งานชุมนุมชาวยุทธ์เป็นงานและโอกาสครั้งสำคัญของเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธ์มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์โบราณเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้และประชาชนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงานนี้
ผู้เข้าร่วมงานส่วนใหญ่มาจากตระกูลใหญ่ในหมู่พวกเขามียอดฝีมือที่แข็งแกร่งบางคนจะนำสมบัติล้ำค่าเพื่อมาแลกเปลี่ยนในงานนี้
กล่าวได้ว่านี่เป็นงานรื่นเริงสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นสูงยอดยุทธ์ทั่วๆไปและอยู่ในระดับต่ำจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วม
มันเป็นช่วงระยะเวลาไม่นานนับตั้งแต่ที่ฉิงเฟิงได้เหยียบย่างเข้าสู่วิถีแห่งมรรคายุทธ์โบราณเนื่องจากเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับแวดวงนี้เท่าใดนัก เขาจึงต้องมาพร้อมกับลั่วหนี่ชิง
งานครั้งนี้จัดขึ้นที่คฤหาสน์เขาฟ้าในเมืองเทียนจิงมันเป็นบ้านที่หรูหราตั้งอยู่บนเนินเขาบนภูเขาเทียนคงซาน
เก้าอี้หลายสิบตัวในห้องโถงของคฤหาสน์ถูกจับจองไว้แล้วทั้งหมด
เหล่าผู้คนที่กำลังนั่งอยู่ในคฤหาสน์ทั้งหมดนี้ต่างก็มาจากกองกำลังที่ทรงอำนาจแต่ละคนก็มีอำนาจพอที่จะเขย่ายุทธภพได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
เมื่อลั่วอี้ซานลั่วหนี่ชิงและหลี่ฉิงเฟิงมาถึงคฤหาสน์เขาฟ้า ผู้เข้าร่วมงานทุกคนต่างก็จับจ้องมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามและความสงสัย
ท่านหัวหน้าตระกูลลั่วบุคคลภายนอกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมงาน ท่านพาบุตรสาวเข้างานนั้นถือว่ายอมรับได้ แต่ทำไมท่านถึงได้พาชายหนุ่มผู้นี้เข้างานด้วย
ชายชราผมขาวคนหนึ่งยืนขึ้นและถามลั่วอี้ซาน
ชายชราผู้นี้มีอายุราวๆ80 ปี ถึงแม้เขาจะมีผมขาว แต่เขาก็มีผิวพรรณที่ดูดีเปล่งปลั่งดูแข็งแรงมีสุขภาพดีด้วยดวงตาที่ยังคงเป็นประกายแวววาว รวมไปถึงกลิ่นอายอันทรงพลังที่หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของเขา
ชายชราผู้นี้คือฉินหยวนฉิงผู้จัดงานชุมนุมในครั้งนี้เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพในงานชุมนุมชาวยุทธ์ในทุกๆปี
อาวุโสฉินชายหนุ่มผู้นี้คือหลี่ฉิงเฟิง เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นเดียวกับพวกเรา
ลั่วอี้ซานมองไปที่ฉิงเฟิงและอธิบายต่อฉินหยวนฉิงด้วยรอยยิ้ม
หลี่ฉิงเฟิง
เมื่อได้ยินชื่อนี้ความประหลาดใจก็กระพริบผ่านดวงตาของอาวุโสฉินเขาจ้องไปที่ฉิงเฟิงและกล่าวว่า ในเมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ งั้นก็เข้ามาได้
ฉิงเฟิงเดินตามหลังลั่วอี้ซานเข้าไปในห้องโถงและหาที่นั่งไม่นานหลังจากเขานั่งลง สายตาของผู้คนมากมายก็จับจ้องไปที่เขา เนื่องจากวีรกรรมที่เขาก่อขึ้นในยุทธภพ เบื้องหลังสายตาเหล่านี้มีทั้งความอยากรู้อยากเห็นความสงสัยและมีแม้กระทั่งจิตสังหารเช่นกัน
จิตสังหารนั้นมาจากกู่เจิ้นเทียนหัวหน้าตระกูลกู่เนื่องจากลูกชายของเขา กู่เจี้ยนหลงถูกหลี่ฉิงเฟิงสังหาร จึงทำให้เกิดความบาดหมางกันระหว่างพวกเขา
แน่นอนว่านอกเหนือจากกู่เจิ้นเทียนก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องการฆ่าฉิงเฟิงเขาก็คือเตี๋ยจงเทียนจ้าวนิกายหมัดซึ่งทั้งลูกชายและลูกสาวของเขาต่างก็ถูกฉิงเฟิงฆ่าเช่นกัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากชายสองคนนี้ฉิงเฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะฉิงเฟิงไม่กลัวพวกเขา
กู่เจิ้นเทียนลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันเขาก้าวไปข้างหน้าและเตรียมที่จะลงมือโจมตีฉิงเฟิงเพื่อแก้แค้นให้กับลูกชายของเขา
ช้าก่อนท่านหัวหน้าตระกูลกู่ในงานชุมนุมครั้งนี้ห้ามมิให้มีการต่อสู้ ด้วยการโบกมือ อาวุโสฉินปล่อยประกายแสงลึกลับออกมาและปิดกั้นกลิ่นอายของกู่เจิ้นเทียนไว้
ลั่วอี้ซานลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยเสียงเย็นว่า กู่เจิ้นเทียน หลี่ฉิงเฟิงมากับข้า และที่นี่ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้ ท่านจะฝืนกฎหรือ
ดีดีมาก หลี่ฉิงเฟิง ข้าจะให้แกใช้ชีวิตต่อไปอีกสักพัก เมื่อใดที่แกออกจากงานนี้ ข้าจะฆ่าแกด้วยมือของข้าเอง กู่เจิ้นเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นต่อฉิงเฟิงและต้องการที่จะฆ่าเขาในตอนนี้แต่อีกใจหนึ่งเขาก็มีความกริ่นเกรงที่จะลงมือต่อหน้าชาวยุทธ์มากมาย เพราะการต่อสู้ในงานนี้เป็นสิ่งต้องห้าม มิฉะนั้นเขาจะถูกเฉดหัวจากทุกคนเป็นการลงโทษ
ตลอดเวลาที่กู่เจิ้นเทียนออกอาการตั้งแต่เริ่มฉิงเฟิงไม่ได้เหลือบมองเขาแม้แต่แวบเดียว เขาไม่แคร์จิตสังหารที่พวยพุ่งของกู่เจิ้นเทียนแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขาก็ไม่รังเกียจที่จะต้องสู้หากเขากล้าเริ่มก่อน
ในฐานะที่เป็นแกรนด์มาสเตอร์ขั้นแรกที่สามารถท้าทายข้ามระดับได้ฉิงเฟิงไม่ได้ใส่ใจคนเหล่านี้อีกต่อไปแล้ว
ในงานนี้ฉิงเฟิงได้พบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมายเช่น เจียงไปเต๋าและถังหยุน
ในฐานะสมาชิกหลักของตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสี่แห่งเมืองเทียนจิงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะสามารถเข้าร่วมงานครั้งนี้ได้
มีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด36 คน แต่ละคนต่างก็เป็นตัวแทนของกองกำลังผู้ฝึกยุทธ์ที่สำคัญๆ รวมไปถึงหัวหน้าตระกูล จ้าวนิกาย คุณชายและคุณหนู
งานนี้แตกต่างจากงานประมูลงานชุมนุมชาวยุทธ์เปิดรับเพียงแค่กองกำลังใหญ่ๆ ในขณะที่งานประมูลนั้นเปิดรับทุกคน นอกจากความแตกต่างพื้นฐานเหล่านี้ สิ่งของที่นำมาแลกเปลี่ยนก็จะมีคุณค่ามากยิ่งกว่าในงานประมูล
ในฐานะที่เป็นผู้เสนอแลกเปลี่ยนรายแรกกู่เจิ้นเทียนหัวหน้าตระกูลกู่ได้หยิบเกราะอ่อนทองคำออกมาและกล่าวว่า ชุดเกราะอ่อนนี้สามารถปกป้องผู้สวมใส่จากการโจมตีของแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูงได้ ข้าประสงค์จะแลกเปลี่ยนมันกับอาวุธระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูง มีท่านใดจะแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่
โอ้! เกราะอ่อนทองคำนี่เป็นสมบัติล้ำค่า ด้วยสมบัติชิ้นนี้ผู้สวมใส่เหมือนมีสองชีวิต
หัวหน้าตระกูลกู่เป็นคนมั่งคั่งจริงๆเพียงของชิ้นแรกที่เสนอทำการแลกเปลี่ยนก็เป็นเกราะอ่อนทองคำในระดับแกรนด์มาสเตอร์เสียแล้ว !
ไม่เห็นจะแปลกท่านหัวหน้าตระกูลกู่เป็นหนึ่งใน 4 หัวหน้าตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนจิง การที่เขาจะครอบครองสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ก็เป็นเรื่องปกติ
ในขณะที่ผู้ชุมนุมกำลังพูดกันพวกเขาต่างก็มองไปที่กู่เจิ้นเทียนด้วยความอิจฉา
ท่านหัวหน้าตระกูลกู่ข้ามีดาบยาวที่ได้มาจากสุสาน ข้าจะแลกเปลี่ยนกับท่านเอง
ชายอ้วนวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น ชายอ้วนผู้นี้ไม่ใช่ยอดยุทธ์ธรรมดาเขาชื่อถังเจียงเฮอและเป็นหัวหน้าตระกูลถัง, หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนจิงอีกทั้งยังเป็นพ่อของถังหยุน
ถังเจียงเฮอหยิบดาบยาวประมาณหนึ่งเมตรที่มีสีดำขึ้นมามันเป็นดาบสีดำสนิทและมีลวดลายหมาป่าสีดำแกะสลักไว้บนพื้นผิวของตัวดาบ มันเต็มไปด้วยความลึกลับและพลัง
เมื่อฉิงเฟิงได้เห็นลวดลายหมาป่าสีดำที่ถูกสลักไว้บนตัวดาบยาวความปรารถนาจากเบื้องลึกภายในสายเลือดของเขาก็ปะทุขึ้น เขาอยากจะกลืนหมาป่าสีดำตัวนั้น
เขาขบฟันแน่นเพื่อสะกดข่มความหิวกระหายของสายเลือดและยังคงจ้องมองไปที่ดาบยาวสีดำเล่มนั้นอย่างไม่วางตา
กู่เจิ้นเทียนพอใจกับดาบยาวสีดำของถังเจียงเฮอและทำการแลกเปลี่ยนกันทันที
ส่วนข้ามีเคล็ดวิชาดาบขั้นสูงในระดับแกรนด์มาสเตอร์ข้าต้องการแลกเปลี่ยนกับโอสถระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูงเช่นเดียวกัน มีผู้ใดจะแลกเปลี่ยนกับข้าหรือไม่
เจียงเชียนเต๋าหัวหน้าตระกูลเจียงกล่าว
ต้องยกเครดิตให้ตระกูลเจียงเนื่องจากพวกเขามีชื่อที่ดีมากหนึ่งต้องให้เครดิตพวกเขาว่าตระกูลเจียงเป็นชื่อที่ดีมาก ในขณะที่คนพ่อชื่อว่า เชียนเต๋า (มีดพันเล่ม) ลูกชายของเขากลับชื่อว่า ไป่เต๋า (มีดร้อยเล่ม)
แน่นอนว่าไม่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมรายใดที่มีโอสถระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นสูงตามที่เจียงเชียนเต๋าต้องการเพราะโอสถชั้นสูงเหล่านี้มีเพียงนักปรุงยาเท่านั้นที่ครอบครองมันและนักปรุงยาที่สามารถสกัดกลั่นโอสถระดับนี้ได้ก็มีเพียงราชาโอสถเท่านั้น
มีเพียงราชาโอสถจึงจะสามารถสกัดยาระดับแกรนด์มาสเตอร์ชั้นสูงได้