ฉิงเฟิงสังหารยามชุดแดงทั้ง8 ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าและเดินเข้าไปในอาคารโดยที่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
พนักงานต้อนรับเหลือกตาและหมดสติไปทันทีที่เธอเห็นว่าฉิงเฟิงโหดเหี้ยมเพียงใดแม้ว่าเขาจะยังหนุ่มแต่กลับโหดเหี้ยมอมหิตยิ่งกว่าคนจากนิกายโลหิตสีชาด
ฉิงเฟิงกดปุ่มลิฟต์แล้วขึ้นไปที่ชั้นสามสิบโดยไม่ได้มองเธอ
ในขณะเดียวกันที่ชั้น30 ของบริษัทหยกมรกต เสวี่ยหลี่ที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวก็กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในออฟฟิศของเขา
อาวุโสเสวี่ยท่านไม่จำเป็นต้องขุ่นเคือง เหลิงเสวี่ยเป็นนายน้อยของนิกายโลหิตสีชาดและไม่มีผู้ใดกล้าพอจะปฏิเสธสิ่งที่เขาต้องการหรอกค่ะ
เสวี่ยเหมยเอ๋อปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้ม คำพูดของเธอยิ่งทำให้โทสะครอบงำเสวี่ยหลี่ยิ่งขึ้นถ้าเธอหุบปากได้คงจะดีกว่านี้
หุบปากไปซะ! เธอมันไม่รู้อะไรสักอย่าง ! ข้าอยู่ในระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นแรก ถ้าข้าได้ดื่มเลือดของหลินเสวี่ยคนนั้น เขาจะเข้าถึงขั้นกลางได้แน่นอน ตอนนี้เหลิงเสวี่ยพาเธอไปแล้ว โอกาสที่ข้าจะทะลวงผ่านก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เหลิ่งเสวี่ยมองไปที่เสวี่ยเหมยเอ๋ออย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขื่นขมขื่น
เสวี่ยเหมยเอ๋อผงะจากการถูกจ้องมองด้วยแววตากระหายเลือดของเสวี่ยหลี่เธอกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรอีกมาอีก
แม้ว่าเธอจะกลัวที่จะพูดแต่เธอก็แอบเคืองเสวี่ยหลี่ที่เอาความหงุดหงิดของตัวเองมาลงกับเธอแทนที่จะไปพูดกับนายน้อย
โครม
!
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงและฉิงเฟิงก็ก้าวเข้ามาอย่างดุดัน
ฉิงเฟิงสอดส่องไปทั่วออฟฟิศและไม่พบกลิ่นอายของหลินเสวี่ยการแสดงออกทางสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อความรู้สึกที่เป็นลางไม่ดีปรากฏขึ้นในใจของเขา
แกเป็นใครใครปล่อยให้แกเข้ามา เสวี่ยหลี่ผุดลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
ฉันชื่อหลี่ฉิงเฟิงภรรยาของฉัน หลินเสวี่ยอยู่ไหน ฉิงเฟิงถามโดยไม่ลังเล
เสวี่ยหลี่จำคำสั่งของเหลิงเสวี่ยได้และกล่าวตอบไปว่า นายน้อยพาเธอไปที่ถ้ำปีศาจโลหิตที่นิกายโลหิตสีชาด หากแกต้องการช่วยหลินเสวี่ยก็ไปหาเธอที่นั่น
เมื่อได้ยินคำนี้แล้วสีหน้าของฉิงเฟิงก็เปลี่ยนไปในทันทีเขาโกรธมาก
มันผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้วตั้งแต่ที่ฉิงเฟิงเข้าสู่โลกแห่งยุทธภพเขาเริ่มรู้เกี่ยวยอดยุทธ์สายดั้งเดิม(ธรรมะ)และสายแยกย่อย(นอกรีต อธรรม) พวกผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตเป็นตัวตนที่ผิดแปลก และถ้ำปีศาจโลหิตก็เป็นเขตหวงห้ามของนิกายโลหิตสีชาดซึ่งเป็นที่ไว้สำหรับดูดเลือดโดยเฉพาะ
ในฐานะหนึ่งในกองกำลังของผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตนิกายโลหิตสีชาดดูดเลือดของผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่ตกอยู่ในเงื้อมของพวกเขาและทำให้พวกเขากลายเป็นซากกองกระดูก
ความโกรธเริ่มลุกลามเหมือนไฟป่าภายในหัวใจของฉิงเฟิงเขาคิดว่าจะต้องสับสังหารเหลิงเสวี่ยให้ตายอย่างอนาถที่สุดเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวของเขา
แต่ก่อนที่เขาจะไปฆ่าเหลิงเสวี่ยเขาก็ตัดสินใจว่าคนคู่นี้สมควรตายก่อนเพราะพวกมันก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเหลิงเสวี่ย
ด้วยออร่าแห่งการฆ่าฟันที่ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขาฉิงเฟิงก็เดินไปหาคนทั้งคู่
แกจะทำอะไร ไม่ไปช่วยเธอหรือไง ? แน่นอนว่าต้องฆ่าพวกแกก่อน
แกอยากตายหรือไง คิดว่าแกจะฆ่าพวกเราได้งั้นหรือ ? เสวี่ยเหมยเอ๋อยืนขึ้นและมองไปที่ฉิงเฟิงอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ฉิงเฟิงขี้เกียจเกินกว่าที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเธอเขาสะบัดมือขวาไปที่เธออย่างโหดเหี้ยมดุดันด้วยลมปราณฉีกผ่านอากาศอย่างรุนแรง
เมื่อรู้สึกถึงพลังของฉิงเฟิงเสวี่ยเหมยเอ๋อก็หน้าซีดเผือด ชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเสวี่ยหลี่เจ้านายของเธอ
เสวี่ยเหมยเอ๋อร่ำร้องออกมาและเหวี่ยงหมัดขวาของเธอเพื่อพยายามจะปัดป้องฝ่ามือของฉิงเฟิงอย่างไรก็ตามทั้งหมดนั้นไร้ความหมาย
ฝ่ามือของฉิงเฟิงพุ่งเข้าเป้าตรงหน้าด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้งมันทำให้หมัด ข้อมือ และแขนทั้งข้างของเสวี่ยเหมยเอ๋อแตกเป็นเสี่ยงๆในคราเดียว เธอส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและมองเขาด้วยแววตาที่หวาดกลัว อย่างไรก็ตามเธอสามารถกรีดร้องได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นก่อนที่เสียงของเธอจะเงียบหายไปเพราะหลังจากนั้นฝ่ามือของฉิงเฟิงก็บดขยี้โครงกระดูกของเธอ ร่างกายของเธอไม่สามารถต้านทานพลังมหาศาลของเขาได้และระเบิดออกทันที
เสวี่ยเหมยเอ๋อเป็นเพียงแค่นักสู้ขั้นเหนือสวรรค์เท่านั้นดังนั้นเธอจึงไม่มีโอกาสป้องกันการโจมตีของฉิงเฟิงได้แม้แต่น้อย
กะ…กะ แกอยู่ในขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์ระดับกลางงั้นหรือ เมื่อได้เห็นเสวี่ยเหมยเอ๋อระเบิดเป็นชิ้นๆด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ใบหน้าของเสวี่ยหลี่ก็ซีดเผือดและถามเสียงสั่นด้วยความตกใจ
ตัวเขาเองที่เป็นแกรนด์มาสเตอร์ขั้นแรกก็สามารถเอาชนะเสวี่ยเหมยเอ๋อได้เช่นกันแต่อย่างน้อยเขาต้องออกแรงถึงสามกระบวนท่า ไม่มีทางที่เขาจะเปลี่ยนเธอเป็นเนื้อบดด้วยการสะบัดฝ่ามือเพียงครั้งเดียวได้
ซีอีโอเสวี่ยเนื่องจากแกเป็นคนล่อลวงให้ภรรยาของฉันต้องมาที่เจียงหนาน แกก็ต้องตายด้วย ฉิงเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาและส่งฝ่ามือออกไปหาเสวี่ยหลี่
ฮ่าห์!
เสวี่ยหลี่ตะโกนออกมาเสียงดังขณะที่เขาโคจรลมปราณทั่วร่างกายก่อนที่จะเหวี่ยงหมัดเข้าปะทะกับฝ่ามือของฉิงเฟิงเขายังไม่อยากตายในวันนี้ดังนั้นเขาจึงต้องใช้พลังทั้งหมดของเขาในการโจมตี
แต่ผลที่ได้ก็ทำให้เสวี่ยหลี่ต้องตระหนกฝ่ามือของฉิงเฟิงมีพลังที่เหนือกว่าและบดขยี้หมัด ข้อมือ แขนทั้งหมดของเสวี่ยหลี่ในทันที
ในที่สุดเขาก็ได้ลิ้มรสชาติแบบเดียวกับที่เสวี่ยเหมยเอ๋อรู้สึกเขาประสบชะตากรรมแบบเดียวกับเธอด้วยน้ำมือของฉิงเฟิง
ปีศาจเขาเป็นปีศาจ
!
เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรด้วยอายุเพียงเท่านี้ ดวงตาของเสวี่ยหลี่เต็มไปด้วยความสยดสยองเขารู้สึกว่าราวกับว่าตนเองไปยุแหย่อสูรกายจากห้วงลึกของขุมนรกขึ้นมา
ตูม!
โดยไม่มีความลังเลใดๆฝ่ามือของฉิงเฟิงกระทบร่างของเสวี่ยหลี่ด้วยพลังที่มากพอจะระเบิดอากาศได้ เป็นผลทำให้ร่างของเสวี่ยหลี่ระเบิดเป็นจุล สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกองเนื้อบนพื้นออฟฟิศเท่านั้น
ทั่วทั้งห้องดูน่าหวาดผวาเหมือนนรกบนดินมันเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อแกมาหาเรื่องฉัน เขายิ้มอย่างเย็นชาและหันหลังเดินออกจากห้องไป
เมื่อเดินออกจากบริษัทหยกมรกตเขาก็โบกรถแท็กซี่และมุ่งหน้าไปยังชานเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของนิกายโลหิตสีชาด
สำนักงานใหญ่ของนิกายโลหิตสีชาดเป็นตำหนักสีแดงขนาดใหญ่ที่เปล่งออร่าสีแดงเลือดออกมาและตั้งอยู่บนยอดเขา
เมื่อฉิงเฟิงออกจากรถและเดินไปที่เชิงเขาเขาก็เห็นหมอกบาเรียสีขาวจางๆตรงหน้าเขา สำหรับคนทั่วไป หมอกนั้นเต็มไปด้วยพิษร้ายแรงซึ่งสามารถฆ่าคนธรรมดาได้เพียงลมหายใจเดียว
เหตุที่ต้องมีบาเรียหมอกนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าสู่อาณาเขตส่วนในของนิกายโลหิตสีชาด
แต่สำหรับฉิงเฟิงแล้วหมอกพิษนี้ไร้สาระมาก
เคล็ดวิชาบ่มเพาะตามคัมภีร์จักรพรรดิยุทธ์แท้จริงที่ฉิงเฟิงฝึกฝนนั้นสามารถทำให้คนผู้หนึ่งกลั้นลมหายใจได้ดังนั้นเขาจึงกลั้นลมหายใจและเดินผ่านบาเรียเข้าไปถึงด้านในอย่างสบายๆ
จากนั้นไม่นานตำหนักสีแดงเลือดขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเขามันเป็นตำหนักที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ด้วยหินอ่อนที่มีสีเดียวกัน ที่ด้านหน้าตำหนักมีรูปปั้นยักษ์สูงถึงสิบห้าเมตรหรือมากกว่านั้นตั้งอยู่
รูปปั้นเป็นสีแดงเลือดและแสดงถึงบรรพบุรุษนิกายโลหิตสีชาดมันเป็นสัญลักษณ์ของนิกายอีกด้วย
ตูม!!
หมัดขวาของฉิงเฟิงพุ่งออกมาในทันทีด้วยพลังลมปราณที่หลอมรวมเข้ากับหมัดและกระทบเข้ากับรูปปั้นสัญลักษณ์ของนิกายด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว เพียงหมัดเดียวก็บดขยี้รูปปั้นยักษ์ที่สูงใหญ่จนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยกระจายขึ้นไปบนฟ้า
ไอ้สารเลว!!! แกกล้าดียังไงถึงมาทำลายรูปปั้นบรรพบุรุษของพวกข้า แกเบื่อชีวิตแล้วใช่มั้ย ! เสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากที่ไกลๆ
นิกายโลหิตสีชาดเป็นหนึ่งในนิกายของผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตระดับท็อบที่ทรงอำนาจไม่เคยมีใครกล้าทำลายข้าวของและทรัพย์สินของพวกเขาเช่นนี้มาก่อน มันเป็นการดูหมิ่นนิกายอย่างโจ่งแจ้ง