ฉิงเฟิงสอดเข็มลงไปบนจุดพิเศษที่ช่วงเอวของผู้ป่วยหญิงและถ่ายพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของเธอผ่านปลายเข็ม
โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทของผู้หญิงคนนี้จะไม่มีทางหายขาดด้วยวิธีการรักษาจากแพทย์แผนจีนทั่วๆไปเนื่องจากพวกเขาขาดพลังลมปราณแต่ตอนนี้ฉิงเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์โบราณแล้ว เขาสามารถรวมศาสตร์ของแพทย์แผนจีนและแผนตะวันตกเข้าด้วยกันได้ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคและอาการป่วยได้
ฉิงเฟิงจับเข็มที่ฝังไว้เป็นเวลา8 นาที เส้นชีพจรและเนื้อเยื่อเริ่มเปิดขึ้นอีกครั้งภายในร่างกายของเธอ แม้กระทั่งอาการห้อเลือดที่บริเวณรากประสาทของเธอก็หายไปอีกด้วย
ฉิงเฟิงถอนเข็มออกและนวดเอวของเธอเป็นเวลาสองนาทีเพื่อช่วยเร่งการไหลเวียนโลหิตให้ดียิ่งขึ้น เอาล่ะโรคหมอนรองกระดูกทันเส้นประสาทของคุณหายขาดแล้ว
ฉิงเฟิงถอนมือออกจากการนวดและกล่าวด้วยความสงบ
ผู้หญิงวัยกลางคนไม่สามารถข่มความตื่นเต้นของเธอได้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นในระหว่างการรักษา เธอรู้สึกว่ามีกระแสอุ่นๆไหลผ่านร่างของเธอและความเจ็บปวดทั้งหมดก็ค่อยๆหายไป
วูบ!
ทันใดนั้นเองผู้หญิงวัยกลางคนก็กระโดดปราดขึ้นและเริ่มเดินไปเดินมารอบๆเธอต้องการทดสอบว่าเธอหายดีแล้วจริงหรือไม่
หลังจากเดินวนไปวนมานับสิบรอบแทนที่เธอจะรู้สึกเจ็บที่เอวหรือขาแต่เธอกลับรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในอดีตเธอเคยรู้สึกเจ็บที่เอวและขาหลังจากเดินไปได้เพียงประมาณสิบเมตร แต่ตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยหลังจากได้รับการรักษาจากฉิงเฟิง คุณหมอหลี่คุณช่างเป็นหมอที่เชี่ยวชาญมาก ความเจ็บปวดที่ทำให้ชั้นรำคาญมานานหลายปีกลับหายไปหมดหลังจากคุณใช่เวลารักษาชั้นเพียงแค่ 10 นาที
พูดจากใจจริงผู้หญิงคนนี้ต้องทรมานจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมามากกว่าสิบปี เธอไปมาหลายโรงพยาบาลแล้วรวมถึงโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงทั้งในเมืองหยานจิงและเมืองเทียนจิง แต่เธอก็ยังไม่หายเสียที ตอนนี้เธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะหายขาดโดยการรักษาของฉิงเฟิงในการแข่งขัน
ผู้ชมทุกคนต่างก็ตกใจพวกเขาต่างก็เป็นพยานว่าผู้หญิงคนนี้หายขาดแล้ว หลี่ฉิงเฟิงผู้นี้เป็นหมอที่เก่งกาจจริงๆไม่แปลกที่เขาจะมีความมั่นใจขนาดนี้
ใบหน้าของเย่จวินเริ่มมืดมนเนื่องจากเขาไม่คาดคิดว่าหลี่ฉิงเฟิงจะสามารถรักษาอาการป่วยของเธอได้ภายในเวลาสิบนาทีจริงๆซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ ถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่เดินสุ่มๆออกมาท่ามกลางฝูงชนเย่จวินอาจจะคิดว่าเธอเป็นคนรู้จักของฉิงเฟิง
รอบแรกของการแข่งขันครั้งนี้หลี่ฉิงเฟิงเป็นผู้ชนะ จางเหมียวชุนยืนขึ้นและประกาศผลของการแข่งขันรอบแรก
จางหม่านหลีผู้ตัดสินคนแรกที่อยู่ข้างๆรู้สึกหงุดหงิดมากการแสดงออกทางสีหน้าของเธอกลายเป็นบูดเบี้ยว
บ้าเอ้ย
!
ไอ้หนุ่มคนนี้มีความรู้และทักษะทางการแพทย์จริงๆ
จางหม่านหลีมองไปในฝูงชนและส่งซิกให้แก่คนในนั้นด้วยแววตาเจตนาคือให้คนของเธอออกมาขอรับการรักษา
เย่จวินและจางหม่านหลีเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงแค่โกงด้วยการให้สัมภาษณ์ข่าวเชิงลบแก่ฉิงเฟิงออกทีวีเท่านั้น แต่พวกเขายังเตรียมคนไว้ล่วงหน้าอีกหลายคนเพื่อให้ฉิงเฟิงรักษาได้ยากขึ้น
อาสาสมัครคนที่สองคือชายวัยกลางคนเขามีอายุประมาณ 40 ปีแต่กลับมีผมสีเทาและดูแก่เกินวัย
ชายคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของจางหม่านหลีเขาดูป่วยก็จริงแต่กลับแข็งแกร่งและทรงพลังมากเพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่ไม่อาจคาดเดาได้ (มีบอดี้การ์ดแล้วทำไมโดนฉิงเฟิงตบซะหน้าเละ – -)
ชายคนนี้เส้นชีพจรของเขาได้รับความเสียหายเมื่อสมัยยังหนุ่มเขาถูกจางหม่านหลีเรียกให้ออกมาเพื่อกลั่นแกล้งฉิงเฟิง
มันมีความแตกต่างระหว่างโรคภัยไข้เจ็บของผู้ฝึกยุทธ์โบราณกับกลุ่มคนธรรมดาการบาดเจ็บของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นรักษายากมากและการรักษาจากหมอธรรมดาแทบจะไม่มีผลยกเว้นว่าหมอผู้ทำการรักษาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน
ร่างกายของผมจู่ๆก็รู้สึกรุมๆผมอยากให้หลี่ฉิงเฟิงรักษาให้ผมหน่อย ชายวัยกลางคนร้องขอให้ฉิงเฟิงรักษาทันทีที่เดินเข้ามา
ในครั้งนี้เย่จวินไม่ได้พูดขัดแม้แต่คำเดียวเขามีเพียงรอยยิ้มเพราะรู้ว่าชายผู้นี้เป็นคนที่จางหม่านหลีเตรียมไว้แกล้งฉิงเฟิง เขาเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้แม้แต่ตัวเย่จวินเอง
เย่จวินเชื่อว่าถ้าเป็นโรคที่เขารักษาไม่ได้หลี่ฉิงเฟิงก็ไม่มีทางที่จะรักษาได้เช่นกัน
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วขณะที่เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนตรงหน้าเขานี้คือผู้ฝึกยุทธ์และได้รับบาดเจ็บที่เส้นชีพจร
ฉิงเฟิงไม่ได้โง่เขาสังเกตเห็นการสบตาของผู้ชายคนนี้กับจางหม่านหลีก่อนที่จะเดินเข้ามา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายคนนี้จะต้องเป็น ผู้ป่วย ที่จางหม่านหลีเตรียมไว้กลั่นแกล้งเขา ใจจริงแล้วฉิงเฟิงก็ไม่อยากรักษาชายคนนี้เพราะเขาเป็นคนของจางหม่านหลีแต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรักษาเพราะอยากจะชนะการแข่งขัน
แต่สิ่งที่จางหม่านหลีและเย่จวินไม่รู้ก็คือฉิงเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน
ผมรักษาคุณได้มานั่งที่เก้าอี้ตรงนี้สิ ฉิงเฟิงกล่าวอย่างสงบในขณะที่ชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆเขา
อะไรนะ คุณสามารถรักษาอาการป่วยของผมได้งั้นหรือ ?
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความตกใจใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันและเขาดูไม่ค่อยเชื่อ เขารู้อาการของตัวเองดีที่สุด ไม่มีหมอหรือโรงพยาบาลไหนที่สามารถรักษาอาการป่วยของเขาได้เนื่องจากอาการของเขาไม่ใช่โรค แต่มันเป็นเส้นชีพจรบอบช้ำและได้รับความเสียหายจากยอดฝีมือคนหนึ่ง
ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเหนือสวรรค์หมอทั่วๆไปรักษาคุณไม่ได้หรอก แต่ผมทำได้ ฉิงเฟิงกระซิบที่หูของชายคนนี้ซึ่งได้ยินแค่เพียงทั้งสองเท่านั้น
ชายวัยกลางคนตกใจมากกว่าเดิมในครั้งนี้เขาคาดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มอ่อนเยาว์ผู้นี้จะรู้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งยังสามารถบอกระดับพลังของเขาได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
ชายวัยกลางคนก้าวยาวๆและนั่งลงในทันทีถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนของจางหม่านหลีแต่เขาก็อยากหายขาดเช่นเดียวกัน
ฉิงเฟิงขอให้ชายวัยกลางคนถอดเสื้อออกและได้เห็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่บนจุดตันเถียนของเขาซึ่งดูเหมือนจะเป็นรอยช้ำอย่างถาวรหลังจากการต่อสู้กับใครบางคน เส้นชีพจรบนจุดตันเถียนของเขาได้รับความเสียหายและลมปราณอุดตัน มันเป็นผลทำให้ร่างกายของเขาดูชรา
ฉิงเฟิงหยิบเข็มออกมาอีกครั้งและสอดเข้าไปที่จุดตันเถียนของชายผู้นี้ทุกจุดที่เขาฝังเข็มลงไปนั้นเป็นจุดสำคัญที่เชื่อมโยงกับการไหลเวียนของลมปราณ ฉิงเฟิงรวบรวมลมปราณส่งผ่านไปที่ร่างกายชายวัยกลางคนและซ่อมแซมเส้นชีพจรที่เสียหายของเขาผ่านปลายเข็ม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคล็ดวิชาจักรพรรดิยุทธ์แท้จริงนั้นทรงพลังมากเพียงใดมันไม่เพียงทำให้เขาไร้คู่เปรียบที่ขอบเขตพลังเดียวกัน แต่มันยังสามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายของคนผู้หนึ่งได้อีกด้วย ซึ่งโดยปกติแล้วลมปราณในร่างของผู้ฝึกยุทธ์จะไม่สามารถฟื้นฟูให้กันได้
เดี๋ยวเดี๋ยวนะ ผมรู้สึกได้ถึงบางอย่างภายในตันเถียน ชายวัยกลางคนดูตื่นเต้นและประหลาดใจ