที่ทําให้ระบบความคิดของสมาชิกหน่วยนักล่าอสูรนั้นเริ่มผิดเพี้ยน พวกเขาคิดนานกว่าปกติถึง 10 วินาที จนกระทั่งพวกเขาพอนึกได้ว่ามันจะต้องเป็นอะไรบางอย่างที่ปลิวมากับสายลม และมันจะกลายเป็นอาวุธร้ายแรงเมื่อมาถูกร่างกายของพวกเขา

ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มตื่นตระหนก แม้จะไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่มันปลิวมา แต่ทุกคนก็คิดไว้แล้วต่อให้มันเป็นแค่ใบไม้แต่เมื่อมันผสมรวมกับพายุที่เกี้ยวกราดและบ้าคลั่งขนาดนั้นเมื่อมันสัมผัสร่างกายของพวกเขา เป็นไปได้ว่าเนื้อหนังมังสาของพวกเขานี่แหละที่จะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย!

ความหวาดกลัวได้เข้ากัดกินหัวใจของพวกเขาจนไม่กล้าทําอะไรอีก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามถ้ามันเข้ามาสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังของพวกเขา นั่นหมายความว่าพวกมันจะเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาโดยตรงและผลที่ได้คงบัดซบน่าดู

  ทุกคนใจเย็น หมอบไว้ ก้มต่ําๆ!  เสี่ยป้าแหกปากตะโกนอีกครั้ง แต่เสียงของเขาคราวนี้ฟังดูแผ่วเบาในสายลม ราวกับหมอกที่กําลังจะถูกพัดพาไป

ในเวลาเดียวกันอาการปวดหัวก็กลับมาหากู้จวินอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่ได้มาในรูปแบบของภาพลวงตาหรือนิมิตแต่อย่างใด

จู่ๆภาพมากมายก็ปรากฏขึ้นในสมอง…จากเดิมสมองที่ว่างเปล่าจู่ๆก็มีภาพที่ไม่รู้จักปรากฏขึ้นมาเต็มไปหมด มันเป็นภาพที่แปลกประหลาด!

ทุกคนอาจจะรู้ว่ามนุษย์เรานั้นมีความรู้สึกและมีอารมณ์เป็นของตนเอง แต่กู้จวินไม่เคยคิดมาก่อนว่าอารมณ์พวกนั้นสามารถปรากฏเป็นรูปร่างได้ด้วย

เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง แม้กระทั่งความรู้สึกของคนที่หวาดกลัวจนกระทั่งร่างกายสั่นไปทั้งตัว

เขาเคยรู้สึกถึงความรู้สึกเดียวกันนี้มาก่อนเมื่อครั้งเขาเห็นหินแหลมๆ ที่ยื่นออกมาที่ด้านล่างของทะเลสาบลองกาน….

  อ๊ากกกก…  กู้จวินตะโกนร้องด้วยความเจ็บปวด เขารู้สึกเหมือนว่าหัวของเขากําลังจะระเบิดเขาเหลือบมองไปที่กําแพงรอบ ๆ ตัวเขา และนั่นทําให้เขาได้เห็นลวดลายสีแดงเข้มคล้ายเส้นเลือดมีการไหลและขยับอย่างชัดเจน

และลายเส้นสีแดงเหล่านั้นก็จัดเรียงกันด้วยตัวเองจนกลายเป็นลวดลายต่างๆกลายเป็นภาพต่างๆ และที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ ลวดลายนี้มันช่างเหมือนกับลวดลายของชิ้นส่วนลึกลับที่ยื่นออกมาในทะเลสาบลองกาน มันเป็นลายเดียวกันเป๊ะๆ และสีแดงที่แผ่ออกจากมันมาก็คล้ายกับพลังของชีวิตแห่งท้องทะเล

จากนั้นเขาก็เห็นเงามากมายยืนอยู่ในสายลม…

พฤติกรรมผิดปกติของกู้จวินตอนนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครมากนักเพราะเขาไม่ ใช่คนเดียวตะโกนอย่างคนเสียสติยามที่พายุปรากฏ

รองหัวหน้าอย่างลู่เสี่ยวหนิงก็เช่นกัน ในตอนนี้เธอกําลังส่งเสียงคํารามราวกับสัตว์ป่าที่ถูกกับดักและกําลังจะถูกเชือดในไม่กี่วินาที

ในขณะที่เสวี่ยป้าก็ยังคงตะโกนคําสั่งของเขาออกมา…เสียงโหวกเหวกโวยวายของเหล่านักล่าอสูรดังไปทั่วบริเวณ แต่สุดท้ายก็ถูกกลบจนหมดด้วยพลังของพายุ

