ตอนที่ 579 เยาะเย้ยฉิงเฟิง
แปล Tarhai
ด้วยความบังเอิญ ขณะที่ฉิงเฟิงกำลังจะเดินเข้าไปในตัวอาคารทะเลตะวันออก เขาก็ได้พบกับนายน้อยของบริษัทจางและตระกูลจาง, จางเทียนชี่
“อ้าว ! พี่ใหญ่หลี่ คุณก็มาร่วมงานประชุมธุรกิจที่นี่ด้วยเหรอครับ ?”
จางเทียนชี่กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างขณะที่วิ่งเข้าไปหาฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงชี้ไปที่หลินเสวี่ยและกล่าวว่า “ฉันแค่มาเป็นเพื่อนภรรยาน่ะ”
“สวัสดีครับพี่สะใภ้” จางเทียนชี่เป็นคนฉลาดพูด คำพูดของเขาทำให้หลินเสวี่ยพอใจ
“เอ๋ นั่นมิสหลินใช่ไหม ? แหม วันนี้สวยจังเลยนะคะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงอันเย้ายวนใจดังขึ้น
การแสดงออกของหลินเสวี่ยเปลี่ยนไปเมื่อเธอได้ยินเสียงนี้ เธอคุ้นเคยกับเสียงมาก นั่นเป็นเสียงของหลิวหรูหยานนั่นเอง
หลินเสวี่ยหันมองไปมองตามต้นเสียงแล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ หลิวหรูหยานกำลังยืนอยู่ข้างหลังเธอและมองเธอด้วยรอยยิ้ม
หลินหรูหยานสวยมากในวันนี้ เธอแต่งหน้าบางๆและทาลิปสติกสีม่วง
เธอสวมชุดเดรสสีแดงซึ่งห่อหุ้มร่างกายของเธอไว้ มันตรงกันข้ามกับชุดเดราสีขาวที่หลินเสวี่ยใส่
บุคลิกของหลิวหรูหยานต่างจากหลินเสวี่ย และรสนิยมของพวกเธอในด้านแฟชั่นนั้นก็แตกต่างกันอีกเช่นกัน พวกเธอชอบสีต่างกัน เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าที่พวกเธอเลือกสวมใส่เป็นประจำก็แสดงให้เห็นว่าพวกเธอเป็นคนสองขั้ว
หลินเสวี่ยเป็นสาวงามที่ดูเย็นชา ในขณะที่หลินหรูหยานเป็นเทพธิดาที่มีเสน่ห์ พวกเธอทั้งสองคนต่างก็เป็นจุดสนใจจากทุกคนที่ประตูทางเข้า
จางเทียนชี่เคยพบหลิวหรูหยานมาก่อนและรู้ว่าหลิวหรูหยานเป็นผู้หญิงของพี่ใหญ่หลี่ เขากล่าวอย่างรวดเร็วว่า “อ้าว พี่สะใภ้ สวัสดีครับ”
หลิวหรูหยานมีรอยยิ้มเต็มไปทั่วใบหน้า เมื่อเธอได้ยินคำพูดของจางเทียนชี่ เธอมีความสุขมาก
ตรงกันข้าม หลินเสวี่ยกลับไม่พอใจจางเทียนชี่เป็นอย่างมาก เขาเพิ่งเรียกเธอว่าพี่สะใภ้อยู่หยกๆ แล้วตอนนี้มาเรียกผู้หญิงอีกคนว่าพี่สะใภ้ได้อย่างไร ?
“เทียนชี่, ชั้นเคยได้ยินเรื่องของคุณจากสามีชั้นมามาก คุณเป็นลูกน้องของสามีชั้นไม่ใช่หรือ ทำไมคุณไปเรียกผู้หญิงคนอื่นว่าพี่สะใภ้ละ ?
หลินเสวี่ยกล่าวอย่างไม่แฮปปี้
“ชิบหายแล้ว หลุดปาก“
จางเทียนชี่คิดในใจ เขาหน้าซีดเผือด เขาลืมหลินเสวี่ยไปเสียสนิทเมื่อเขาได้เห็นหลิวหรูหยาน
เขาหันไปมองฉิงเฟิงเพื่อขอความช่วยเหลือ เขาหวังว่าฉิงเฟิงจะสามารถช่วยหาทางออกให้เขาได้ เพื่อทำให้หลินเสวี่ยไม่โกรธเขา
อย่างไรก็ตาม จางเทียนชี่กลับต้องผิดหวัง เพราะฉิงเฟิงทำไม่รู้ไม่ชี้และชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย เขาไม่สนใจแววตาวิงวอนของจางเทียนชี่
ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ ฉิงเฟิงจะต้องช่วยจางเทียนชี่แน่นอน อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการเข้าไปก้าวก่ายเรื่องระหว่างหลินเสวี่ยและหลิวหรูหยาน เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งของพวกเธอทุกทางเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งการทะเลาะกันของพวกเธอ
จางเทียนชี่ผู้น่าสงสารถูกฉิงเฟิงทิ้งเสียแล้ว
“อ่า พี่สะใภ้หลินเสวี่ย ผมได้ยินเรื่องของคุณจากพี่ใหญ่หลี่เสมอ เขาบอกว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดเลย !” จางเทียนชี่พยายามหาทางลง ในเมื่อหวังพึ่งฉิงเฟิงไม่ได้ก็ต้องอาศัยลูกยอ
แต่หลินเสวี่ยก็ยังไม่ยอม เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เที่ยนชี่ พี่สะใภ้ย่อมมีได้เพียงคนเดียว คุณว่าใคร ? หลิวหรูหยานหรือชั้น ?”
หลิวหรูหยานรู้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ย่อมไม่เข้าท่าแน่นอน หลินเสวี่ยบังคับให้จางเทียนชี่ต้องเลือก เธอกลัวว่าจางเทียนชี่จะเลือกเรียกหลินเสวี่ยว่าพี่สะใภ้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเธอจะต้องขายหน้า
เธอจึงกลอกตาใช้ความคิดและกล่าวว่า “เทียนชี่ ฉันลืมล็อครถ ไปล็อครถให้หน่อย”
ช่างเป็นข้ออ้างที่ดูไม่จืดมาก ใครกันจะลงจากรถโดยไม่ล็อค ? แต่นี่ถือเป็นเหตุผลที่สามารถใช้เผ่นจากสถานการณ์ตรงนี้ที่จางเทียนชี่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง
“ได้ๆ ผมจะไปล็อครถให้คุณเอง” จางเทียนชี่รีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
ฉิงเฟิงมองไปที่จางเทียนชี่ด้วยความขบขัน ในตอนแรกเขามีความสุขมากที่น้องชายคนนี้ได้ดึงดูดความสนใจของผู้หญิงสองคนนี้ พวกเธอจะได้ไม่หาเรื่องปวดหัวให้เขา แต่ตอนนี้เขาก็วิ่งหนีไปเสียแล้ว
“ดูสิดู พวกเธอข่มขวัญจนสมุนของฉันเผ่นป่าราบไปแล้ว” ฉิงเฟิงกล่าวในขณะที่เขามองไปที่ผู้หญิงทั้งสองคน
หลินเสวี่ยเหลือบมองฉิงเฟิงและพูดว่า “หึ ! ลูกน้องของคุณหาเรื่องหนีได้เร็วนัก ไม่งั้นชั้นจะถามเค้าให้ได้ว่าทำไมเขาถึงเรียกผู้หญิงคนอื่นว่าพี่สะใภ้”
หลิวหรูหยานกล่าวพร้อมกับหัวเราะเล็กน้อยว่า “เฮ้อ.. ก็นะ คงเพราะว่ามีคนบางคนเข้าถึงยาก ดูสิคะ หล่อนทำให้สมุนของคุณตกใจกลัวไปหมดแล้ว”
ฉิงเฟิงเริ่มปวดหัวอีกครั้งเมื่อพวกเธอเริ่มพูดจิกกัดกัน ผู้หญิงสองคนนี้จะหาเรื่องสู้ไม่ก็ทะเลาะกันได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อพวกเธอพบหน้ากัน มันไม่เป็นไรถ้าพวกเธอจะทะเลาะกันที่บ้าน แต่ว่าตอนนี้พวกเธออยู่ในที่สาธารณะ ทุกคนต่างก็จ้องมองพวกเขา
ผู้คนรอบข้างต่างก็มองไปที่ฉิงเฟิงด้วยความริษยา พวกเขาอิจฉาที่ฉิงเฟิงถูกขนาบด้วยสาวสวยสองคน
“การประชุมน่าจะใกล้เริ่มได้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย” ฉิงเฟิงหาข้ออ้างและเริ่มเดินไปที่ห้องโถง
หลิวหรูหยานและหลินเสวี่ยเดินตามหลังเขาอย่างใกล้ชิด แต่พวกเธอก็ยังคงพูดจิกกัดกัน
“มิสหลิว คุณก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงมาเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับสมุนไพรจีนอีก ?” หลินเสวี่ยถามหลิวหรูหยาน
ผู้หญิงสองคนนี้เป็นคู่แข่งกัน พวกเธอแข่งกันเพื่อแย่งฉิงเฟิง หลินเสวี่ยได้จับตาดูการกระทำของหลิวหรูหยานทุกฝีก้าว ซึ่งจากที่กล่าวมาทั้งหมด เรื่องความงามพวกเธอเท่าเทียมกัน ดังนั้นพวกเธอจึงต้องแข่งกันในเรื่องธุรกิจเท่านั้น
หลิวหรูหยานยิ้มอย่างมีเสน่ห์และกล่าวว่า “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมเป็นธุรกิจของตระกูล ฉันไม่ต้องการพึ่งพาครอบครัว ฉันจึงต้องการเริ่มธุรกิจของตัวเองทางด้านอื่นๆ และล้มคุณด้วยความสามารถของฉันเอง”
“จะเอาชนะชั้น ? ชั้นเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ ชั้นต่างหากที่จะล้มคุณ”
“มิสหลิน ยังมีเวลาอีกตั้งปีนึง เรารอดูผลลัทธ์กันก่อนค่อยพูดเถอะ แต่อย่าลืมนะว่าถ้าคุณแพ้ คุณจะต้องไปหย่าขาดจากฉิงเฟิงและห้ามมาเจอหน้าเขาอีก”
“มิสหลิว คุณไม่ต้องเป็นห่วงไป ถ้าคุณชนะชั้นจะเลิกกับฉิงเฟิง แต่ถ้าคุณแพ้ละ?”
“ถ้าฉันแพ้ ฉันจะไปจากเมืองทะเลตะวันออกทันทีและจะไม่มาพบฉิงเฟิงอีกเลย”
หลิวหรูหยานและหลินเสวี่ยยังคงทะเลาะกันตลอดทางขณะที่เดินไปที่ห้องโถง
เป็นไปดั่งคำพูดที่ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ผู้ชายคนหนึ่งสามารถมีภรรยาได้เพียงคนเดียว พวกเธอทั้งคู่อยากเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของเขา ดังนั้นพวกเธอจึงเดิมพันกัน คนแพ้ต้องถอยจากฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงเดินนำอยู่ข้างหน้า เขาได้ยินทุกคำพูด แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ เขาสนิทสนมกับพวกเธอทั้งคู่ พูดเข้าข้างคนนึงอีกคนก็เจ็บ เขาจึงทำได้เพียงเงียบ
“เฮ้อ… เป็นผู้ชายนี่ยุ่งยากจังเว้ย” ฉิงเฟิงกล่าว
ทันใดนั้นสาวงามผมยาวคนหนึ่งได้ยินเสียงบ่นของฉิงเฟิงจึงเยาะเย้ยเขาออกมาว่า
“หึ ! ถ้าเป็นผู้ชายมันลำบากนัก ก็ไปแปลงเพศเป็นผู้หญิงซะสิหมดเรื่อง !”
ฉิงเฟิงหันไปมองเมื่อได้ยินเสียงเยาะเย้ย เขาพบว่ามันเป็นสาวงามคนหนึ่งที่อายุราวๆ 20 ปี เธอกำลังมองเขาด้วยท่าทางดูถูกบนใบหน้าของเธอ