ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก – ตอนที่ 141

ตอนที่ 141

ตอนที่ 141 หายใจ

  เอาล่ะกู้จวิน…เวลาของเธอมาถึงแล้ว เธอคิดยังไง?  เสวี่ยป้าเอ่ยถามกู้จวินที่กําลังนั่งนิ่งๆอยู่ทันทีเพราะสําหรับเขาแล้วกู้จวินในตอนนี้มีค่ามากกว่าหมอประจําทีมหรือล่ามประจํากลุ่ม

การแยกทีมหรือการไปที่อื่นแล้วกลับถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก หลังจากทํางานในฝ่ายตรวจสอบพลังงานที่ผิดปกติมาเป็นเวลาหลายปีสิ่งลี้ลับอะไรก็เห็นมานักต่อนักแล้ว

เสวี่ยป้าก็เข้าใจว่าบางครั้งบางคนก็มีพลังในการทํานาย โดยเฉพาะคนอย่างกู้จวินที่มีคะแนนค่าจิตวิญญาณสูง นอกจากนี้ชายหนุ่มยังเป็นคนสําคัญของปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วย แรงบันดาลใจและสัญชาตญาณของเขาจะมีความสําคัญอย่างยิ่ง มันจะตัดสินใจว่าตาชั่งจะเอนไปทางไหน

ทุกคนจ้องมองมาที่เขาทันทีแบบไม่ต้องนัดหมาย แน่นอนว่ากูจวินไม่ได้นั่งเปล่าๆ นอนเปลี้ยๆ อยู่เฉยๆ ตั้งหลายวันในขณะที่คนอื่นทํางานกันงกๆ เขาได้แอบสํารวจและคิดอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างแล้วเหมือนกัน ดังนั้นกู้จวินจึงพร้อมมากที่จะตอบคําถามแล้ว จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความจริงใจ

  ผมคิดว่าเราทุกคนควรเคลื่อนไหวไปเป็นทีมครับ ถ้าเราแยกทางกันล่ะก็…สมมติว่าทีม A มาถึงจุดปลายทางและเกิดกลไกที่ทําให้ทางเข้าที่นี่ล่มสลายจะเกิดอะไรขึ้น? เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นโอกาสรอดจะสูงขึ้นหากเราอยู่ด้วยกัน 

คําตอบของกู้จวินก็แปลตรงตัวว่าเขาได้ละทิ้งเหตุผลเด็กเล่นที่ว่าการแยกจากกันจะทําให้หลอกตามในหนังแล้ว…เขาหันกับมามองความจริงและคิดตามหลักการมากขึ้น

  อืม! เธอมีเหตุผลมาก เยี่ยมมากกู้จวิน  เสี่ยป้าพยักหน้ารับความคิดเห็นของกู้จวินโดยไม่ ขอความเห็นจากใครอีก เขาปรบมือและพูดเสียงดัง   โอเค! พวกเราจะก้าวผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน 

ลู่เสี่ยวหนิง ลุงต้านและคนอื่น ๆ ไม่มีความคิดเห็นเพิ่มเพราะพวกเขาเข้าใจความสําคัญของจิตวิญญาณสูงเช่นกัน การให้กู้จวินที่มีลางสังหรณ์แม่นยําเป็นคนชี้ทางน่าจะดีที่สุด

ดังนั้นเมื่อตัดสินใจได้หน่วยนักล่าอสูรจึงเก็บข้าวของของพวกเขาและเตรียมตัวสําหรับการเดินทางอันยาวนาน

ต้องบอกว่าในสองวันที่ผ่านมาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว คนทั้งกลุ่มจึงได้ถอดอุปกรณ์ป้องกันออกไปแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้ใส่กลับไป ได้แต่เอามาห้อยไว้ข้างตัวเท่านั้นพวกเขาเพียงใส่หมวกกันน็อกเพื่อประโยชน์ในการสื่อสารกับศูนย์บัญชาการณ์

และเพื่อความปลอดภัยขั้นพื้นฐานพวกเขาทั้งหมดจึงสวมเกราะชนิดเบา หากมีการสู้รบฉุกเฉินเกิดขึ้น…สิ่งนี้จะช่วยเรื่องความคล่องตัวของพวกเขาได้อย่างดี

เสวี่ยป้าและลู่เสี่ยวหนิงเป็นผู้นําทาง ส่วนกู้จวินและจางฮ่าวฮาวช่วยกันอุ้มหลินม่อขึ้นเปลส่วนลุงต้านตามมาข้างๆพวกเขา และพวกเขานั้นอยู่กลางขบวน โดยมีสมาชิกที่เหลือคนอื่นๆช่วยกันคุ้มครองจากด้านหลัง

และแล้วกลุ่มนักล่าอสูรก็ค่อยเคลื่อนตัวลงทีละขั้นบันไดลงไปในความมืด

เส้นทางที่พวกเขากําลังเดินไปอยู่ก็คือบันไดหิน… มันเก่าแก่และดูก็รู้ว่าคงจะมีอายุหลายร้อยปีทว่าของที่เก่าแก่และอยู่ใต้ดินนานเช่นนี้ สิ่งที่ควรมีกับไม่มี สิ่งที่ควร ไม่มีกลับมีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

เส้นทางบันไดหินนั้นไม่มีคนใช้มาก่อน ทว่ามันกลับถูกทําความสะอาดจนสะอาดเอี่ยมอ่องไม่ มีกระทั่งกลิ่นของความอับชื้น แม้กระทั่งเศษของฝนยังหายาก… ราวกับว่ามันได้รับการดูแลอยู่ทุกๆวัน

ความแตกต่างที่ขัดแย้งกันนี้ทําให้หน่วยนักล่าอสูรนั้นเต็มไปด้วยความมึนงง แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกัน พวกเขาได้แต่เดินหน้าและรอฟังคําสั่งของหัวหน้าแถลงไข

และแล้วหลังจากเดินไปก้าวที่หนึ่งร้อยเสวี่ยป้าก็หันมาหาเหล่าลูกทีมครั้งหนึ่ง

ตอนนี้พวกเราเดินมาได้ถึงขั้นที่หนึ่งแล้วแต่ยังไม่พบสิ่งของมีค่าอะไร ใครมีอะไรที่รู้สึกผิดแปลงหรือข้อมูลเพิ่มเติมจากเดิมไหม

ร้อยก้าวแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง! มุมอัตราส่วนและขนาดของขั้นบันไดหินทั้งหมดยังคงที่กําแพงหินรอบๆ ที่ดูเหมือนถูกแกะสลักโดยธรรมชาติมันไม่มีช่องว่างให้ติหรือมีกลไกอย่างสิ้นเชิงถ้าไม่ใช่เพราะแสงที่หายไปจากทางเข้าและพวกเขาช่วยกันนับจํานวนนขั้นบันได พวกเขาคงคิดว่าตนเองหลงทางไปแล้ว

  มันไม่น่าเชื่อ…  หลินม่อถอนหายใจอยู่บนเปล เขาเป็นสมาชิกการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของทีมเขารู้เรื่องธรณีวิทยาและสถาปัตยกรรมเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแม้ผู้ที่เป็นมือสมัครเล่นในสาขาเหล่านี้แต่เขาก็สามารถเข้าใจได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เครื่องจักรสมัยใหม่จะสร้างอุโมงค์ใต้ดินแบบนี้

ดังนั้นจึงทําให้เกิดคําถามว่า ใครหรืออะไรเป็นผู้สร้างกําแพงด้านนอกและอุโมงค์นี้ขึ้นมา?

ในขณะที่คิดพวกเขาก็วางปัญหานี้ไปก่อน ความมืดรอบๆตัวทําให้สมาชิกทุกคนเริ่มหวั่นเกรงขึ้นมาดังนั้นหัวหน้าอย่างเสวี่ยป้าเลยสั่งให้ลูกน้องบางคนเปิดไฟฉายขึ้นมาเพื่อส่องไปรอบๆ

จากนั้นไฟฉายสามดวงก็สว่างขึ้น ทําให้โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยแสง… แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แสงสว่างที่เกิดจากไฟฉายก็ไม่ได้ส่องไปทั่วทุกทิศและทะลุความมืดมิดด้านล่างอยู่ดีทุกคนมองไป ยังที่ก้นอุโมงค์ที่อยู่ห่างไกลและมีสีดํามืด แม้แต่แสงไฟจากไฟฉายก็ไม่สามารถส่งไปถึงทุกคนเริ่ มกังวลว่าบางทีสิ่งที่เขากําลังตามหาและกําลังเดินไปอยู่นี้อาจจะเป็นอุโมงค์ที่ไร้จุดสิ้นสุด

อุโมงค์ที่ไร้จุดสิ้นสุด!!

ขอความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา สมาชิกทั้งหมดในกลุ่มก็เต็มไปด้วยความเงียบเชียบ ทุกคนตกอยู่ในความตึงเครียดที่ไร้สิ้นสุด บรรยากาศเริ่มเงียบลงทุกขณะ จนแม้กระทั่งหัวหน้ายังเสวี่ยป้ายังเริ่มรู้ว่าทุกคนในทีมดูเหมือนจะเริ่มเจอปัญหาทางอารมณ์กันแล้ว เพื่อทําให้ลูกทีมอารมณ์ดีขึ้นมากกว่าเดิมเขาจึงหันมาจากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องตลก

 ลุงต้าน! ได้ข่าวว่าสมัยลุงเป็นหนุ่มๆ ลุงชอบไปเที่ยวผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ… จําได้ว่าลุงเคยโดนผู้หญิงคนหนึ่งตบซะลอยตกบันไดทําให้คอเคล็ดมาถึงทุกวันนี้จริงหรือเปล่า? ว่าแต่อาซ้อที่บ้านรู้เรื่องนี้ไหม? 

ลุงต้านที่ได้ยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที จริงๆมันไม่ใช่ความจริงหรอก ตัวเขาในวัยหนุ่มออกจะเป็นสุภาพบุรุษแต่ลุงต้ายหัวเราะเบาๆจากนั้นก็ทําสีหน้าแดงขึ้นมาทุกคนในที มก็เลยเริ่มหัวเราะและผ่อนคลายกันได้

จากนั้นเมื่อเห็นทุกคนในทีมเริ่มกลับมามีสุขภาพทางจิตดีอีกครั้งหนึ่งและไม่ทําท่าหวาดกลัวจนตัวสั่นเหมือนเมื่อครู่นี้ เสี่ยป้าก็เริ่มวางแผนต่อไป เขาเลือกที่จะอธิบายตามตรงเกี่ยวกับอุโมงค์แห่งนี้โดยไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใด

 ทุกคนไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพียงแค่อุโมงค์ธรรมดา เพียงแต่มันแค่ยาวมากกว่าปกติเฉยๆดังนั้นพวกคุณทุกคนไม่ต้องเครียด 

และด้วยอานิสงส์ของเรื่องตลกก่อนหน้านี้ ทําให้ทุกคนไม่เครียดเท่าที่ควรจะเป็นอย่างมากก็กลับสู่สภาวะที่สงบและเอาจริงเอาจังมากกว่าเดิมก็เท่านั้น

 รับทราบครับ…. คําสั่งของคุณก็คือความปรารถนาของผมเสมอ  มันไม่ใช่มุกตลกลุงก้านรู้ดี ถึงความตั้งใจและเจตนาของหัวหน้าโดยธรรมชาติเขาเองก็แก่กว่าหัวหน้าตั้งเยอะทําไมเขาถึงจะ ไม่รู้ใจของหัวหน้าล่ะและนอกจากนี้เขาก็รู้ว่าทุกคนในกลุ่มกําลังตึงเครียดและมีปัญหาด้านอารมณ์มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงรีบเล่นตลกทันที เขาก็ปรารถนาที่จะทําให้ทุกคนหัวเราะและผ่อนคลายความเครียดอีกครั้ง