หลังจากตั้งสติได้พวกเขาก็ใช้กําลังและความคิดทั้งหมดในการต้านพายุและพยายามเดินไปข้างหน้า แต่ว่าสายลมก็ไม่มีวี่แววว่าจะลดลง แม้จะผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วก็ตามแต่อัตราการเติบโตของพายุก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง และท้ายที่สุดในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาลมพายุนั้นนอกจากไม่หยุดมันยังพัฒนาแรงขึ้นจนแม้กระทั่งทุกคนก็เริ่มจะเกาะไม่ไหวแล้ว

ในตอนนี้แม้แต่หัวหน้าเสวี่ยป้าที่มีร่างกายที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดก็ยังแทบจะถูกลมพัดปลิวเวลานี้ลําคอของเขาแหบแห้งจากการใช้เสียงตะโกนทั้งหมดกว่าหนึ่งชั่วโมง

ในขณะที่คนอ่อนแออย่างลุงต้าน จางฮ่าวฮาวและคนที่เหลือ พวกเขาทั้งหมดแทบจะเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย หากพวกเขายอมแพ้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพวกเขานี้ก็คงจะถูกพัดพาไป…และตายอย่างอนาถในอุโมงค์แห่งนี้แน่นอน

ความหดหูเข้ามาในหัวใจของสมาชิกทุกคน…มัดรัดหัวใจของพวกเขาแน่นราวกับเถาวัลย์ทําให้พวกเขานั้นไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยมือ ระหว่างที่พวกเขาอดทนต่อแรงพายุพวกเขาก็เริ่มเกิด ความหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านและในวินาทีนี้นี่เองที่พวกเขาได้ตระหนักต่อหน้าของสิ่งลึกลับ! มนุษย์ก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่รอวันพังทลาย พวกเขาไม่อาจจะสู้ได้กับสิ่งลี้ลับโดยสิ้นเชิง

ทว่า…ในขณะที่ทุกคนกําลังสิ้นหวังและภาวนาขอให้พายุหยุดโดยเร็ว

ทันใดนั้นเสวี่ยป้า ลุงต้านและลู่เสียวหนิงก็เห็น…กู้จวินปล่อยมือของเขาออกจากเปลหามและยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง

จากนั้นพวกเขาเฝ้าดูกู้จวินที่ยืนโซซัดโซเซด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

แม้ว่ากู้จวินจะโอนเอนตามแรงลมที่พัดมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เขาก็ไม่ล้มลงแม้แต่น้อย…ราวกับซามูไรที่แม้ลมหนาวและพายุจะมาแต่เขาก็ทนได้กับทุกสิ่ง

และจากนั้นเขาก็ค่อยๆเดินไปตรงกลางของขั้นบันไดที่เต็มไปด้วยหินขัดเรียบและมองลงไปในอุโมงค์หินเบื้องล่างอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะเริ่มพูดจาด้วยภาษาแปลก ๆ ออกมา

 

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

Status: Ongoing

เรื่องย่อ ครั้งหนึ่ง ถนนเส้นนี้เคยคึกคักครึกครื้น และเต็มไปผู้คนหัวเราะเสียงดัง ทว่าเวลาผันผ่าน..ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร บรรยากาศบนท้องถนนเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าขนลุก เสียงกระซิบที่แหบแห้งและบ้าคลั่งดังก้องอยู่เหนือท้องฟ้า มีปีศาจยักษ์ใหญ่จากโบราณอันน่ากลัวจนที่ไม่อาจอธิบายได้ แฝงตัวอยู่ในเงามืดของมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง ภัยพิบัติลึกลับได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเเละขยายตัวกระจายไปยังทั่วโลก การระบาดของโรคร้ายและความหายนะทำให้ฝูงคนทั่วโลกตื่นตระหนก ผู้คนหวาดกลัวเเละพากันอพยพหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น..มีเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาต้องการนั่นคือ ที่ซุกหัวที่อบอุ่นเเละปลอดภัยเพียงเท่านั้น หยาดฝนโลหิตไหลรินทั่วแผ่นดิน ในขณะที่มวลมหาสายฟ้าผ่าทั่วท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง เเสงสว่างของมันส่องให้เห็นฝูงกาที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน “ เราจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างผิดปกตินี้มีซี่โครงสิบสองคู่เหมือนมนุษย์ แต่ยังมี“ กระดูกขวาง” ที่มนุษย์ไม่มี…” ในโรงเรียนแพทย์ กู้จวินยังคงนำมีดผ่าตัดของเขา ผ่าลงที่ซากศพโดยแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทรวงอกที่ผิดปกติของซากศพ โดยรอบๆโต๊ะผ่าศพมีนักเรียนหลายคนมองดูอยู่ ช่วงเวลาที่เลวร้ายและการเเก่งเเย่งได้ใกล้เข้ามา! ความจริงและตรรกะที่พังทลายคำสั่งวิปริตเข้าสู่ความบ้าคลั่ง มนุษยชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังแห่งสติปัญญาและสติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท