ผู้อาวุโสสวมผ้าคลุมแดงแดงบินมาด้วยรัศมีที่ทรงพลังรอบตัวเขา
บินอยู่บนอากาศ
ฉิงเฟิงขมวดคิ้วหลังจากสัมผัสได้ถึงรัศมีทรงพลังที่กำลังพุ่งเข้ามาเขารู้ว่าคนที่กำลังมาคือผู้เชี่ยวชาญระดับแกรนด์มาสเตอร์ที่แข็งแกร่งมาก
ตูม!
ผู้อาวุโสผ้าคลุมแดงร่อนลงบนพื้นทำให้พื้นโดยรอบแตกฝุ่นละอองกระเด็นปลิวว่อนและแตกกระจายเป็นระลอกคลื่น
ความหวาดกลัวและความตกใจปรากฏในสายตาของเหล่าศิษย์สาวกโดยรอบเมื่อพวกเขาเห็นผู้อาวุโสคนนี้ใบหน้าของพวกเขาลดต่ำลง
เป็นเซวี่ยเจิ้น,เขาคือผู้อาวุโสสาม ผู้คุมกฏของนิกาย
เด็กหนุ่มคนนี้จบสิ้นแล้วอาวุโสเซวี่ยต้องทำให้เขาแหลกเป็นเสี่ยงๆโทษฐานที่ทำลายรูปปั้นบรรพบุรุษ
ถูกต้องอาวุโสเซวี่ยเป็นหนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งที่สุดของนิกายเรา ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนตกอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
เหล่าสาวกมองที่เซวี่ยเจิ้นด้วยความเคารพและชื่นชมในขณะที่พูดคุยกัน
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสามและผู้คุมกฎของนิกายเซวี่ยเจิ้นมีมีตำแหน่งสูงในหมู่สาวก เมื่อใดก็ตามที่เขาจับสาวกที่แหกกฎนิกายได้ เขาจะลงโทษจนถึงแก่ชีวิตโดยไม่อ่อนข้อ สาวกทุกคนต่างก็กลัวเขา
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์สายธรรมะหรืออธรรมต่างก็เป็นโลกแห่งการอยู่รอดมีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ แม้ผู้คนจะกลัวเซวี่ยเจิ้น แต่เขาก็ยังได้รับความชื่นชมเนื่องจากความแข็งแกร่งของเขา ไอ้เด็กสารเลวแกเป็นใครกัน แกกล้าดียังไงมาทำลายรูปปั้นของท่านปรมาจารย์นิกายเรา ! เซวี่ยเจิ้นคำรามออกมาด้วยความโกรธ
ฉิงเฟิงตอบกลับด้วยใบหน้าที่เย็นชาว่า ฉันคือหลี่ฉิงเฟิง บอกมา เหลิงเสวี่ยกับถ้ำปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน
หลี่ฉิงเฟิง
เมื่อได้ยินฉิงเฟิงเอ่ยนามออกมาใบหน้าของเซวี่ยเจิ้นก็แดงก่ำ เขาเป็นคนของนิกายผู้ฝึกยุทธ์โบราณและติดตามเรื่องราวข่าวสารอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เมื่อเร็วๆนี้ยอดฝีมือไร้คู่เปรียบผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นและสังหารยอดฝีมือระดับอาวุโสถึง 3 คนที่ภูเขา Lone วีรกรรมในครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อายุน้อยที่สุดในขอบเขตแกรนด์มาสเตอร์
นอกจากนี้ฉิงเฟิงยังสังหารจ้าวนิกายหมัดเหล็กในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งนั้นทำให้วงการผู้ฝึกยุทธ์โบราณทั่วโลกต่างก็ตกตะลึงเนื่องจากเตี๋ยจงเทียนไม่ใช่แกรนด์มาสเตอร์กระจอก แต่เขาเป็นถึงแกรนด์มาสเตอร์อันดับที่ 40 จากทั้ง 81 คน
ราวกับว่าชื่อของเขามีพลังอันลึกลับฝูงชนเริ่มพูดไม่ออกและเสียงพูดคุยก็เงียบหายไป เห็นได้ชัดว่าเหล่าศิษย์สาวกต่างก็เคยได้ยินเรื่องราวอื้อฉาวของฉิงเฟิงมาก่อน
เซวี่ยเจิ้นกล่าวด้วยใบหน้าที่โอ่อ่าสง่างามว่า หลี่ฉิงเฟิง ข้าไม่สนใจว่าแกได้ทำอะไรในยุทธภพ แต่การที่แกมาอาละวาดที่นิกายของเราเช่นนี้หมายความว่าอะไร แกกำลังท้าทายนิกายของเรางั้นหรือ ?
ฉันจะพูดอีกครั้งเหลิงเสวี่ยและถ้ำปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน ฉิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาด้วยความรำคาญ
คุณช่างโอหังบังอาจมากที่กล้าเรียกนายน้อยของพวกเราห้วนๆเช่นนี้ทางที่ดีแกควรจะคุกเข่าขอขมาเสียดีกว่า ไม่งั้นวันนี้แกจะต้องพบกับความตาย เซวี่ยเจิ้นกล่าวอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงกระหายเลือด ฉิงเฟิงหรี่ตาแสยะยิ้มอย่างดุร้ายเห็นได้ชัดว่าพวกเขาร้องขอความตายโดยไม่ยอมตอบคำถามของเขา เขาก้าวไปข้างหน้าโดยคิดว่าเขามีเมตตาเกินไปแล้วจนยิ่งเสียเวลา เขาตัดสินใจว่าควรจะฆ่าพวกมันทั้งหมด !
หมัดโลหิตสีชาด! เซวี่ยเจิ้นคำรามออกมาอย่างดุดันและเหวี่ยงหมัดขวาของเขาออกไปราวกับหมัดขนาดมหึมาสีแดงเลือด การโจมตีลอยเข้าหาฉิงเฟิงพร้อมกับเสียงอากาศที่พลังทลาย
หมัดโลหิตสีชาดเป็นวิชาระดับแกรนด์มาสเตอร์ขั้นกลางซึ่งเป็นหนึ่งในห้าวิชาสร้างชื่อของนิกายเมื่อฝึกฝนสำเร็จ หมัดของผู้ใช้จะเปลี่ยนเป็นเงาสีเลือดและทรงพลังอย่างมาก
ฉิงเฟิงเผชิญหน้ากับหมัดที่รุนแรงที่อย่างเย็นใจทันใดนั้นเองมือขวาของเขาก็ยื่นออกไปและกลายเป็นกรงเล็บคว้าจับมัน
ความเร็วของมันน่าเหลือเชื่อนัก !
ใบหน้าสีแดงเลือดของเซวี่ยเจิ้นมีความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาเขารู้สึกได้ในทันทีว่าถึงแม้พวกเขาทั้งคู่จะมีพลังอยู่ในระดับกลางเช่นกัน แต่ชายหนุ่มคนนี้รวดเร็วกว่าเขามาก
แกร่ก!
ฉิงเฟิงออกแรงที่มือขวาด้วยพลังที่แข็งแกร่งและบีบหมัดของเซวี่ยเจิ้นจนแหลกเผยให้เห็นกระดูกสีขาวข้างใต้
เซวี่ยเจิ้นอ้าปากกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดจากการที่กระดูกหักหมัดที่เคยไร้พ่ายของเขาเหมือนไข่ในฝ่ามือของชายหนุ่มคนนี้
นี่…นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่า ทำไมวิชาหมัดโลหิตสีชาดที่แข็งแกร่งของอาวุโสสามถึงได้แตกหักเช่นนี้
ไม่หรอกข้าก็เห็น เจ้าหลี่ฉิงเฟิงคนนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาเอาชนะผู้อาวุโสสามได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
บัดซบเอ้ยนี่มันเรื่องจริงนี่หว่า ข้าเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่าหลี่ฉิงเฟิงไร้พ่ายในขอบเขตใหญ่ที่เท่ากัน ทีแรกก็คิดว่าข่าวลือย่อมเหนือกว่าความจริง แต่วันนี้ได้เห็นกับตาแล้ว
มันจบแล้วพวกเราหาเรื่องผิดคนแล้วครั้งนี้
สาวกทุกคนต่างก็มองฉิงเฟิงไปด้วยสายตาที่หวาดกลัว
ในหัวใจของพวกเขาผู้อาวุโสสามเซวี่ยเจิ้นเป็นบุคลที่น่าเคารพเชิดชู มันเกินจะทำใจยอมรับได้ว่าไอดอลของพวกเขาถูกบดขยี้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว !
ถ้ำปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน เมื่อมองไปที่เซวี่ยเจิ้นที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวด ฉิงเฟิงก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง
นั่นเป็นเขตหวงห้ามของพวกเราไม่มีทางที่ข้าจะบอกตำแหน่งให้แกหรอก
เซวี่ยเจิ้นกล่าวอย่างดุร้ายและมองไปที่ฉิงเฟิง
การปิดปากเงียบของแกหมายความว่าแกอยากตายสินะ
ด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันในดวงตาของเขาฉิงเฟิงไม่ยอมมอบโอกาสที่สองให้เซวี่ยเจิ้นอีกและเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ทันที
ตูม!
เพียงหนึ่งหมัดของฉิงเฟิงก็ทำให้ร่างกายของเซวี่ยเจิ้นระเบิดและกลายเป็นแอ่งเลือดเขาเป็นมากกว่าตาย
เหล่าสาวากที่ได้เห็นเซวี่ยเจิ้นตายอย่างอนาถด้วยหมัดเดียวต่างก็หวาดกลัวจนตัวสั่นผู้อ่อนแอบางคนถึงขั้นหมดสติไป
การเป็นสาวกของนิกายฝ่ายอธรรมนั้นทำให้พวกเขาเชื่อว่าตนเองโหดเหี้ยมดุร้ายพออยู่แล้วอย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับฉิงเฟิงแล้วพวกเขาแทบจะไม่มีอะไร ชายหนุ่มคนนี้ลงมือฆ่าในทันทีที่มีคนไม่ยอมคล้อยตามเขา
บอกฉันมาถ้ำปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน หลังจากฉิงเฟิงฆ่าเซวี่ยเจิ้นไปแล้ว เขาก็หันไปถามสาวกคนที่อยู่ใกล้สุดที่เห็น
ด้วยความหวาดกลัวบนใบหน้าของเขาสาวกคนนั้นกลัวจนพูดไม่ออก
ตูม!!
โดยไม่มีคำพูดจาฉิงเฟิงกางฝ่ามือขวาของเขาออกและสังหารสาวกคนนั้นในพริบตาราวกับตบยุง
หลังจากนั้นเขาก็ถามคนต่อไปอีกหลายคนแต่พวกเขาก็พบกับชะตากรรมเดียวกันเมื่อไม่ยอมปริปาก
ฉิงเฟิงไม่มีความเมตตาต่อศัตรูของเขาสำหรับคนที่ไม่ยอมร่วมมือก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
ในที่สุดเมื่อฉิงเฟิงมาถึงหน้าสาวกคนที่สิบสาวกคนนั้นก็ทรุดลงกับพื้นและคุกเข่าร่ำร้องออกมาว่า ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ข้ายอมบอกแล้ว ถ้ำปีศาจโลหิตอยู่ด้านหลังตำหนัก มันเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่น่าสะพรึงกลัวมาก
หลังจากได้รับข้อมูลที่เขาต้องการแล้วเขาก็คว้าตัวสาวกคนนั้นและให้เขาเป็นผู้นำทางเนื่องจากอาณาเขตของนิกายโลหิตสีชาดนั้นกว้างใหญ่เกินกว่าจะเดินหาสุ่มๆ
เมื่อมาถึงจุดหมายฉิงเฟิงก็เห็นถ้ำขนาดยักษ์ที่ทั้งใหญ่และลึกภายในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเลือดและความตายที่เปล่งประกายออกมาอย่างรุนแรงจนทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกไม่สบายตัว