จากนั้นลุงต้านยกมือขึ้นมาและก็เอามือนั้นมาเกาศีรษะที่ใกล้จะล้านของเขาอย่างงงๆและพูดด้วยน้ําเสียงติดตลก

 ฉันจะเล่าให้ฟังแล้วกันนะพวกเด็กน้อย ตอนนั้นฉันยังหนุ่มอยู่และเพิ่งมีอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น มาไม่นานรู้ไหมฉันเคยตามหาผู้หญิงในอินเตอร์เน็ตด้วย แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นเมื่อเจออีกทีฉันก็พบ ว่ามันต่างจากรูปโปรไฟล์ที่เธอตั้งไว้อย่างสิ้นเชิง… 

ในไม่ช้าทุกคนก็หัวเราะเบา ๆ อีกรอบแต่กู้จวินที่รู้ตื้นลึกแล้วก็ไม่ประโยชน์ที่จะฟังอีกต่อไปเขาแบกหน้าเปลเดินมากลางกลุ่ม และพยายามเดินให้ทันทุกคน

และจากนั้นความสนใจของเขาค่อยๆถูกดึงโดยลวดลายสีแดงเลือดบนพื้นผิวของหินรอบตัวเขา เมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่เขาสาบานได้ว่าเขาเห็นพวกมันเคลื่อนไหวและเต้นเป็นจังหวะเหมือนเส้นเลือดฝอย อีกอย่างเขารู้สึกได้ถึงพลังงานของชีวิตจากพวกมันด้วย แต่กู้จวินก็ไม่มั่นใจว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเขาเองหรือเปล่า? ดังนั้นเพื่อความแน่ใจกู้จวินจึงหันไปถามจางฮ่าวฮาวที่ถือปลายอีกด้านของเปล และเพื่อถามคําถามทําให้เปลของพวกเขาต้องหยุดชั่วคราว จากนั้นเขาก็มุ่งความสนใจไปที่รอบข้างอีกครั้งและความรู้สึกแบบนั้นก็หนักขึ้นอีกเท่าทวี

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างกําลังปะทะหน้าของเขาจนทําให้ทุกรูขุมขนของเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

  นี่มันลม…  หลังจากเขารอการปะทะจากลมมาได้พักหนึ่ง กู้จวินก็ตัดสินใจว่ามันน่าจะเป็นลมที่มาจากภายในอุโมงค์ ดังนั้นเขาจึงตะโกนแจ้งหัวหน้าทีมและคนอื่นๆให้รู้ทันทีว่าในอุ โมงค์นั้นมีลมพัดเข้ามาและเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนเปิดประตูหรือกําลังพัดมาจากด้านในอยู่

 แต่ว่า…ผมมีความเห็นอื่นอีก ผมคิดว่าพวกเรากําลังอยู่ในร่างของอะไรบางอย่าง…และร่างนี้มันก็กําลังหายใจ  เสียงของกู้จวินดังขึ้นอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ทุกคนถึงกับมองด้วยความงุนงง

ลมพัด? อยู่ในร่าง  พอได้ยินคําพูดจากกู้จวิน ทุกคนที่กําลังเดินและหัวเราะอยู่ก็หยุดกันทันทีโดยที่ไม่ต้องนัดหมาย ทุกคนพากันสัมผัสอากาศรอบๆเพื่อค้นหาลมที่กู้จวินถึง แต่ก็ช่างโชคร้ายไม่มีใครสัมผัสได้ถึงลมเลย แม้กระทั่งหลินม่อ ลุงต้านและจางฮ่าวฮ่าวผู้ที่อยู่เคียงข้างกู้จวินอย่างใกล้ชิดพวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงลมหรืออะไรผิดแปลกแม้แต่น้อย

ดังนั้นเมื่อเห็นทุกคนกําลังลังเล สมาชิกคนหนึ่งก็หยิบเครื่องสแกนอากาศที่พกมาด้วยความบังเอิญขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นเขาก็ใช้เครื่องสแกนบรรยากาศสแกนไปเรื่อยๆพักหนึ่ง จากนั้นสมาชิกคนนั้นก็ส่ายหัวให้เขา และบอกทุกคนว่าข้อมูลอากาศไม่มีการเปลี่ยนแปลง เสถียรภาพและไม่มีลมแม้แต่นิดเดียว

ซึ่งมันก็สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่ายิ่งลึกยิ่งขาดออกซิเจนแล้วมันจะมีลมได้อย่างไร แต่สําหรับเสวี่ยป้า บุคคลผู้คลุกอยู่ในวงการพลังงานลึกลับที่อธิบายไม่ได้มาหลายปี แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรแต่เขาก็พอที่จะเชื่อกู้จวินดังนั้น เขาจึงไม่มองข้ามและตัดสินใจเก็บรายละเอียดให้ได้เสียทั้งหมด

ทว่าในฐานะแพทย์ประจําทีม ลุงต้านก็เริ่มมีความกังวลอีกครั้ง เขากําลังสงสัยว่ากู้จวินเห็นภาพหลอนหรือเปล่า? ท้ายที่สุดไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจนว่าเมื่อใดที่ค่า S ของบุคคลต่ําเกินไป

  มันหายใจ  กู้จวินยังคงพยายามประมวลผลสิ่งกระตุ้นรอบตัวเขาออกมาผ่านคําพูด   อุโมงค์กําลังหายใจ เราได้ปลุกมันแล้ว 

  หม?  เสี่ยป้าถึงกับงุนงงกับคําพูดแปลกๆ

  อุโมงค์หายใจเนี่ยนะ.ล้อเล่นหรือเปล่า??  สมาชิกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แต่เมื่อนึกถึงกูจวินเขาก็เงียบกลับไปอีก

 

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก

Status: Ongoing

เรื่องย่อ ครั้งหนึ่ง ถนนเส้นนี้เคยคึกคักครึกครื้น และเต็มไปผู้คนหัวเราะเสียงดัง ทว่าเวลาผันผ่าน..ตอนนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร บรรยากาศบนท้องถนนเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าขนลุก เสียงกระซิบที่แหบแห้งและบ้าคลั่งดังก้องอยู่เหนือท้องฟ้า มีปีศาจยักษ์ใหญ่จากโบราณอันน่ากลัวจนที่ไม่อาจอธิบายได้ แฝงตัวอยู่ในเงามืดของมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง ภัยพิบัติลึกลับได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเเละขยายตัวกระจายไปยังทั่วโลก การระบาดของโรคร้ายและความหายนะทำให้ฝูงคนทั่วโลกตื่นตระหนก ผู้คนหวาดกลัวเเละพากันอพยพหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น..มีเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาต้องการนั่นคือ ที่ซุกหัวที่อบอุ่นเเละปลอดภัยเพียงเท่านั้น หยาดฝนโลหิตไหลรินทั่วแผ่นดิน ในขณะที่มวลมหาสายฟ้าผ่าทั่วท้องนภาอย่างบ้าคลั่ง เเสงสว่างของมันส่องให้เห็นฝูงกาที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่ด้านบน “ เราจะเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างผิดปกตินี้มีซี่โครงสิบสองคู่เหมือนมนุษย์ แต่ยังมี“ กระดูกขวาง” ที่มนุษย์ไม่มี…” ในโรงเรียนแพทย์ กู้จวินยังคงนำมีดผ่าตัดของเขา ผ่าลงที่ซากศพโดยแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างทรวงอกที่ผิดปกติของซากศพ โดยรอบๆโต๊ะผ่าศพมีนักเรียนหลายคนมองดูอยู่ ช่วงเวลาที่เลวร้ายและการเเก่งเเย่งได้ใกล้เข้ามา! ความจริงและตรรกะที่พังทลายคำสั่งวิปริตเข้าสู่ความบ้าคลั่ง มนุษยชาติสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังแห่งสติปัญญาและสติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท