จางเหมียวชุนนำฉิงเฟิงไปยังที่พักของจางหยุนเหอส่วนลู่เสี่ยวม่าน ฉิงเฟิงบอกให้เธอเข้าชั้นเรียนไปก่อน ตอนนี้ในหัวเขามีแต่ธุระเกี่ยวกับหลินเสวี่ย เขาไม่มีเวลามาพูดคุยกับเธอมากนัก
มหาวิทยาลัยแพทย์ตงไห่มีขนาดใหญ่มากมีต้นไม้จำนวนมากอยู่ตามสองข้างทางภายในมหาวิทยาลัยและมีนักศึกษาจำนวนมากทำกิจกรรม
มหาวิทยาลัยนี้เป็นหนึ่งในสามมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในหัวเซี่ยและมีชื่อเสียงมากทางด้านการแพทย์ มันเป็นแหล่งให้กำเนิดแพทย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากและเป็นสถานที่สำหรับคนที่กำลังจะเข้ามหาลัย
แน่นอนว่ามีหลายแผนกภายในมหาวิทยาลัยแต่มันแบ่งออกเป็น 2 คลาสหลักๆก็คือแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนตะวันออก นอกจากนี้ยังแบ่งออกเป็นหลายสาขา วิชารวมไปถึงสาขาสุขภาพจิต, สมุนไพรและการดูแลเด็กอีกด้วย
สาขาวิชาสุขภาพจิตมีชื่อเสียงก็เพราะจางหยุนเหอเขาเป็นสมบัติของชาติในแง่ความรู้ความสามารถของเขาทางด้านสุขภาพจิตและมีชื่อเสียงในประเทศมาก
เมื่อฉิงเฟิงมาถึงอาคารสำนักงานเขาก็รู้สึกสับสนอาคารนี้ควรจะเรียกว่าห้องแล๊ปเสียมากกว่าเนื่องจากมันมีเครื่องไม้เครื่องมือในการทำการทดลองหลายอย่างและเต็มไปด้วยเหล่าแพทย์ที่กำลังทำการวิจัย
คนสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้หรือนี่
ฉิงเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัยเพราะเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการวิจัยมากกว่าจะใช้เป็นที่ซุกหัวนอน
อาคารนี้มี23 ชั้น ฉิงเฟิงคิดว่าจางหยุนเหออาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุด แต่จางเหมียวชุนกลับพาเขาลงไปที่ชั้นใต้ดิน
อาจารย์ใหญ่จางคุณพาผมลงมาชั้นใต้ดินทำไม ฉิงเฟิงถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสับสน
จางเหมียวชุนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกล่าวว่า พี่ชายของฉัน จางหยุนเหอเขาหมกตัวอยู่แต่ในชั้นใต้ดินนี่แหละ มีแค่คนส่งข้าวส่งน้ำไปให้เขาทุกวันและแทบจะไม่เคยออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันเลย
หัวใจของจางเหมียวชุนรู้สึกเจ็บในทุกครั้งที่กล่าวถึงพี่ชายคนอื่นๆอาจจะคิดว่าใครบางคนเช่นศาสตราจารย์จางหยุนเหอควรจะอาศัยอยู่ในวิลล่าหลังโตๆ แต่ตรงกันข้ามเลย เขาอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินที่มืดมิดต่างหาก
จางเหมียวชุนรู้จักสถานที่นี้เป็นอย่างดีและได้นำทางฉิงเฟิงลงมาถึงห้องใต้ดินหลังจากนั้นไม่นาน
ชั้นใต้ดินไม่ใหญ่นักและค่อนข้างมืดมีประตูเหล็กที่ปิดล็อคไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามา
จางเหมียวชุนมาถึงที่หน้าประตูและพูดว่า พี่ใหญ่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งอยากจะพบคุณดังนั้นฉันจึงพาเขามาที่นี่
ชั้นใต้ดินยังคงเงียบและไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
จางเหมียวชุนชินชากับสถานการณ์เช่นนี้อย่างเห็นได้ชัดและไม่ได้สนใจเรื่องนี้เขายังคงกล่าวต่อไปว่า พี่ใหญ่ ชายหนุ่มคนนี้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทางการแพทย์แผนโบราณ โปรดเปิดประตูมาพบเขาหน่อยเถอะ
ในที่สุดก็มีเสียงดังออกมาจากห้องใต้ดินมันเป็นเสียงที่แก่ชราและแหบแห้ง เขากล่าวว่า เหมียวชุน กลับไปซะ ฉันจะไม่พบใครทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นแพทย์เทวะแผนจีนจากไหนก็ตาม แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ไอรีนโนเวล
หลังจากได้ยินคำพูดปฏิเสธการแสดงออกของจางเหมียวชุนก็เปลี่ยนไปและขอโทษต่อฉิงเฟิงว่า ฉิงเฟิง ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ก็อย่างที่เห็น เขาเป็นคนแปลกๆและไม่อยากพบหน้าใคร
คิ้วของฉิงเฟิงขมวดแน่นเขาต้องการพบจางหยุนเหอให้ได้เนื่องจากต้องการให้เขาตรวจสอบอาการของหลินเสวี่ย
อาจารย์ใหญ่จางทำไมพี่ชายของคุณถึงไม่อยากพบหน้าผู้คน ฉิงเฟิงถาม เขาต้องรู้เหตุผลเกี่ยวกับนิสัยที่แปลกประหลาดของจางหยุนเหอให้ได้เพื่อแก้ไขปัญหานี้
จางเหมียวชุนถอนหายใจและกล่าวว่า ฉิงเฟิง พี่ชายของฉันไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวช แต่เขายังเป็นประธานของสมาคมแพทย์หัวเซี่ยอีกด้วย จากนั้นเขาก็ถูกหักหลังโดยลูกศิษย์ของเขาเองและถูกไล่ออกจากสมาคม หลังจากนั้นเขาก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องใต้ดินและไม่ออกมาพบหน้าใครอีกเลย
อะไรนะ
ประธานสมาคมแพทย์หัวเซี่ย
ฉิงเฟิงตกใจและรู้สึกประหลาดใจมากหัวเซี่ยมีประชากรมากกว่าพันล้านคนและมีผู้คนนับล้านที่จบแพทย์
ในทุกๆสมาคมจะมีประธานและจางหยุนเหอก็เป็นประธานสมาคมแพทย์ของหัวเซี่ยนั่นก็หมายความว่าเขาเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญมากที่สุดแขนงหนึ่งในบรรดาหมอทุกคนในหัวเซี่ย
จางเหมียวชุนเป็นเพียงแค่ประธานของสมาคมแพทย์ของเมืองตงไห่ดังนั้นสถานะของพี่ชายเขา, จางหยุนเหอสูงกว่ามากนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมประธานเจียวซูถึงได้เอ่ยถึงบุคลๆนี้จางหยุนเหอเป็นประธานสมาคมแพทย์หัวเซี่ยและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวช แน่นอนว่าเขาจะรักษาอาการของหลินเสวี่ยได้
ฉิงเฟิงมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีนและนับได้ว่ามีฝีมือดีแต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนที่เก่งกว่าเขาย่อมมีอยู่มากมายในหัวเซี่ย และโดยปกติพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้แสดงทักษะของตนต่อสาธารณชน
อาจารย์ของฉิงเฟิงเคยเล่าให้ฟังว่าแพทย์แผนจีนมี 8 สาขา ตัวเขาเองเชี่ยวชาญเพียงสาขาเดียวเท่านั้น ฮ่าๆในที่สุดผมก็รู้แล้วว่าทำไมลูกศิษย์ของคุณถึงได้ทรยศ ไม่แปลกหรอก ไม่มีใครอยากเป็นลูกศิษย์คนห่วยแตกแบบคุณ ฉิงเฟิงหัวเราะลั่นในทันทีและกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยเสียดแทงใจของฉิงเฟิงการแสดงออกของจางเหมียวชุนก็เปลี่ยนไป เขารีบกล่าวด้วยความกระวนกระวายว่า ฉิงเฟิง ! ทำไมเธอถึงพูดจาแบบนี้กับเขา แย่แน่ๆ เขาไม่ยอมออกมาพบเธอแน่ !
ฉิงเฟิงยิ้มเล็กน้อยให้จางเหมียวชุนเขาส่ายหัวและกล่าวว่า พนันกันไหม ผมว่าเขาต้องเปิดประตูออกมาอย่างแน่นอน
ฉิงเฟิงรู้ว่าจางหยุนเหอไม่ต้องการพบหน้าใครเพราะผิดหวังเสียใจกับการหักหลังของลูกศิษย์ตัวเองฉิงเฟิงจึงใช้จิตวิทยาย้อนกลับโดยการนำแผลใจของเขามาเป็นอาวุธบีบบังคับให้เขาโมโหจนต้องออกมาแก้ต่างให้ตัวเอง ตราบใดที่เขายังเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ เขาจะต้องออกมาเพราะทนไม่ได้กับสิ่งที่ฉิงเฟิงกล่าวแน่นอน
ปัง
!
จางหยุนเหอเปิดประตูเสียงดังและออกมาแทบจะทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฉิงเฟิงเขาเลื่อนวีลแชร์ออกมา ใบหน้าของเขามืดครึ้มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
จางหยุนเหอมีอายุประมาณ70 ปี ผมเผ้าขาวโพลน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยฝ้ากระ นอกจากนี้ขาของเขาก็หักและต้องนั่งบนรถเข็น
แกไอ้เด็กผี ! ฉันไม่ว่าถ้าแกจะพูดเรื่องที่ลูกศิษย์ทรยศ แต่แกกล้าดียังไงมาบอกว่าทักษะทางการแพทย์ของฉันห่วยแตก หา ! จางหยุนเหอจ้องฉิงเฟิงเขม็ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
จางหยุนเหอเคยเป็นประธานสมาคมแพทย์ของหัวเซี่ยเขาเป็นหนึ่งในแพทย์ที่เก่งที่สุดในบรรดาแพทย์ทั้งหมดในหัวเซี่ยนอกจากนี้เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชที่เก่งกาจที่สุดอีกด้วย
พ่อครัวแคร์อาหารของเขานักเรียนห่วงเรื่องคะแนน และหมอก็ซีเรียสเรื่องฝีมือทางการรักษาของตัวเองเช่นกัน
ในฐานะแพทย์ที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์มาตลอดชีวิตจางหยุนเหอจริงจังและให้ความสำคัญกับทักษะการแพทย์ของเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่มีทางยอมทนเห็นฉิงเฟิงมากล่าวดูถูกทักษะทางการแพทย์ของเขาแน่นอน
ทุกคนต่างก็บอกว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตเวชและเป็นผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์สูงมากแต่ในสายตาของผม คุณก็เป็นแค่พวกหลอกลวงและกลัวที่จะวินิจฉัยโรคให้ผู้อื่น ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณหมกตัวเป็นขยะอยู่ในห้องใต้ดินมืดๆแบบนี้และไม่ยอมพบหน้าใครยังไงละ ฉิงเฟิงแสยะยิ้มและพูดจาดูหมิ่นเขาราวกับเศษขยะ