หัวใจของฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะที่อุ้มหลินเสวี่ยเมื่อเห็นเธออยู่ในสภาพหมดสติ หัวใจของเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
เขากับหลินเสวี่ยเดินทางมาไกลนับตั้งแต่เริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจากความเข้าใจผิดในตอนเริ่มต้น ไปสู่ความไว้วางใจกันและกัน, ไปสู่ความรักและสุดท้าย แยกทาง..
การที่หลินเสวี่ยหนีออกมาฉิงเฟิงไม่ได้ตำหนิเธอแม้แต่น้อย เป็นเขาที่รู้สึกผิดมาก ด้วยเรื่องที่ว่าสามีของเธอไปมีลูกกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าหากเขาเป็นหลินเสวี่ยเขาก็คงหนีออกมาเช่นกัน
ฉิงเฟิงไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือไปจากความรู้สึกผิดต่อหลินเสวี่ยแต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว เธอไม่รู้สึกตัว
“นายน้อยขอรับนายหญิงเข้าสู่สภาวะสะกดจิตตัวเองเพราะความเศร้าหมองอย่างรุนแรง ข้าให้ยาเธอแล้ว แต่เป็นตัวเธอเองที่ไม่อยากตื่นขึ้นมา” เทียนหมิงเดินไปหาฉิงเฟิงและกล่าวอย่างสุภาพ
นับตั้งแต่ได้รับรู้ว่าหลี่ฉิงเฟิงเป็นบุตรชายของเจ้านายของเขา,ราชันผู้พิชิต เขาก็เคารพนอบน้อมและถือว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้
คนอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของราชันผู้พิชิตแต่เทียนหมิงเข้าใจดี ย้อนกลับไปตอนนั้น มือสังหารที่ไล่ตามเขาผู้นั้นทรงพลังและเป็นผู้ที่มีทักษะยุทธ์สูงเยี่ยม แต่ราชันผู้พิชิตก็สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้
การสะกดจิตตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้การแสดงออกของฉิงเฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดดวงตาของเขากระพริบด้วยความว้าวุ่นและความตื่นตระหนก สภาวะนี้เลวร้ายยิ่งกว่าอยู่ในสภาพนอนเป็นผักเนื่องจากไม่สามารถรักษาได้ในทางการแพทย์แขนงใดๆก็ตาม
สภาพนอนเป็นผักเกิดจากการบาดเจ็บทางร่างกายและความเสียหายของสมองนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในอาการโคม่าและไม่อาจตื่นขึ้นมาได้
ส่วนการสะกดจิตตัวเองเป็นภาวะการหมดสติที่เกิดจากการกระตุ้นของระบบประสาทและความโศกเศร้าผู้ป่วยต้องการเพียงแค่หลับ และไม่อยากตื่นขึ้นเพราะเขาต้องการหนีความเป็นจริงที่โหดร้าย
“ที่รักผมขอโทษนะ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง” ใบหน้าของฉิงเฟิงซีดลง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา
มีคนบอกว่าผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆแต่นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่เคยได้สัมผัสถึงความเศร้าที่แท้จริง
หลินเสวี่ยสะกดจิตตัวเองเธอไม่อยากตื่น ไม่อยากเห็นหน้าฉิงเฟิง เธอเสียใจอย่างสุดซึ้งทำให้ฉิงเฟิงรู้สึกผิดอย่างมหันต์
ฉิงเฟิงนึกถึงเรื่องในวัยเด็กของหลินเสวี่ยพ่อของเธอไล่เธอออกจากบ้านเพราะผู้หญิงคนอื่น นี่เป็นบาดแผลที่ฝังลึกและเจ็บปวดที่สุดในใจของเธอ เนื่องจากประสบการณ์ในวัยเด็กของเธอทำให้หลินเสวี่ยเกลียดผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายที่มีผู้หญิงหลายคนแล้วก็เป็นอย่างที่เธอกังวล หลินหรูหยานเป็นผู้หญิงคนนั้น, นังงูพิษที่พยายามจะแย่งสามีของเธอ
ตอนนี้สามีของเธอมีอะไรกับหลิวหรูหยันลับหลังแม้กระทั่งมีลูกด้วยกัน เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกินกว่าที่หลินเสวี่ยจะทนรับไหว โชคดีที่เธอยังไม่เสียสติคิดสั้น เธอแค่หลับลึกไปเท่านั้น
“ไปกันเถอะผมจะพาคุณกลับบ้าน” ฉิงเฟิงเช็ดน้ำตาของเขา มองหน้าหลินเสวี่ยในอ้อมแขนและเดินออกไป ไอลีนโนเวล
ราชาอสูรเทียนหมิงต้องการจะติดตามเขาไปด้วยแต่ฉิงเฟิงห้ามไว้ ในเวลานี้เขาต้องการเพียงแค่อยู่กับหลินเสวี่ยตามลำพังโดยไม่มีผู้ใดมารบกวน
ฉิงเฟิงขอให้กัวซื่อเว่ยกลับไปเองเขาพาหลินเสวี่ยลงจากภูเขาชะตาฟ้าเพียงสองคน
จากนั้นเขาก็ขับรถพาหลินเสวี่ยที่ไม่ได้สติกลับเมืองตงไห่
ในขณะเดียวกันภายในวิลล่า 13 พ่อแม่ของหลินเสวี่ย, นายกเทศมนตรีถังเจียนกัว, ซูเมิ่งเหยา, คิงคอง, เหมียวซิยี้และคนอื่นๆต่างก็กำลังรออยู่ในห้องนั่งเล่น
การหายตัวไปของภรรยาฉิงเฟิงเป็นหัวข้อใหญ่ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองตงไห่พวกเขาต่างก็รออยู่ที่นี่เพื่อฟังข่าวจากฉิงเฟิง
จนในที่สุดทุกคนก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นฉิงเฟิงกลับมาพร้อมกับหลินเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนแต่เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยอยู่ในภาวะหมดสติ จิตใจของพวกเขาก็ติดอยู่ที่ลำคอ
“หลินเสวี่ยปลอดภัยกลับมาแล้วผมขอเวลาอยู่กันเงียบๆ พวกคุณทุกคนออกไปได้แล้ว” ฉิงเฟิงกล่าวกับทุกคน
ได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงทุกคนก็ขยับปากราวกับว่าพวกเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็กลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทุกคนออกไปหมดยกเว้นอยู่สามคนหลินซื่อ มู่เสี่ยวหยุนและเหมียวซิยี้
“ฉิงเฟิงเกิดอะไรขึ้นกับเสวี่ยน้อย” มู่เสี่ยวหยุนถามขณะที่เธอเดินไปหาฉิงเฟิงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
ใบหน้าของฉิงเฟิงดูขมขื่นเขากล่าวว่า “เธอสะกดจิตตัวเองเพราะไม่ต้องการที่จะตื่นขึ้น”
สะกดจิตตัวเอง
มู่เสี่ยวหยุนส่ายหัวด้วยความสับสนเธอไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร เธอไม่ได้เรียนหมอมาและไม่คุ้นกับอาการนี้
ฉิงเฟิงถอนหายใจและอธิบายว่า“แม่ หลินเสวี่ยถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงด้วยความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้งและไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าใคร ดังนั้นเธอจึงสะกดจิตตัวเองไม่ให้ตื่นขึ้น มันเป็นโรคของจิตใจ”
ความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง
! มู่เสี่ยวหยุนจับใจความจากคำพูดเหล่านี้ได้เธอคุ้นเคยกับบุคลิกของลูกสาวตัวเองเป็นอย่างมาก หลินเสวี่ยไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิงเฉลียวฉลาดแต่เธอยังเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดี
ในอดีตหลินเสวี่ยไม่ได้เศร้าเสียใจแม้แต่น้อยตอนที่พ่อของเธอไล่เธอออกจากบ้านเพราะผู้หญิงคนอื่นแล้วมันเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นจนทำให้เธอเศร้าเสียใจจนไม่อยากตื่นขึ้นมา
“ฉิงเฟิงเธอทำร้ายเสวี่ยน้อยหรือเปล่า ชั้นรู้นิสัยลูกตัวเองดี เธอเป็นผู้หญิงแกร่ง แม้แต่ตอนที่ปู่เธอเสีย เธอยังไม่ถึงขั้นนี้” มู่เสี่ยวหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังในตัวฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงเปิดปากของเขาราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้านี้เป็นแม่ยายของเขาและแม่ของหลินเสวี่ย เป็นที่เข้าใจได้ที่เธอจะต้องผิดหวังในตัวเขาหลังจากที่เห็นลูกสาวตัวเองต้องทนทุกข์ทรมาน
“แม่ยายผมขอโทษ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง” ใบหน้าของฉิงเฟิงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสลด
พูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเขาเห็นหลินเสวี่ยเป็นแบบนี้ เขาอยากให้ตัวเองเป็นคนเจ็บแทน
“ฉิงเฟิงอย่าตำหนิที่ชั้นต้องวิจารณ์คุณ แต่เมื่อเร็วๆนี้เสวี่ยน้อยโทรหาชั้นทุกคืน เล่าให้ฟังว่าคุณดูแลเธอดีอย่างไร คุณรักเธอแค่ไหน และเธอรักคุณแค่ไหน เธอเล่าให้ชั้นฟังทุกอย่างด้วยความสุข พิธีแต่งงานของพวกคุณก็เหลืออีกแค่ครึ่งเดือน เสวี่ยน้อยบอกชั้นอยู่เสมอว่าเธอจะมีลูกให้คุณ แต่ตอนนี้..คุณทำให้เธอโกรธ คุณมัน….ฮึ่ย!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการวิพากษ์วิจารณ์ของมู่เสี่ยวหยุนใบหน้าของฉิงเฟิงก็ซีดลงเขาเงียบและไม่โต้เถียงแม้แต่คำเดียว เขาจะพูดอะไรได้ละ เขารู้ดีถึงความรักที่เธอมีให้เขาและเขาก็รู้ดีว่าเธอเกลียดหลิวหรูหยานเพียงใด
การที่เธอต้องเป็นเช่นนี้ต้นเหตุก็มาจากเขาเองทั้งหมด
“พอๆๆหยุดพูดมากได้แล้ว ฉิงเฟิงก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกันแหละน่า”
เมื่อได้เห็นมู่เสี่ยวหยุนสวดฉิงเฟิงไม่หยุดหลินซื่อก็ขมวดคิ้วและเหลือบมองเธอ
“เฮอะ! ให้ชั้นหยุดพูดเหรอ คุณเคยแคร์เสวี่ยน้อยด้วยเหรอ ? ตอนเธอเป็นเด็กคุณไม่เคยใส่ใจเธอแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอสลบไม่ยอมตื่นคุณก็ยังไม่แคร์เธอและมาห้ามไม่ให้ชั้นระบาย คุณเข้าข้างคนที่ทำร้ายเสวี่ยน้อย, ลูกของคุณเอง คุณเป็นพ่อภาษาบ้าอะไร !?”
เนื่องจากสภาพอาการของหลินเสวี่ยทำให้มู่เสี่ยวโกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่และถึงกับตะโกนใส่สามี
โดยปกติมู่เสี่ยวหยุนจะเกรงกลัวหลินซื่อและเชื่อฟังเขามากแต่เพื่อลูกสาวของเธอ เธอกลับด่าทอเขาอย่างรุนแรง
“เธอพร่ำบ้าอะไร เสวี่ยน้อยก็เป็นลูกสาวของฉัน ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไง ? แต่สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือทำให้เธอตื่นไม่ใช่มัวมาด่ากันโทษกัน” หลินซื่อกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขากับหลินเสวี่ยเดินทางมาไกลนับตั้งแต่เริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจากความเข้าใจผิดในตอนเริ่มต้น ไปสู่ความไว้วางใจกันและกัน, ไปสู่ความรักและสุดท้าย แยกทาง..
การที่หลินเสวี่ยหนีออกมาฉิงเฟิงไม่ได้ตำหนิเธอแม้แต่น้อย เป็นเขาที่รู้สึกผิดมาก ด้วยเรื่องที่ว่าสามีของเธอไปมีลูกกับผู้หญิงคนอื่น ถ้าหากเขาเป็นหลินเสวี่ยเขาก็คงหนีออกมาเช่นกัน
ฉิงเฟิงไม่มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือไปจากความรู้สึกผิดต่อหลินเสวี่ยแต่ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว เธอไม่รู้สึกตัว
“นายน้อยขอรับนายหญิงเข้าสู่สภาวะสะกดจิตตัวเองเพราะความเศร้าหมองอย่างรุนแรง ข้าให้ยาเธอแล้ว แต่เป็นตัวเธอเองที่ไม่อยากตื่นขึ้นมา” เทียนหมิงเดินไปหาฉิงเฟิงและกล่าวอย่างสุภาพ
นับตั้งแต่ได้รับรู้ว่าหลี่ฉิงเฟิงเป็นบุตรชายของเจ้านายของเขา,ราชันผู้พิชิต เขาก็เคารพนอบน้อมและถือว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้
คนอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของราชันผู้พิชิตแต่เทียนหมิงเข้าใจดี ย้อนกลับไปตอนนั้น มือสังหารที่ไล่ตามเขาผู้นั้นทรงพลังและเป็นผู้ที่มีทักษะยุทธ์สูงเยี่ยม แต่ราชันผู้พิชิตก็สามารถหยุดยั้งเขาไว้ได้
การสะกดจิตตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้การแสดงออกของฉิงเฟิงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดดวงตาของเขากระพริบด้วยความว้าวุ่นและความตื่นตระหนก สภาวะนี้เลวร้ายยิ่งกว่าอยู่ในสภาพนอนเป็นผักเนื่องจากไม่สามารถรักษาได้ในทางการแพทย์แขนงใดๆก็ตาม
สภาพนอนเป็นผักเกิดจากการบาดเจ็บทางร่างกายและความเสียหายของสมองนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยตกอยู่ในอาการโคม่าและไม่อาจตื่นขึ้นมาได้
ส่วนการสะกดจิตตัวเองเป็นภาวะการหมดสติที่เกิดจากการกระตุ้นของระบบประสาทและความโศกเศร้าผู้ป่วยต้องการเพียงแค่หลับ และไม่อยากตื่นขึ้นเพราะเขาต้องการหนีความเป็นจริงที่โหดร้าย
“ที่รักผมขอโทษนะ ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง” ใบหน้าของฉิงเฟิงซีดลง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา
มีคนบอกว่าผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆแต่นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่เคยได้สัมผัสถึงความเศร้าที่แท้จริง
หลินเสวี่ยสะกดจิตตัวเองเธอไม่อยากตื่น ไม่อยากเห็นหน้าฉิงเฟิง เธอเสียใจอย่างสุดซึ้งทำให้ฉิงเฟิงรู้สึกผิดอย่างมหันต์
ฉิงเฟิงนึกถึงเรื่องในวัยเด็กของหลินเสวี่ยพ่อของเธอไล่เธอออกจากบ้านเพราะผู้หญิงคนอื่น นี่เป็นบาดแผลที่ฝังลึกและเจ็บปวดที่สุดในใจของเธอ เนื่องจากประสบการณ์ในวัยเด็กของเธอทำให้หลินเสวี่ยเกลียดผู้ชายโดยเฉพาะผู้ชายที่มีผู้หญิงหลายคนแล้วก็เป็นอย่างที่เธอกังวล หลินหรูหยานเป็นผู้หญิงคนนั้น, นังงูพิษที่พยายามจะแย่งสามีของเธอ
ตอนนี้สามีของเธอมีอะไรกับหลิวหรูหยันลับหลังแม้กระทั่งมีลูกด้วยกัน เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเกินกว่าที่หลินเสวี่ยจะทนรับไหว โชคดีที่เธอยังไม่เสียสติคิดสั้น เธอแค่หลับลึกไปเท่านั้น
“ไปกันเถอะผมจะพาคุณกลับบ้าน” ฉิงเฟิงเช็ดน้ำตาของเขา มองหน้าหลินเสวี่ยในอ้อมแขนและเดินออกไป ไอลีนโนเวล
ราชาอสูรเทียนหมิงต้องการจะติดตามเขาไปด้วยแต่ฉิงเฟิงห้ามไว้ ในเวลานี้เขาต้องการเพียงแค่อยู่กับหลินเสวี่ยตามลำพังโดยไม่มีผู้ใดมารบกวน
ฉิงเฟิงขอให้กัวซื่อเว่ยกลับไปเองเขาพาหลินเสวี่ยลงจากภูเขาชะตาฟ้าเพียงสองคน
จากนั้นเขาก็ขับรถพาหลินเสวี่ยที่ไม่ได้สติกลับเมืองตงไห่
ในขณะเดียวกันภายในวิลล่า 13 พ่อแม่ของหลินเสวี่ย, นายกเทศมนตรีถังเจียนกัว, ซูเมิ่งเหยา, คิงคอง, เหมียวซิยี้และคนอื่นๆต่างก็กำลังรออยู่ในห้องนั่งเล่น
การหายตัวไปของภรรยาฉิงเฟิงเป็นหัวข้อใหญ่ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองตงไห่พวกเขาต่างก็รออยู่ที่นี่เพื่อฟังข่าวจากฉิงเฟิง
จนในที่สุดทุกคนก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นฉิงเฟิงกลับมาพร้อมกับหลินเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนแต่เมื่อได้เห็นหลินเสวี่ยอยู่ในภาวะหมดสติ จิตใจของพวกเขาก็ติดอยู่ที่ลำคอ
“หลินเสวี่ยปลอดภัยกลับมาแล้วผมขอเวลาอยู่กันเงียบๆ พวกคุณทุกคนออกไปได้แล้ว” ฉิงเฟิงกล่าวกับทุกคน
ได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงทุกคนก็ขยับปากราวกับว่าพวกเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างแต่ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็กลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทุกคนออกไปหมดยกเว้นอยู่สามคนหลินซื่อ มู่เสี่ยวหยุนและเหมียวซิยี้
“ฉิงเฟิงเกิดอะไรขึ้นกับเสวี่ยน้อย” มู่เสี่ยวหยุนถามขณะที่เธอเดินไปหาฉิงเฟิงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
ใบหน้าของฉิงเฟิงดูขมขื่นเขากล่าวว่า “เธอสะกดจิตตัวเองเพราะไม่ต้องการที่จะตื่นขึ้น”
สะกดจิตตัวเอง
มู่เสี่ยวหยุนส่ายหัวด้วยความสับสนเธอไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร เธอไม่ได้เรียนหมอมาและไม่คุ้นกับอาการนี้
ฉิงเฟิงถอนหายใจและอธิบายว่า“แม่ หลินเสวี่ยถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงด้วยความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้งและไม่ต้องการที่จะเห็นหน้าใคร ดังนั้นเธอจึงสะกดจิตตัวเองไม่ให้ตื่นขึ้น มันเป็นโรคของจิตใจ”
ความโศกเศร้าอย่างลึกซึ้ง
! มู่เสี่ยวหยุนจับใจความจากคำพูดเหล่านี้ได้เธอคุ้นเคยกับบุคลิกของลูกสาวตัวเองเป็นอย่างมาก หลินเสวี่ยไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิงเฉลียวฉลาดแต่เธอยังเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองและจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้ดี
ในอดีตหลินเสวี่ยไม่ได้เศร้าเสียใจแม้แต่น้อยตอนที่พ่อของเธอไล่เธอออกจากบ้านเพราะผู้หญิงคนอื่นแล้วมันเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นจนทำให้เธอเศร้าเสียใจจนไม่อยากตื่นขึ้นมา
“ฉิงเฟิงเธอทำร้ายเสวี่ยน้อยหรือเปล่า ชั้นรู้นิสัยลูกตัวเองดี เธอเป็นผู้หญิงแกร่ง แม้แต่ตอนที่ปู่เธอเสีย เธอยังไม่ถึงขั้นนี้” มู่เสี่ยวหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังในตัวฉิงเฟิง
ฉิงเฟิงเปิดปากของเขาราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้านี้เป็นแม่ยายของเขาและแม่ของหลินเสวี่ย เป็นที่เข้าใจได้ที่เธอจะต้องผิดหวังในตัวเขาหลังจากที่เห็นลูกสาวตัวเองต้องทนทุกข์ทรมาน
“แม่ยายผมขอโทษ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเอง” ใบหน้าของฉิงเฟิงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสลด
พูดอย่างตรงไปตรงมาเมื่อเขาเห็นหลินเสวี่ยเป็นแบบนี้ เขาอยากให้ตัวเองเป็นคนเจ็บแทน
“ฉิงเฟิงอย่าตำหนิที่ชั้นต้องวิจารณ์คุณ แต่เมื่อเร็วๆนี้เสวี่ยน้อยโทรหาชั้นทุกคืน เล่าให้ฟังว่าคุณดูแลเธอดีอย่างไร คุณรักเธอแค่ไหน และเธอรักคุณแค่ไหน เธอเล่าให้ชั้นฟังทุกอย่างด้วยความสุข พิธีแต่งงานของพวกคุณก็เหลืออีกแค่ครึ่งเดือน เสวี่ยน้อยบอกชั้นอยู่เสมอว่าเธอจะมีลูกให้คุณ แต่ตอนนี้..คุณทำให้เธอโกรธ คุณมัน….ฮึ่ย!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการวิพากษ์วิจารณ์ของมู่เสี่ยวหยุนใบหน้าของฉิงเฟิงก็ซีดลงเขาเงียบและไม่โต้เถียงแม้แต่คำเดียว เขาจะพูดอะไรได้ละ เขารู้ดีถึงความรักที่เธอมีให้เขาและเขาก็รู้ดีว่าเธอเกลียดหลิวหรูหยานเพียงใด
การที่เธอต้องเป็นเช่นนี้ต้นเหตุก็มาจากเขาเองทั้งหมด
“พอๆๆหยุดพูดมากได้แล้ว ฉิงเฟิงก็คงไม่อยากให้เป็นแบบนี้เหมือนกันแหละน่า”
เมื่อได้เห็นมู่เสี่ยวหยุนสวดฉิงเฟิงไม่หยุดหลินซื่อก็ขมวดคิ้วและเหลือบมองเธอ
“เฮอะ! ให้ชั้นหยุดพูดเหรอ คุณเคยแคร์เสวี่ยน้อยด้วยเหรอ ? ตอนเธอเป็นเด็กคุณไม่เคยใส่ใจเธอแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอสลบไม่ยอมตื่นคุณก็ยังไม่แคร์เธอและมาห้ามไม่ให้ชั้นระบาย คุณเข้าข้างคนที่ทำร้ายเสวี่ยน้อย, ลูกของคุณเอง คุณเป็นพ่อภาษาบ้าอะไร !?”
เนื่องจากสภาพอาการของหลินเสวี่ยทำให้มู่เสี่ยวโกรธจัดจนควบคุมอารมณ์ไม่อยู่และถึงกับตะโกนใส่สามี
โดยปกติมู่เสี่ยวหยุนจะเกรงกลัวหลินซื่อและเชื่อฟังเขามากแต่เพื่อลูกสาวของเธอ เธอกลับด่าทอเขาอย่างรุนแรง
“เธอพร่ำบ้าอะไร เสวี่ยน้อยก็เป็นลูกสาวของฉัน ฉันจะไม่ห่วงได้ยังไง ? แต่สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ก็คือทำให้เธอตื่นไม่ใช่มัวมาด่ากันโทษกัน” หลินซื่อกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว